หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 133 ปะทะผู้แสวงหาเต๋า...ครึ่งก้าวอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ในแง่ของความเร็วนั้น ขนปีกของนกหงส์ทองกล่าวได้ว่าเรียงตัวกันสวยงามลู่ลม พวกมันสามารถระเบิดความเร็วได้สูงสุดยอดเมื่อเคลื่อนที่เป็นระยะทางสั้น ๆ

ในแง่ของความอดทนนั้น  นกหงส์ทองจัดเป็นสัตว์วิญญาณที่มีโครงร่างไม่ได้ใหญ่โตมากนัก อีกทั้งขนปีกของมันยังเน้นไปในด้านความแข็งแกร่งและความคล่องตัว โดยธรรมชาติแล้วพวกมันไม่เหมาะสำหรับการเดินทางไกลสักเท่าไร

เจี้ยงเฉินได้บังคับนกหงส์ทองให้บินออกด้วยความเร็วสูงสุดของมันเป็นเวลา 2 เค่อ ก็สามารถไล่ทันกลุ่มของโจวหยู่ที่ล่วงหน้าออกมาก่อนได้  เจี้ยงเฟิง,โจวหยู่และคนอื่น ๆ รู้สึกยินดีที่เห็นว่าเจี้ยงเฉินกลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว

"พวกเราจำเป็นต้องเร่งความเร็วของพวกเราให้สูงขึ้นเพื่อเดินทางออกไปให้พ้นจากเขตของวิหารอุดรครามสวรรค์โดยเร็วที่สุด คนกลุ่มนี้นับว่ามิใช่คนดีแต่อย่างใด อีกทั้งทางวิหารอุดรครามสวรรค์แลดูท่าจะให้ท้ายพวกมันอยู่ไม่น้อย"

เจี้ยงเฉินเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในเรื่องนี้ มีเรื่องราวหลายประการที่เขาไม่สามารถกระทำได้ตามใจชอบเมื่ออยู่ในเขตแดนของผู้อื่น

หากใครกล้าปิดกั้นเส้นทางหรือพยายามปล้นชิงเขาในอาณาจักรตะวันออกแล้วล่ะก็ เขามิคิดเสียเวลาสนทนา เพียงส่งศร 1 ดอกไปปลิดชีพมันเสียให้สิ้น

แน่นอนว่าทั้งหมดนี่มิใช่เป็นเพราะเจี้ยงเฉินหวาดกลัววิหารอุดรครามสวรรค์  แต่เขาคิดว่าทั้งตัวเขาและคนทั้งกลุ่มพึ่งมาถึงอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ การมีปัญหาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ คงมิค่อยดีสักเท่าไร

อย่างไรก็ตามเจี้ยงเฉินก็ไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าถึงขนาดที่เขาอดทนอดกลั้นประนีประนอมอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ยังมิเพียงพอที่จะทำให้ศิษย์พี่กวงอะไรนั่นยินยอมเลิกราได้โดยง่าย เมื่อคล้อยหลังเขาไม่นานพวกมันก็เร่งรีบไปตามพรรคพวกและศิษย์พี่ที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นทันที พวกมันรวบรวมกำลังคนได้มิต่ำกว่าร้อยกระจายตัวกันปิดล้อมทางหนีทีไล่เจี้ยงเฉินในเขตแดนวิหารอุดรครามสวรรค์อย่างหนาแน่น ราวกับการหว่านแห

อาณาเขตทางตกวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรนภาจันทร์นั้น ทางวิหารอุดรครามสวรรค์มีอำนาจสูงสุด

เมื่อได้ยินศิษย์น้องกล่าวว่าศิษย์พี่กวงของมันที่เป็นศิษย์น้องที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาถูกรังแก พวกเขาบันดาลโทสะอย่างมาก

อีกทั้งเมื่อพวกเขาได้ยินคำบอกเล่าถึงสัตว์วิญญาณที่ดูจะมีคุณภาพและความแข็งแกร่งสูงกว่ามังกรไวเวิร์นของพวกเขา อีกทั้งยังมีสีทองเป็นประกาย คนทั้งหลายที่เคยมีสัมพันธ์อันดีในเรื่องอุบาทว์กับศิษย์พี่กวงอะไรนั่นต่างเฮโลแห่กันมาอีกนับสิบ ๆ

"เอาล่ะโอกาสหายากเช่นนี้มิได้มีมาบ่อยครั้ง!"

"รีบออกไปคว้าส่วนแบ่งของพวกเรากัน!"

เหล่าศิษย์ของวิหารอุดรครามสวรรค์นับว่ามีเปรียบมากในพื้นที่เขตนี้ นี่เป็นเพราะพวกมันสามารถขึ้นบินไปยังทิศทางไหนก็ได้อย่างอิสระเสรี หาได้มีข้อห้ามอันใดไม่

สำหรับตัวพวกมันเองนั้นหาได้มีข้อจำกัดห้ามบินของทางวิหารอุดรครามสวรรค์ไม่ อีกทั้งพวกมันยังไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหนที่พวกมันบินผ่านจะเป็นของทางราชวงศ์เอยหรือจะเป็นของทางขุนนางเอย พวกมันล้วนแล้วแต่สามารถบินข้ามไปได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้การค้นหาไล่ล่าและการจับกุมจึงทำได้สะดวกสบายอย่างมาก

สำหรับทางด้านกลุ่มของเจี้ยงเฉินนั้นมิอาจโผบินได้อย่างอิสระเหนือน่านฟ้าแห่งนี้ เพราะพวกเขามาเยือนอาณาจักรนี้เป็นครั้งแรก พวกเขาต้องเคารพกฎและบินตามเส้นทางบินที่ถูกกำหนดไว้

ด้วยเหตุนี้ทำให้เส้นทางการบินของเขาค่อนข้างมีระยะไกลกว่าเหล่าศิษย์วิหารอุดรครามสวรรค์มากนัก

ไม่นานเหล่ากองกำลังของวิหารอุดรครามสวรรค์ก็เริ่มกระชับพื้นที่ปิดล้อมกลุ่มเจี้ยงเฉินเข้ามาได้อย่างกระชั้นชิด

หลังจากผ่านเวลายากลำบากไปอีก 1 ชั่วยาม กลุ่มของเจี้ยงเฉินก็ทำระยะทางได้เพิ่มมากกว่า 1,000 ลี้ เหลืออีกเพียง 500 กว่าลี้เท่านั้นพวกเขาก็จะบินออกไปจากพื้นที่วิหารอุดรครามสวรรค์ได้เสียที

พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลกับปัญหาใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากวิหารอุดรครามสวรรค์หลังจากที่ออกจากเขตแดนของพวกมันไปแล้ว

ในฐานะที่วิหารอุดรครามสวรรค์เป็นสวนหนึ่งของนิกายพฤกษาสวรรค์ ถึงแม้พวกมันจะกร่างและมีอำนาจถึงเพียงไหนก็ตาม แต่พวกมันหาได้เก่งกล้าสามารถจนถึงขั้นที่สามารถชี้เป็นชี้ตายหรือวางอำนาจที่ไหนก็ได้ในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ เมื่อออกนอกพื้นที่วิหารอุดรครามสวรรค์เมื่อไหร่ พวกมันก็ไม่สามารถกระทำการได้อุกอาจเท่ากับในเขตแดนของพวกมันเอง

อยู่ดี ๆ เจี้ยงเฉินก็รู้สึกกดดันเล็กน้อย เขารู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างในขณะที่กำลังบินอยู่

"หทัยแกร่งดั่งภูผา" ของเขานั้นได้ฝึกฝนจนอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นที่ 3 และกำลังจะตัดผ่านไปยังขั้นที่ 4 ในอีกไม่นานหลังจากนี้

กล่าวได้ว่าสัญชาตญาณและลางสังหรณ์ของเขานับว่าเหนือล้ำมากกว่าบททดสอบมังกรซอนในสุสานไร้พรหมแดนก่อนหน้านี้อย่างมาก

“ทุกคนเตรียมตัวไว้ให้พร้อมและคอยระมัดระวังเอาไว้ ข้าว่าวิหารอุดรครามสวรรค์ยังมิได้รามือจากพวกเราอย่างแน่นอน ข้าสงสัยว่าพวกมันกำลังติดตามพวกเรามาอยู่ ทุกคนจงเตรียมพร้อมและระวังเอาไว้ให้มาก “

"พวกมันอยากมาก็ให้มันมา ผู้ใดหวาดกลัวมันกัน!" อดีตองค์หญิงโจวหยู่กระชับกระบี่ของนางขึ้นมา ก่อนที่ริมฝีปากสวยเย้ายวนของนางจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มั่นใจ

เจี้ยงเฉินมองไปยังเหล่าคนคุ้มกันส่วนตัวทั้ง 8 และบิดากับคนที่เหลือของเขาทางด้านหลัง

ในการเดินทางครั้งนี้กลุ่มของเจี้ยงเฉินมีเพียง 20 กว่าคนเท่านั้น อีกทั้งเหล่านกหงส์ทองที่นำมาคราวนี้ก็มีเพียงแค่ 20 ตัว ส่วนนกหงส์ทองส่วนที่เหลือเขาได้ทิ้งพวกมันไว้ในพื้นที่รกร้างนอกอาณาจักรไม่ได้นำพวกมันมาด้วยแต่อย่างใด

เจี้ยงเฉินจำเป็นต้องกระทำเช่นนี้ เพราะหากเขานำนกหงส์ทองจำนวนนับร้อย ๆ ตัวตามติดข้ามพรหมแดนมาด้วยรับรองต้องมีปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน

พวกเขามิพ้นต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที เพราะมีกำลังรบสูงถึงเพียงนี้

เหตุการณ์ทั้งหมดนับว่าเป็นไปตามการคาดการณ์ของเจี้ยงเฉินอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ต้องกล่าวถึงนกหงส์ทองเกือบพันเลย เพียงแค่ 20 กว่าตัวยังเตะตาผู้อื่นจนเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเสียแล้ว

"บัดซบ นี่มันใกล้ถึงสุดเขตของวิหารอุดรครามสวรรค์พวกเราแล้วมิใช่หรือไร" หูที่ใช้ออกด้วยสดับเทพวายุของเจี้ยงเฉินพลันดักจับร่องรอยบทสนทนาของศัตรูได้

"ทุกคนเตรียมพร้อมป้องกันตัวให้ดี กระจายตัวตามรูปแบบ" เจี้ยงเฉินสั่งการทันที

ตอนนี้เจี้ยงเฉินหาได้เป็นชายคนเดิมที่พ่ายแพ้ผู้แสวงหาเต๋าอาณาจักรปราณจิตวิญญาณที่หุบเขาบรรจบอีกต่อไป เขาได้ฝึกฝนเหล่านกหงส์ทอง ในการประสานงานก่อตั้งค่ายกลหมัด 8 ปรมัตถ์ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา

ตอนนี้ค่ายกลนั้นสามารถแยกได้ออกเป็นหลายส่วน เล็ก กลาง ใหญ่ หมุนเวียนแปรผันไร้รูปแบบ ผสานสร้างก่อเกิดมิรู้จบ รวมทั้งยังสามารถผนึกกำลังทั้งหมดก่อตั้งค่ายกลขนาดมหึมาได้อีกด้วย

ตอนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังรบที่ด้อยที่สุดที่เจี้ยงเฉินมีอยู่คือผู้คุ้มกันส่วนตัวทั้ง 8 คน ของเขานั่นเอง นอกเหนือจากซื่อตงแล้ว คนที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณแท้จริงขั้นที่ 8 เท่านั้น ส่วนตัวซื่อตงนั้นดีหน่อยที่มันสามารถตัดผ่านไปยังระดับ 9 ปราณแท้จริงได้แล้ว

อย่างไรก็ตามผู้คุ้มกันทั้ง 8 คนของเขายังมีความสามารถในการก่อตั้งค่ายกลหมัด 8 ปรมัตถ์ หลังจากที่ได้รับการเคี่ยวเข็ญและฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหลายเดือน ตอนนี้เหล่าคนคุ้มกันของเขาสามารถเข้าใจค่ายกลหมัด 8 ปรมัตถ์ไปได้ราว ๆ  7-8 ส่วนแล้ว

ตอนนี้หากให้พวกเขาทั้ง 8 คนผนึกกำลังร่วมกันกับเหล่านกหงส์ทองที่พวกเขาขี่อยู่ พวกเขาสามารถปะทะกับ ผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณแท้จริงขั้นสูงสุดจำนวน 10 คนโดยหาได้เป็นรองแต่อย่างใด

และถ้าหากพวกมันสามารถตัดผ่านไปยังระดับปราณแท้จริงขั้นสูงสุดล่ะก็ พวกมันสามารถรับมือผู้แสวงหาเต๋าแห่งอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ 1 คนได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ

ส่วนกลุ่มผู้คุ้มกันส่วนตัวของเจี้ยงเฟิงนั้นดีกว่ากลุ่มผู้คุ้มกันของเจี้ยงเฉินตรงที่ พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นฝึกตนอาณาจักรปราณแท้จริงขั้นสูงสุดทั้งหมด

แต่แน่นอนว่าคนที่มีความสามารถในการสู้รบและแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ก็ย่อมเป็นตัวเจี้ยงเฉินเอง

รองลงมาจากเจี้ยงเฉินแล้วจะเป็นอดีตองค์หญิงโจวหยู่และก็เจี้ยงเฟิงบิดาของตัวเจี้ยงเฉินเอง

"โจวหยู่เข้าไปเป็นคนสั่งการและนำพวกผู้คุ้มกันทั้ง 8 ข้าจะดูแลบิดาของข้าเอง ป้องกันทางด้านปีกซ้ายและขวาให้ดี อย่าให้พวกมันสามารถปิดล้อมพวกเราและตลบหลังได้ " เจี้ยงเฉินกล่าวเตือนนาง

โจวหยู่เชิดคางที่งดงามราวดั่งหยกของนางขึ้นด้วยความมั่นใจ "อย่าได้กังวล ข้าจะมิเป็นภาระให้กับเจ้าอย่างแน่นอน!"

ทั้งกลุ่มยังคงเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมทั้งสร้างแนวป้องกันไปด้วย แม้พวกเขาจะรู้ดีว่ากำลังมีกองกำลังติดตามพวกเขามาอยู่ แต่พวกเขาก็หาได้คิดที่จะหยุดเดินทางหรือเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางหลบหนีไปไม่

หากพวกเขาไม่สามารถรับมือและแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเพียงเท่านี้ได้ เมื่อพวกเขาผ่านพื้นที่ต้องห้ามดั่งเช่นคราวนี้อีก มิปวดหัวหนักไปมากกว่านี้หรอกหรือ

“ศิษย์พี่อี้ ท่านเห็นพวกมันแล้วหรือไม่? นั่นไง พวกมันอยู่ด้านหน้า!” เจี้ยงเฉินที่ใช้ออกด้วยสดับเทพวายุสามารถได้ยินเสียงของศิษย์พี่กวงกล่าวกับศิษย์พี่อี้อะไรของมัน

คราวนี้ท่าทางของศิษย์พี่กวงอะไรนั่นจะดูหงอลงไปเล็กน้อยเมื่อยืนเคียงข้างกับชายหนุ่มอีกคนที่มาด้วยกันกับมัน  ใบหน้าของชายคนนั้นแลดูดุดันเย็นชาอีกทั้งยังมีแผลเป็นจากรอยมีดดาบอยู่ใต้ตาของมันราวกับหนอนตัวเขื่องไต่คลานอยู่ ทำให้ท่าทางของมันกล่าวได้ว่ามิใช่ตัวดีอันใด และย่อมอุบาทว์เลวร้ายมิด้อยกว่าศิษย์น้องระยำด้านข้างมันเป็นแน่

ชายคนนี้เป็นคนที่ศิษย์พี่กวงอะไรนั่นกล่าวเรียกมันว่าศิษย์พี่อี้

"ไปสกัดพวกมันเอาไว้!" เสียงศิษย์พี่อี้ผู้นี้เยือกเย็นและน่าหวาดหวั่นราวกับคมมีด

"รีบไปดักจับพวกมัน!"

กลุ่มคนมากกว่า 10 กลุ่มรีบเร่งความเร็วมังกรไวเวิร์นออกมาถึงขีสุดในขณะที่รุดมาขวางหน้ากลุ่มของเจี้ยงเฉิน

"ไอ้หนู เจ้ายังคิดที่จะหนีอีกรึ?" เสียงของศิษย์พี่กวงดังขึ้น

"เจ้าอยากตายหรือไร?" เจี้ยงเฉินนั้นรับรู้มานานแล้วว่าพวกมันบินประชิดเข้ามาด้านหลัง แต่ที่มันคาดไม่ถึงก็คือไอ้ศิษย์พี่กวงที่ถูกยิงข่มขู่จนหน้าซีดเป็นไก่ต้มนี่ ยังกล้าเสนอหน้ามากล่าววาจาวางท่าเช่นนี้ต่อหน้าเขาอีกครั้ง

เจี้ยงเฉินหันกลับไปยิงเกาทัณฑ์ออกมาในทันทีทันใด โดยไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น

ศรดอกนี้ถูกส่งออกมาอย่างไร้ร่องรอยทำให้มันแลดูรวดเร็วมากเป็นพิเศษ ศิษย์พี่กวงอะไรนั่นกำลังพุ่งมาด้วยความเร็ว ตามหลังมาด้วยศิษย์พี่อี้ที่มิได้เคลื่อนที่ว่องไวเท่าไรนัก ...ไม่มีผู้ใดทันเห็นว่ามันลงมืออย่างไร แต่ในขณะที่ศรดอกนี้ของเจี้ยงเฉินกำลังจะดับลมหายใจของศิษย์พี่กวงในอีกมิเกิน 7 ก้าว กลับบังเกิดประกายแสงสีเงินวาบขึ้นมาในชั่วพริบตา คว้าจับศรดอกนั้นได้ทัน ตัวตนของแสงสีเงินนั้นกลับเป็นโซสีเงินที่ดูสวยงามเส้นหนึ่ง

แน่นอนว่าคนที่ใช้โซ่นี้ย่อมเป็นศิษย์พี่อี้

มันหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา "เจ้ายังมีลูกเล่นอันใด นอกจากลอบยิงศรเช่นนี้อีกหรือไม่?"

โซสีเงินเริ่มสั่นสะเทือนส่งเสียงหวีดวิวดังก้องในอากาศก่อนที่ศิษย์พี่อี้จะสะบัดแขนส่งศรดอกนั้นกลับไปยังเจี้ยงเฉินด้วยความเร็วสูงมันพุ่งแหวกฝ่าอากาศมาอย่างน่าสะพรึง

เจี้ยงเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยามที่เห็นคนผู้นี้ลงมือ

"มันเป็นผู้แสวงหาเต๋าในอาณาจักรปราณจิตวิญญาณงั้นหรือ?"

ความแข็งแกร่งของมันนั้นเห็นได้ชัดว่าเกินกว่าระดับปราณแท้จริง แต่ดูเหมือนมันก็มีอะไรบางอย่างที่พร่องไปไม่สมบูรณ์มากพอที่จะเรียกว่า ระดับปราณจิตวิญญาณ

เจี้ยงเฉินนั้นได้ประจักษ์แจ้งถึงความสามารถผู้แสวงหาเต๋าในอาณาจักรปราณจิตวิญญาณมาก่อนแล้ว แม้แต่ซูเชี่ยนที่นับว่าอ่อนแอยังคงมีขีดความสามารถที่เหนือกว่าชายตรงหน้าของเขา

หากเขาต้องการระบุความแข็งแกร่งของชายหน้าบากคนนี้ เขาคงตอบได้แต่เพียงว่ามันอยู่ในช่วงระหว่างปราณแท้จริงขั้นที่ 11 กับ ขั้นแรกของระดับปราณจิตวิญญาณ

แต่เจี้ยงเฉินนั้นหาได้กล้าประมาทศัตรูตรงหน้าไม่ เขายังกระชับอาวุธวิญญาณที่ยกระดับมาถึง 4 ครั้งอย่างเกาทัณฑ์ต้าหยู่ไว้ในมืออย่างแน่นหนา ก่อนที่เขาจะสะบัดมือปัดลูกศรที่ถูกซัดกลับมาอย่างไม่หวาดหวั่น

"อาจจะยุ่งยากเล็กน้อย!" เจี้ยงเฉินคิดขึ้นมาในใจ

“ศิษย์พี่อี้ ขอบคุณที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ!”ศิษย์พี่กวงนั้นรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากกับการยื่นมือออกมาช่วยเหลือครั้งนี้ของศิษย์พี่อี้ มันได้กระทำซ้ำข้อผิดพลาดที่ผลีผลามดั่งเช่นก่อนหน้านี้และเกือบที่จะดับสิ้นลงอีกครั้งแล้ว

"ยังมัวกล่าวเลอะเทอะอันใด ข้ารับมือคนผู้นี้เอง เจ้ารีบไปจัดการคนอื่น ๆ เสีย "

ศิษย์พี่อี้ผู้นั้นได้จับจ้องไปยังเจี้ยงเฉินที่อยู่ไกล ๆ

ทั้งสองต่างเริ่มสำรวจจับจ้องโอกาสกันและกันโดยไร้ความเคลื่อนไหว ไม่มีใครคิดที่จะลงมือเคลื่อนไหวก่อนเพราะอาจถูกช่วงชิงจังหวะและทำให้เสียเปรียบได้

"ความแข็งแกร่งเจ้านับว่าหาได้เลวร้ายนัก น่าเสียดายที่เจ้ายังยืนอยู่ในอาณาจักรปราณแท้จริงเท่านั้น หาใช่คู่ต่อสู้ของข้าไม่!" เสียงของศิษย์พี่อี้นั้นแหลมคมราวกับโลหะมันช่างทะลุโสตประสาตทำให้ระคายหูยิ่งนัก

"ทำยังกับว่าเจ้าเหยียบย่างเข้าไปในอาณาจักรปราณจิตวิญญาณแล้วอย่างไรอย่างนั้น" เจี้ยงเฉินกล่าวออกมาด้วยความดูแคลน

"ถึงแม้ว่าข้ายังไม่ได้เป็นผู้แสวงหาเต๋าแห่งจิตวิญญาณ แต่ข้าเหลืออีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้นก่อนที่ข้าจะเหยียบย่างเข้าไปในอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะสังหารเจ้าที่เป็นผู้ฝึกตนระดับปราณแท้จริงขั้นสูงสุดแล้ว! "

กลิ่นอายของศิษย์พี่อี้คนนี้แผ่พุ่งออกมาอย่างหนักหน่วงหลังจากที่มันกล่าวจบ

พลังอำนาจของมันถูกปลดปล่อยออกมาเต็มกำลังมันหมุนวนไปทั่วร่างราวกับพายุโหมกระหน่ำ

"สามกระบวนท่า!" ศิษย์พี่อี้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าจะกำจัดเจ้าโดยอาศัยเพียง 3 กระบวนท่า!"

สายลมปั่นป่วนเมฆเริ่มกระจายตัวออกไป

กระแสอากาศรอบ ๆ ตัวของศิษย์พี่อี้เริ่มกระเพื่อมและแตกระเบิดออกมาโดยที่ไร้สิ่งใดไปกระทำ  อีกทั้งกระแสอากาศแลดูจะกระเพื่อมเป็นจังหวะตามการเคลื่อนไหวของมัน

นี่ไม่ใช่ปราณแท้จริง มันลึกลับและทรงพลังมากเกินกว่าจะเป็นปราณแท้จริง

"ห่วงโซ่แห่งเมฆาแลวาโยผสาน คุมขัง!"

ศิษย์พี่อี้ราวกับตัวดขากลับกลายเป็นพ่อมดหมอผี เมื่อเขาสะบัดโซ่สีเงินนั้นไปรอบ ๆ กาย กระแสอากาศรอบ ๆ พลันพุ่งออกไป หวังจับกุมตัวเจี้ยงเฉิน

"ปราณจิตวิญญาณหลอมรวม ก่อเกิดสายลม!"

เจี้ยงเฉินรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แท้จริงแล้วศิษย์พี่อี้นี้หาได้กล่าวโอ้อวดตนไม่ ในยามที่มันบอกว่า "อยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่ปราณจิตวิญญาณ" แม้ว่ามันยังมิได้ฝึกฝนการใช้ปราณจิตวิญญาณที่แท้จริง แต่นี่เป็นการใช้ปราณจิตวิญญาณผสานสร้างพันธนาการสายลมอย่างแท้จริง

ด้วยการจู่โจมของสายลมที่พุ่งมารัดพัน เจี้ยงเฉินพลันถูกพันธนาการไปครู่หนึ่ง!

เจี้ยงเฉินจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนที่จะกระชับดาบไร้นามของมันขึ้นมา ในขณะที่ศิษย์พี่อี้เตรียมการโจมตีเจี้ยงเฉินนั้น ใบดาบของเขาถูกอัดแน่นไปด้วยพลังปราณแท้จริงที่พลุ่งพล่าน พลังปราณที่แท้จริงจำนวนมหาศาลควบแน่นอยู่อย่างบ้าคลั่งราวกับคลื่นน้ำจากท้องมหาสมุทร ยามปลดปล่อยเกรงว่าจะรุนแรงมิต่างอันใดกับท่อส่งน้ำแรงดันสูง พลังปราณคงถูกรีดเค้นออกมาอย่างน่าหวาดกลัว

นกหงส์ทองที่บรรทุกเจี้ยงเฉินอยูนั้นราวกับมันรับรู้เจตนารมณ์ของนายมันได้เป็นอย่างดี จังหวะการเคลื่อนไหวและลมหายใจอีกทั้งพลังปราณของมันสอดคล้องกับเจี้ยงเฉินอย่างสมบูรณ์แบบ นับเป็นการผสานพลังคนสัตว์ได้อย่างไร้ที่ติ

"ห้วงมหรรณพคุ้มคลั่ง ระลอกคลื่นเกรี้ยวกราด โถมกระหน่ำ... สะบั้น!!"

นกหงส์ทองพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูง ในขณะเดียวกันนั้น คลื่นดาบสีทองเจิดจรัสงดงามไร้เสมอเหมือนรูปร่างเป็นเส้นโค้งที่สมบูรณแบบไร้ที่ติ ถูกซัดผ่าอากาศออกไปราวกับจะแยกผืนนภาให้ฉีกขาดออกจากกัน

นี่เป็นรูปแบบที่ 3 ของ หนึ่งกระแสแยกห้วงมหรรณพ – ระลอกคลื่นถาโถม!

ปล1.ชื่อวิชาผมจำไม่ได้นะ เอาที่มันใกล้เคียง Eng มากที่สุดแล้ว

ปล2. ผู้ฝึกตนระดับปราณจิตวิญญาณ , ผู้แสวงหาเต๋าแห่งอาณาจักรวิญญาณ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันใช้คำเรียกต่างกันแต่คือเหมือนกัน ไม่ต้องงงนะ หรือจะให้เปลี่ยนเป็นทื่อๆเหมือนเดิมก็ได้ --- พอเข้าระดับปราณจิตวิญญาณ แต่ละคนต้องค้นหาและเดินตามเส้นทางเต๋า

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.