หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 131 ศิษย์จากวิหารอุดรครามสวรรค์แผลงฤทธิ์

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

แท้จริงแล้วเทียนหลงยังคงลังเลเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะว่าภาระหน้าที่ของทหารลาดตระเวนเพื่อปกปักรักษาดินแดนเช่นเขามีความสำคัญมาก จนไม่สามารถละทิ้งหน้าที่เพื่อใช้เวลาเดินทางกลับไปยังบ้านแล้วล่ะก็ เขาไม่คิดที่จะฝากสิ่งของที่มีความสำคัญกับความเป็นอยู่ของครอบครัวเช่นนี้ไว้กับคนแปลกหน้าเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม...ยามนี้ครอบครัวของเขากำลังเฝ้ารอของชิ้นนี้อยู่ หากว่าขืนรอเวลาจนมันชักช้าเสียการแล้วล่ะก็ คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากทีเดียว

เทียนหลงนั้นได้ถกเถียงกับตัวเองมาตั้งแต่เมื่อ 2 วันก่อนว่า ตัวเขาควรกลับหรือไม่ควรกลับไปยังบ้านของเขาดีและหากกลับไปเขาจะรับโทษทัณฑ์นี้ไหวหรือไม่ เพราะเขารู้ดีหากเขาแอบกลับบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นนี้ จะมีความผิดข้อหาละทิ้งหน้าที่ การลงโทษสถานเบาจากการกระทำผิดในลักษณะนี้คือเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งที่มีเกียรตินี้ ...ส่วนสถานหนักนั้นอาจจะต้องละทิ้งลมหายใจสุดท้ายของเขาไป...ประหาร!

ตัวเทียนหลงนั้นหากทำเพื่อครอบครัวแล้วมันหาได้หวาดหวั่นกับความตายไม่ แต่มันก็ย่อมรู้ดีอีกเช่นกันว่าหากครอบครัวขาดมันที่เป็นผู้อุ้มชูแล้วล่ะก็พวกมันก็มิพ้นอดตาย

เทียนหลงนั้นเป็นเสาหลักของครอบครัว ถ้าเขาล้มลงครอบครัวของเขาจะพังครืนตามลงไปด้วย

ดังนั้นเทียนหลงจึงตัดสินใจที่จะไม่ฝ่าฝืนกฎ เขาล้มเลิกความตั้งใจในการหลบหนีกลับบ้านในวันนี้ไป เขาคิดที่จะฝากฝังของสิ่งนี้แก่ผู้อื่นเพื่อนำกลับไปมอบให้ที่บ้านของเขาแทน แต่ด้วยความที่สถานะของอัศวินมังกรลาดตระเวนชายแดนของเขานั้นต่ำต้อย ทำให้รายได้นั้นน้อยนิดนัก...รายได้จากงานลาดตระเวนของเขาต่อเดือนหากเทียบกับสิ่งของที่อยู่ในมือนี้แทบจะเป็น 1 ใน 10

ถึงแม้งานของเขาจะดูทรงเกียรติแต่ค่าตอบแทนที่ได้รับนั้นเพียงพอให้มันหยิบจ่ายซื้ออาหารประทังชีวิตครอบครัวได้ไปวัน ๆ เท่านั้น แถมสถานะทางสังคมของมันยังต้อยต่ำอย่างมากอีกด้วย

นี่ย่อมทำให้มันไม่ไว้วางใจสหายหรือทหารคนใดทั้งสิ้นที่จะมอบของล้ำค่าเช่นนี้กลับไป

อีกอย่างคนที่มันมิรู้จักเลยก็เป็นเพียงคนแปลกหน้า...นับว่าหนักหนากว่าสหายที่ดูไม่น่าไว้ใจของมันเสียอีก

แต่คณะเดินทางของเจี้ยงเฉินนี่นับว่าดูดีมีคุณธรรมนัก นอกจากนี้เจี้ยงเฉินยังดูเป็นคนใจกว้างแถมน่าจะมีสถานะสูงส่งเพราะได้รับการยอมรับจากองค์ชายสี่

เทียนหลงได้รวบรวมความกล้าของมันเพื่อกล่าวขอความช่วยเหลือออกมา เหตุผลที่มันพยายามอธิบายเรื่องราวในเมืองหลวงโดยละเอียดแท้จริงแล้วกลับมีเจตนาส่วนนี้แฝงเร้นอยู่ไม่น้อย นับว่ามันปูทางมาได้ไม่เลวนัก

ยิ่งไปกว่านั้นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจฝากฝัง ยังเป็นเพราะเจี้ยงเฉินนั้นมอบสิ่งของล้ำค่าให้แก่มันโดยไม่คิดอันใดมาก แม้เขาจะรู้ดีว่าสิ่งของที่มันฝากไปให้กับครอบครัวนั้น สำหรับสายตาของเจี้ยงเฉินแล้วไม่นับว่ามีราคาค่างวดอันใด เพราะสิ่งของที่ฝากไปนั้นหากเทียบกับโอสถแห่งท้องทะเลลึกแล้วนับว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว

แต่สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือ คณะเดินทางของเจี้ยงเฉินนั้นมีสัตว์พาหนะที่ดูยิ่งใหญ่และเตะตามากเกินไป มันอาจจะทำให้พวกเจี้ยงเฉินมีปัญหาได้หากเดินทางผ่านดินแดนของพวกวิหารอุดรครามสวรรค์ หรือหุบเขาชิงหยาง

สิ่งของที่เขาต้องการฝากฝังไปนั้นต้องถึงมือครอบครัวเขาภายใน 7 วัน เกรงว่าหากล่าช้าไปแล้วล่ะก็ถึงได้รับไปก็ไม่มีความหมายอะไร

ด้วยความคิดในแง่ร้ายและความกังวลต่าง ๆ ในหัวของเทียนหลง ทำให้เขานั้นย้ำคำกับเจี้ยงเฉินและแสดงทีท่ากังวลออกมาอย่างหนัก

เจี้ยงเฉินพลันยื่นมือมาจับไหล่ของมัน "อย่าได้กังวล ข้ารู้ดีว่าสิ่งของนี้สำคัญกับครอบครัวท่านอย่างไร ข้าสัญญาว่ามันจะมิมีวันล่าช้าเป็นอันขาด"

เทียนหลงรู้สึกประทับใจอย่างมาก ด้วยอาชีพและสถานะของเขานั้นนับว่าต่ำต้อยนัก

ทว่าสหายขององค์ชายสี่ผู้นี้กลับใจกว้างนัก ไม่เพียงแต่เขายินดีรับฝากของนำส่งไปยังบ้านของมัน แต่เขายังแตะไหล่ให้กำลังใจของมันเช่นนี้อีกด้วย

"นายน้อยท่านนับว่าเป็นคนที่จิตใจประเสริฐและสูงส่งนัก ข้าผู้ต่ำต้อยเทียนหลงขอบังอาจรับทราบนามอันสูงส่งของท่านได้หรือไม่"

"เอาล่ะ แซ่ของข้าคือเจี้ยง ข้าแน่ใจว่าพวกเราย่อมมีวันได้พบกันอีก ข้าจะเลี้ยงอาหารท่านเองยามที่ท่านกลับไปถึงเมืองหลวง " เจี้ยงเฉินกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนที่มันจะโบกมือลา นำพากลุ่มของมันบินจากไป

เมื่อเขาบินไปตามเส้นทางที่เทียนหลงแนะนำก็นับว่าสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ด้วยระดับความเร็วของเหล่านกหงส์ทองเพียง 1 ชั่วยามพวกเขาก็สามารถเดินทางได้ถึง 1,000 ลี้

"เอาล่ะพวกเจ้าลดความเร็วลงหน่อย ตอนนี้พวกเราคงเข้าใกล้เขตแดนของวิหารอุดรครามสวรรค์ดั่งคำกล่าวของเทียนหลงแล้ว  พวกเราต้องทำการระมัดระวังเพื่อมิให้ไปล่วงล้ำอาณาเขตของพวกมัน" เจี้ยงเฟิงที่มีประสบการณ์กล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

เขารู้ดีว่าเจี้ยงเฉินและเหล่าผู้ติดตามทั้งหลายนับว่ายังเยาว์วัยนัก พวกมันอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากมายและสนุกสนานกับการเดินทางเที่ยวบินนี้ นั่นทำให้เขากังวลว่าพวกมันอาจจะดื้อรั้นหรือหยิ่งกันเกินไปจนละเลยคำเตือนแล้วอาจทำให้เกิดปัญหายากแก้ไขได้

ทว่าเจี้ยงเฉิงนั้นหาได้มีบุคลิกหัวรั้นหรือหยิ่งอะไรดั่งเช่นเด็กหนุ่มทั่วไปไม่ เขาลดความเร็วลงอย่างว่าง่าย อีกทั้งดูท่าทางเขาจะชอบบินช้า ๆ เช่นนี้มากกว่าด้วย

"นายน้อยเฉิน นับว่าอาณาจักรนภาจันทร์นี้กว้างใหญ่นัก อีกทั้งยังมีภูมิประเทศหลากหลายรูปแบบอีกด้วย น่าตื่นตาตื่นใจนัก" นี่เป็นครั้งแรกของเฉียวไป่ชี่ที่มีโอกาสเดินทางมายังอาณาจักรนภาจันทร์

ทุกสิ่งล้วนน่าตื่นตาตื่นใจและเป็นสถานที่ใหม่ ๆ น่าท่องเที่ยวสำหรับเขายิ่งนัก

"สมแล้วที่อาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วแผ่นดิน" แม้กระทั่งคนที่ภาคภูมิใจในตัวเองสูงอย่างโจวหยู่ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมา

หากนำอาณาจักรตะวันออกมามาเปรียบเทียบกับอาณาจักรนภาจันทร์แล้วล่ะก็...เกรงว่าจะด้อยกว่ากันมากนัก

เจี้ยงเฉินทำเพียงยิ้มโดยที่เขาไม่ได้กล่าววาจาอะไรออกมา ในแง่ของวิสัยทัศน์ ชีวิตนี้เขาหาได้มีโอกาสออกไปเยี่ยมชมสถานที่ใดมากมายนัก แต่ตัวเขานั้นได้เฝ้ามองความเป็นไปของสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหลาย อีกทั้งยังมองเห็นทุกความเป็นไปในอาณาจักรต่าง ๆ ทั้งคงอยู่และดับไปบนโลกมาหมดสิ้นแล้วในชีวิตก่อนหน้านี้...

อาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้หากจะกล่าวไปมันเพียงใหญ่กว่าอาณาจักรตะวันออกไม่ได้มากมายเท่าไรนัก แต่ที่มากกว่าอย่างล้นเหลือนั้นคือทรัพยากรที่มีค่าต่าง ๆ...แต่สำหรับในใจของเจี้ยงเฉินแล้ว พวกมันล้วนแต่เป็นอาณาจักรธรรมดาเหมือน ๆ กัน

อาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ กับอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ใหญ่กว่าขึ้นมาหน่อยก็แค่นั้น

โชคดีที่เฉียวไปชี่และคนอื่น ๆ นั้นก็นับว่ามีสถานะสูงพอสมควรเมื่ออยู่ที่อาณาจักรตะวันออก พวกเขาจึงไม่ค่อยเสียกริยาหรือคลั่งไคล้อะไรมากนัก

นี่หากเจ้าอ้วนซวนอยู่ข้าง ๆ เขาล่ะก็คงไม่พ้นตะโกนโหวกเหวกโวยวายตื่นเต้นแทบตายแล้ว สิ่งแรกที่มันคิดกระทำคงมิพ้นไปเสาะหาหนังสือโป๊เลื่องชื่อในอาณาจักรนี้แน่นอน...

อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนซวนนั้นหาได้ติดตามเจี้ยงเฉินมาไม่ แต่นี่มิใช่เพราะว่ามันมิได้อยากติดตามมา ที่จริงแล้วมันย่อมยินดีที่จะติดตามเจี้ยงเฉินอย่างมาก

แต่สุดท้ายแล้วสถานะของเจ้าอ้วนซวนนั้นก็เป็นถึงบุตรชายคนเดียวของขุนนางจินฉาน และเป็นทายาทที่จะสืบทอดตำแหน่งขุนนางนี้ บิดาของมันจะปล่อยมันมาได้อย่างไร

ปัจจุบันนั้นขุนนางจินฉานนับได้ว่าเป็นขุนนาง 1 ใน 4 ของขุนนางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรตะวันออก และเจ้าอ้วนซวนก็เป็นทายาทที่จะสืบทอดตำแหน่งขุนนาง 1 ใน 4 ที่มีอำนาจมากที่สุด หากมันละทิ้งตำแหน่งนี้มาเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายอันใหญ่หลวงในตระกูล

ดังนั้นถึงแม้เจ้าอ้วนซวนจะไม่เต็มใจถึงเพียงไหน มันก็ได้แต่จำใจนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บ้านนิ่ง ๆ รอสืบทอดตำแหน่ง...

หูปิ่งหยูก็เช่นกัน แต่ทว่าเป้าหมายในชีวิตของหูปิ่งหยูนั้นเหนือกว่าเจ้าอ้วนซวนมากนัก ถึงแม้เขาจะชื่นชมเจี้ยงเฉินอย่างมาก แต่ตัวเขาเองก็มีความทะเยอะทะยานอย่างมากด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าเจี้ยงเฉินนั้นก็ไม่ได้ดึงดันที่จะนำทั้งสองคนมาให้ได้  เพราะท้ายที่สุดแล้วสองคนนี้ก็นับว่าเป็นเศษเสี้ยวมิตรภาพที่เหลืออยู่ในชีวิตเสเพลของเจี้ยงเฉินคนก่อน...

ในขณะที่กลุ่มของเจี้ยงเฉินกำลังบินกินลมช้า ๆ อย่างสบาย ๆ อยู่นั้นเอง หูของเจี้ยงเฉินที่ใช้ออกด้วยสดับเทพวายุพลันจับคลื่นเสียงที่เกิดจากการสั่นไหวของพลังปราณแท้จริงได้จากระยะไกล ๆ มันเป็นการสั่นไหวที่เกิดจากกระแสพลังปราณแท้จริงที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง...และหากเจี้ยงเฉินฟังมิผิดมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้

เจี้ยงเฉินเอ่ยปากสั่งคนของเขาทันที ให้ทุกคนค่อย ๆ ลดความเร็วของนกหงส์ทองลง ก่อนที่จะหยุดแล้ว เริ่มบินหลบออกไปจากเส้นทาง

เขาไม่ต้องการให้กลุ่มคนด้านหน้าที่กำลังบินด้วยความเร็วราวสูงกับลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศรเช่นนี้ปะทะกับกลุ่มคนของเขาให้บาดเจ็บ

ถึงแม้ว่าเจี้ยงเฉินหาได้หวาดกลัวที่จะปะทะกับพวกมันไม่ แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะสร้างปัญหาอะไรได้โดยไม่จำเป็น

"หน่วยเขี้ยวมังกรกำลังปฏิบัติภารกิจ ด้านหน้าหลบไปให้หมด! "

เสียงตะโกนดังสนั่นเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ก่อนที่เส้นแสงสีเหลืองจะพุ่งแหวกอากาศมา แสงสีเหลืองทั้งสองนั้นไล่ล่ากันบินพุ่งทะลุผ่านเข้าไปในหมู่เมฆก่อนที่จะฉวัดเฉวียนไปมา ปีกของมันนับว่าแข็งแกร่งไม่น้อยถึงบินได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ไม่นาน ทั้งสองก็บินไปทางกลุ่มของเจี้ยงเฉิน

เจี้ยงเฉินยกมือสะบัดเป็นสัญญาณสั่งให้เหล่านกหงส์ทองหลบทาง

แสงสีเหลืองทั้งพุ่งแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูงนั้นไม่ได้คิดชะลอความเร็วแม้แต่นิดพวกมันบินผ่านหน้ากลุ่มของเจี้ยงเฉินไปโดยไม่คิดทักทาย ทั้งสองเพียงประหลาดใจกับสัตว์ขี่ของกลุ่มเจี้ยงเฉินเล็กน้อยเท่านั้น

หนึ่งในพวกมันที่ผ่านไปสบถว่า "เอ๊ะ?" แต่ว่าไม่ได้หยุดบินแต่อย่างใดพวกมันรีบเร่งบินจากไปอย่างถึงที่สุด

เพียงแค่หนึ่งลมหายใจแสงสีเหลืองทั้งสองเส้นก็บินหายลับเข้าไปในหมู่เมฆด้วยความเร็วสูง พวกมันหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยแม้แต่นิด

"หน่วยเขี้ยวมังกรงั้นรึ?" เจี้ยงเฉินจำได้ว่า เย่หลงเคยเล่าให้ฟังว่า ในเมืองหลวงนภาจันทร์นั้นจะมีหน่วยเขี้ยวมังกรคอยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย หากจะกล่าวไปก็มีส่วนคล้ายกับกองทัพสวรรค์ของอาณาจักรตะวันออกไม่น้อย

จะต่างกันตรงที่อำนาจและสถานะ รวมถึงหน้าที่ของหน่วยเขี้ยวมังกรนั้นเหนือกว่ากองทัพสวรรค์อย่างเทียบไม่ติด

อย่างน้อยที่สุดกองทัพสวรรค์ของอาณาจักรตะวันออกนั้น ก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายพอที่จะมาติดตามสืบสาวคดีเช่นนี้ แต่ทว่าหน่วยเขี้ยวมังกรนี้ดูเหมือนจะกระจายไปทั่วทั้งอาณาจักร

อีกทั้งเมื่อไหร่ก็ตามเจ้าหน้าที่หรือขุนนางท้องถิ่นพบเห็นพวกมันพลันต้องศิโรราบรวมทั้งทำความเคารพ

หน่วยเขี้ยวมังกรนี้นับได้ว่าเป็นตัวแทนของราชสำนักของอาณาจักรนภาจันทร์ หากจะพูดกันตรงก็คือพวกมันนั้นรับคำสั่งจากองค์ราชาเพียงผู้เดียวเท่านั้น

สำหรับคนอื่น ๆ นั้นไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ตามไม่เว้นแม้แต่ขุนนางที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรนภาจันทร์พวกมันก็ต้องไว้หน้า และคิดถึงผลกระทบก่อนที่จะระรานหน่วยเขี้ยวมังกร

"หน่วยเขี้ยวมังกรนี้นับว่าแข็งแกร่งไม่น้อย" โจวหยู่นั่นเดาะลิ้นของนางเล็กน้อย "เป็นไปได้หรือไม่ ที่หน่วยเขี้ยวมังกรระดับธรรมดาก็ล้วนแล้วแต่มีสัตว์วิญญาณไว้ขับขี่เช่นนี้?"

น้ำเสียงของโจวหยู่นั้นมีร่องรอยความสงสัยและประหลาดใจอยู่ในนั้น

เพราะแม้กระทั่งคนของราชวงศ์ตงฟางเองก็หาได้มีสัตว์วิญญาณส่วนตัวเช่นนี้ไม่ ไม่ใช่ว่าอาณาจักรตะวันออกนั้นไม่มีสัตว์วิญญาณไว้ขับขี่เช่นนี้ แต่อาณาจักรตะวันออกขาดแคลนผู้คนที่สามารถขับขี่มันได้ต่างหาก

สำหรับเจี้ยงเฉินในสายตาโจวหยู่นั้น นับว่าเขาเป็นตัวตนแปลกประหลาดเหนือกฎเกณฑ์โดยสิ้นเชิง การที่มันสามารถควบคุมและบังคับนกหงส์ทองพวกนี้ รวมถึงออกคำสั่งให้ผู้อื่นขึ้นขี่อาศัยได้ นางไม่ทราบว่าเจี้ยงเฉินทำได้อย่างไร แต่นี่เป็นความลับส่วนตัวของเขา นางก็ไม่คิดซักไซ้ไล่เลียงอันใด

"ช่างมันเถอะ พวกเราไปกันต่อ" แม้ว่าเจี้ยงเฉินจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เขาก็หาได้ใส่ใจอะไรมากมาย

ทั้งกลุ่มเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง แต่เมื่อเดินทางไปได้เพียง 1 เค่อ สดับเทพวายุของเจี้ยงเฉินพลันจับกระแสสั่นไหวของพลังปราณได้อีกครั้ง และกระแสสั่นไหวที่เกิดจากคลื่นพลังครานี้นั้นมากมกว่าก่อนหน้านี้นับสองเท่า

7-8 ลำแสงเกาะกลุ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ส่องประกายบินแหวกนภาฝ่าอากาศมาอย่างรวดเร็ว

เจี้ยงเฉินและกลุ่มคนของเขาได้หยุดและหลีกออกไปด้านข้างทางอีกครั้งเพราะคิดว่าพวกมันคงบินมาด้วยความเร็วสูง

แต่คิดไม่ถึงกลุ่มแสงเหล่านั้นพลันหยุดลงต่อหน้าพวกเขาในทันที

ทั้งหมดเป็นมังกรไวเวิร์นจำนวน 8 ตัว ที่มีใบหน้าไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร อีกทั้งยังกางเขี้ยวเล็บข่มขู่พวกเขาราวกับโกรธแค้นกันมาอย่างมิอาจอยู่ร่วมโลก...หากสังเกตดี ๆ เหมือนกับว่าพวกมันจะพยายามข่มขู่เหล่านกหงส์ทองมากกว่าข่มขู่ผู้คน

เหล่ามังกรไวเวิร์นพวกนี้ดูเหมือนจะมีระดับชนชั้นที่สูงกว่า มังกรไวเวิร์นของหน่วยลาดตระเวนชายแดนอย่างเทียนหลง

“หืม?  พวกมันขับขี่ตัวอันใดกัน? " ชายหนุ่มคนหนึ่งบนหลังไวเวิร์นกล่าวถามขึ้นมา หลังจากเห็นนกหงส์ทองที่กลุ่มของเจี้ยงเฉินกำลังขับขี่อยู่

เจี้ยงเฉิน ,โจวหยู่ และคนอื่น ๆ ได้แต่หันมองหน้ากันด้วยความเอือมระอา ที่ไม่ควรมากลับมาเสียได้ สิ่งที่พวกเขามิอยากพบเจอกลับมาเคาะประตูหน้าบ้านเขาถึงที่...

กลุ่มคนตรงหน้าทั้งหมด 8 คนนี้ ล้วนสวมชุดคลุมสีแดงปักด้วยลายเส้นสีฟ้า...

เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนด้านหน้าเหล่านี้คือเหล่าศิษย์จากวิหารอุดรครามสวรรค์ ที่เทียนหลงย้ำนักย้ำหนาให้พวกเขาหลีกเลี่ยงพวกมัน และอย่าพยายามไปสร้างปัญหากับพวกมันเป็นอันขาด...

เจี้ยงเฉินและคนทั้งกลุ่มเองก็พยายามปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดแล้ว พวกมันทั้งบินต่ำ ทั้งไม่บินออกนอกเส้นทาง เมื่อพบเห็นใครพวกมันก็พยายามไม่ให้เกิดปัญหาแล้ว แต่เมื่อแปดคนนี้หยุดรั้งมังกรไวเวิร์นตรงหน้ากลุ่มของพวกเขาเช่นนี้...เกรงว่าคงมิอาจหลบปัญหาที่มาหาถึงที่เชนนี้ได้แล้ว

"เฮ้ย! พวกเจ้าดูไปมิค่อยคุ้นหน้าสักเท่าไร พวกเจ้ามาจากไหนและคิดไปที่ใดกัน?" ชายหนุ่มอายุราว ๆ 24 ปีกล่าวถามออกมา

มองไปมันน่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มตัวอุบาทว์เหล่านี้ จากรูปแบบคำพูดของและท่าทางโอหังของมัน คงมิพ้นพยายามหาเรื่องผู้อื่นด้วยการสอบถามระรานผู้คนไปทั่วเพราะความหยิ่งผยอง

"ไปเมืองหลวง" เจี้ยงเฉินเพียงตอบออกไป 2 คำ

"บัดซบ ศิษย์พี่ข้าถามว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด "

เจี้ยงเฉินมองไปยังกลุ่มตัวอุบาทว์ "สำคัญนักหรือ?"

"ไอ้หนู จะสำคัญหรือไม่สำคัญมันธุระกงการอันใดของเจ้า! เจ้าเพียงต้องตอบเมื่อพวกข้าถาม!" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวตะโกนแทรกขึ้นมา

ใบหน้าที่ที่สวยงามของโจวหยู่เริ่มเย็นชาลงเรื่อย ๆ บุคลิกภาพและเต๋าในใจของนางนั้นย่อมมิยินยอมให้ผู้ใดมาข่มเหงหรือข่มขู่เช่นนี้เป็นแน่ ถึงแม้วิหารอุดรครามสวรรค์จะเป็นตัวตนที่นางไม่สมควรมีเรื่องด้วย แต่ตัวนางที่บ่มเพาะมาด้วยหนทางเด็ดเดี่ยวทระนงกว่า 20 ปีมีหรือจะยอมได้?

แต่ในขณะที่นางกำลังจะระเบิดอารมณ์ทั้งหมดใส่พวกตัวอุบาทว์นั้นเอง เจี้ยงเฉินพลันยกมือห้ามนางเอาไว้

"ทุกท่านพวกเราเพียงสวนทางกันเท่านั้น  ถนนยิ่งใหญ่หนทางกว้างไกลเส้นทางสู่สวรรค์เองก็มีมากมาย ใยทุกท่านไม่ต่างคนต่างเดินตามทางของตน พวกท่านจะรั้งพวกข้าให้เสียเวลากันไปเพื่ออะไร เหตุใดไม่แยกย้ายกันไปเล่า? "

เจี้ยงเฉินไม่ต้องการให้เกิดปัญหา แต่เขาหาได้ยินดีที่ต้องมาถ่อมตนหลบหน้าถอยไปหรือยอมแพ้เป็นอันขาด

“หืม? พวกตัวบัดซบเหล่านี้หาได้เป็นคนของอาณาจักรนภาจันทร์เป็นแน่! "

"พวกมันเป็นสายลับของอาณาจักรอื่นที่แฝงตัวมาสืบความลับของอาณาจักรพวกเราหรือไม่? เมื่อพิจารณาสัตว์วิญญาณที่พวกมันใช้ขี่ สัตว์ตัวนี้มิได้มีอยู่ในอาณาจักรนภาจันทร์ของพวกเราอย่างแน่นอน แล้วจะมีผู้ใดกล้าว่าอันใดพวกเรา หากพวกเราจะจับกุมพวกมันเพื่อสืบสาวเรื่องราวเสียก่อน "

"ข้าว่า พวกเราไปรีบตามจับตัวไอ้สองนักต้มตุ๋นนั่นเสียก่อนจักดีกว่า ไอ้อุบาทว์พวกนั้นกลับกล้าปลอมแปลงสถานะเป็นหน่วยเขี้ยวมังกรมาหลอกลวงพวกเรา ที่บัดซบน่าตายที่สุดคือพวกมันกลับกล้าหลอกลวงจนขโมยอินทรีย์เทวะปีกเหลือง ทั้ง 2 ตัวของพวกเราไปได้"

ไม่ใช่ว่าคนวิหารอุดรครามสวรรค์จะมีแต่พวกชอบสร้างปัญหา นับว่ายังมีคนที่เห็นความสำคัญของภารกิจตนมากกว่าการที่จะมัวมาหาเรื่องผู้คนข้างทางเช่นนี้...

Back  /  Next

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.