หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 130 เจี้ยงเฉินผู้ใจกว้าง

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

มีคนผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ยามใดที่สตรีนั้นดื้อรั้นและตัดสินใจไปแล้วด้วยอารมณ์แน่วแน่ของนาง ต่อให้ใช้วัว 10 ตัวฉุดลากก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของนางได้

และยิ่งเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวดั่งเช่นองค์หญิงโจวหยู่นั้นยิ่งดื้อรั้นนัก นางได้ปลดพันธนาการที่ฉุดรั้งตัวนางเอาไว้โดยการละทิ้งฐานันดรองค์หญิงของนาง และยามนี้นางเป็นแค่เพียงสตรีที่หลงใหลในหนทางแห่งเต๋า นางมุ่งหวังเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น นางตัดสินใจเดินตามเสียงหัวใจของนางและเสียงหัวใจนั้นเรียกร้องให้นางติดตามเจี้ยงเฉินไปในฐานะลูกศิษย์

นางได้ตั้งใจที่จะทำเช่นนี้ด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่...ไม่ว่าเจี้ยงเฉินจะกล่าวอะไรก็ไม่อาจเปลี่ยนใจนางได้

"เจี้ยงเฉิน ท่านไม่ต้องพูดแล้ว แม้ว่าท่านจะตีข้าดุด่าข้าหรือจับข้าโยนออกไป ข้าก็จะกลับมา ผิวหนังข้าหนายิ่งนักอีกทั้งข้ายังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ท่านสลัดข้ามิหลุดหรอก" โจวหยู่เริ่มแสดงทีท่าแน่วแน่ไม่ยินยอมย่อท้อ ผสมกับความเอาแต่ใจออกมา

"เอาล่ะ ๆ ข้ายอมท่านแล้ว" เจี้ยงเฉินเข้าใจคนอย่างโจวหยู่เป็นอย่างดี เมื่อสตรีเช่นนี้ตัดสินใจไปแล้ว นางไม่ต่างอันใดกับม้าป่าที่ถูกบังคับจับใส่บังเหียน ไม่ว่าท่านจะตะโกนว่ากล่าวหรือบังคับแค่ไหน มันก็ไม่ยินยอมกระทำตามท่านแน่นอน

สิ่งเดียวที่ต้องทำคือการปล่อยให้มันทำตามที่ใจของมันต้องการ

อีก 3 วันต่อมา คณะของเจี้ยงเฉินก็เริ่มต้นการออกเดินทาง เหล่าผู้คุ้มกันทั้ง 8 คนของเจี้ยงเฉินและลูกศิษย์ของเขาก็มากันหมดทุกคน  แต่ทว่าเขาไม่ได้พาสี่พี่น้องตระกูลเฉินไปด้วยแต่เจี้ยงเฉินเลือกที่จะส่งพวกมันไปยังกองทัพนักรบสวรรค์แทน

หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนอบรมอยู่นานทั้งสี่พี่น้องตระกูลเฉินก็เก่งกล้าสามารถจนสามารถเป็นทหารยศระดับแม่ทัพอาวุโสได้อย่างไม่ยากเย็น เมื่อพวกมันเข้าไปยังกองทัพนักรบสวรรค์ ก็นับว่าเป็นที่พึ่งพาของราชวงศ์ตะวันออกได้เป็นอย่างดี

ทางด้านเจี้ยงเฟิงนั้น นอกจากคนคุ้มกันประจำตัวของเขา เขาก็ยังนำเจียงหยินและข้ารับใช้ที่สามารถเชื่อใจได้มาจำนวนหนึ่ง

ทางด้านเจียงตงและลูกชายนั้นพาครอบครัวมาด้วยบางส่วน โดยรวม ๆ แล้วคณะเดินทางครั้งนี้มีผู้คนประมาณ 20-30 คน และแน่นอนว่าต้องรวมโจวหยู่กับเฉียวไป่ชี่ในคณะนี้ด้วย

ตอนแรกเมื่อได้ยินว่าโจวหยู่ยินดีที่จะเป็นลูกศิษย์อีกทั้งยินดีที่จะร่วมเดินทางมากับเจี้ยงเฉินด้วย เจี้ยงเฟิงและเจี้ยงตงทั้งคู่ต่างรู้สึกประหลาดใจมาก ทั้งคู่ต่างพากันสงสัยว่าเจี้ยงเฉินมีแรงดึงดูดใจอะไรถึงขนาดทำให้องค์หญิงโจวหยู่ที่มีทรัพย์สมบัติและอำนาจมากมายที่สุดในอาณาจักร ยินยอมสละสิ่งเหล่านั้นเพื่อมาขอเป็นลูกศิษย์และติดตามมาด้วยเช่นนี้?

สำหรับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจี้ยงเฉินก็คือโจวหยู่นั้นมีความสามารถสูงและที่สำคัญนางยังสามารถเป็นหัวหน้าของเหล่าผู้คุ้มกันทั้ง 8 คนของเขาได้ อีกทั้งยังช่วยพวกมันฝึกซ้อมได้อีกต่างหาก  ด้วยความสามารถและระดับบ่มเพาะของนาง ทำให้นางมีความสามารถเพียงพอที่จะรับหน้าที่นี้

ส่วนเฉียวไป่ชี่ที่มีฐานะเป็นลูกศิษย์ของเจี้ยงเฉินนั้น ก็ติดตามเจี้ยงเฉินมาอย่างใกล้ชิด

สำหรับข้ารับใช้ส่วนตัวของเจี้ยงเฉินที่มีนามว่าเจี้ยงเฉิงนั้น เขาก็จัดให้มันได้อยู่ในฐานะของผู้ช่วยหนิงวู่หยูและให้มันได้เป็นหุ้นส่วนจนถึงขั้นได้รับส่วนแบ่งจากกำไรของหอโอสถเดือนนึงถึง 1 ใน 10 ส่วน นับว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับชีวิตของมัน อีกทั้งหนิงวู่หยูเองก็ไม่กล้าใช้งานอะไรมันด้วยเพราะจะอย่างไรมันก็นับว่าเคยเป็นข้ารับใช้ส่วนตัวของเจี้ยงเฉิน เขาจะกล้าใช้งานมันได้อย่างไรเล่า

สำหรับตัวเจี้ยงเฉิงที่ได้รับรายได้และตำแหน่งนี้นั้น นั้นมันก็รู้สึกราวกับว่าตอนนี้ตัวมันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสามโลกแล้ว มันพึงพอใจจนไม่รู้จะพึงพอใจอย่างไรได้อีก ตอนนี้มันนับว่าเป็นข้ารับใช้ที่สะดวกสบายที่สุดในสามโลก...ทั้งไม่ต้องทำงานรับใช้ผู้ใดแถมมีรายได้งดงาม ข้ารับใช้ราชายังมิสะดวกสบายเท่ามันเลย

เจี้ยงเฉิงเองนั้นมันเองก็ต้องการติดตามเจี้ยงเฉินมา แต่มันก็รู้ตัวว่าตัวมันนั้นมิใช่ผู้ฝึกตน หากมันยังติดสอยห้อยตามเจี้ยงเฉินมา มันคงช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไร อีกทั้งตัวมันเองอาจจะเป็นตัวถ่วงของเจี้ยงเฉินอีกด้วย

เช่นนั้นการตัดสินใจเช่นนี้นับว่าประเสริฐที่สุดแล้ว

เมื่อพวกเขาจากมา ตงฟางชี่หรัวเองก็เศร้าซึมไปเล็กน้อยเพราะนางเองก็อยากติดตามเจี้ยงเฉินมาด้วยเช่นกัน  แต่ตัวเจี้ยงเฉินเองนั้นย่อมรู้ดีกว่าใครว่าสภาพร่างกายของตงฟางชี่หรัวนั้นอ่อนแอเกินไป และไม่เหมาะกับการเดินทางระยะไกลเช่นนี้

เจี้ยงเฉินนั้นได้กำชับวิธีดูแลรักษาตงฟางชี่หรัวไว้อย่างพิถีพิถันที่หอโอสถ อีกทั้งยังจัดการตระเตรียมหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้มั่นใจว่า ตลอดชีวิตของตงฟางชี่หรัวนางจะไม่ต้องประสบปัญหาอันใด

แม้ว่าคณะเดินทางของเจี้ยงเฉินนั้นจะมีผู้คนเพียง 20 กว่าคนและจัดได้ว่าเป็นขบวนเดินทางเล็ก ๆ แต่ทว่าหามีผู้ใดหรือโจรกลุ่มไหนกล้าออกมาปล้นเขาไม่ เมื่อพวกมันได้ยินว่านี่เป็นกลุ่มของเจี้ยงเฉินผู้ใดจะกล้าออกมา

ทุกคนย่อมรู้ดีกว่าเจี้ยงเฉินสามารถควบคุมกองทัพนกหงส์ที่แข็งแกร่งขนาดกองทัพจำนวนนับล้านยังถูกถล่มจนศิโรราบ แค่เพียงเหล่านกหงส์ที่สามารถปิดท้องฟ้าได้ ถ่ายมูลใส่พวกมัน พวกมันก็จมกองมูลตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว

เจี้ยงเฉินนั้นได้แบ่งเวลามาแวะเยี่ยมเมิ่งฉีที่สุสานไร้พรหมแดนด้วยเช่นกัน

(*เปลี่ยนจากอุโมงค์นิรันดร์ เป็นสุสานไร้พรหมแดนแทนนะครับ ... มันเป็นคุกที่ไว้ขังมอนระดับสูง ๆ อ่ะครับ)

เมื่อเมิ่งฉีเห็นเจี้ยงเฉินมันก็ได้แต่ถอนหายใจ "ข้ารู้ว่านายท่านประสบกับอันตราย แต่ข้ากลับไม่สามารถออกไปช่วยเหลือได้ ข้าเสียใจยิ่งนัก "

"เรื่องนี้หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ ตอนนี้ย้อนกลับไปมองยามที่ข้าหนีหัวซุกหัวซนเช่นนั้นก็เป็นเพียงเรื่องขำขันเท่านั้น "

อย่างไรก็ตามเมิ่งฉียังคงกล่าวยกย่องเจี้ยงเฉินโดยไม่สนใจคำพูดถ่อมตัวของเจี้ยงเฉิน "นายท่าน ตัวท่านเกิดมาพร้อมกับโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ ท่านคงไม่อาจตกตายได้ง่ายดายขนาดนั้น แม้ว่าข้าจะรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้เสมอ ...กล่าวไป นี่น่าตกตะลึงยิ่งนัก ”

“หืม? เจ้ามีความเชื่อมั่นในตัวข้าถึงเพียงนี้เลย?”

เมิ่งฉีหัวเราะออกมาเต็มที่ "ความศรัทธาที่ข้ามีต่อท่านนับวันยิ่งเพิ่มพูนขึ้น  แล้วถ้าหากท่านยังจำเป็นต้องใช้กองทัพนกหงส์ ท่านเรียกหาได้ทุกเมื่อ ข้าจะส่งกำลังออกไปสนับสนุนทุกเวลาที่ท่านต้องการ อย่าได้กังวล "

"ข้าไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพนกหงส์จำนวนมาก แค่เพียงนกหงส์ทองน่าจะเพียงพอ "

แค่นกหงส์ทองจำนวน 800 ตัวน่าจะเพียงพอ หากเขานำกองทัพนกหงส์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ไปด้วยมันจะเป็นจำนวนที่น่าสะพรึงกลัวมากเกินไป มันจะเป็นเรื่องที่ไปกระตุ้นความหวาดกลัวของทุกชนชาติ ทุกอาณาจักรยามที่เขาเดินก้าวข้ามเขตแดนต่าง ๆ

นี่นับว่าเจี้ยงเฉินพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด

เมื่อเมิ่งฉีได้ยินคำกล่าวของเจี้ยงเฉินมันก็พยักหน้าตอบรับ "ความสามารถในการต่อสู้ของนกหงส์ทองก็นับว่าแข็งแกร่งพอใช้ได้ ส่วนความแข็งแกร่งของนกหงส์หยกนั้นมันอาศัยเพียงจำนวนเท่านั้น แต่หากท่านต้องการไม่ว่าอะไรโปรดติดต่อมาข้าจะส่งพวกมันไปให้ท่านทันที "

“แน่นอน”

เมิ่งฉีพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาหลังจากที่คิดเล็กน้อย "จริงสิ ท่านกำลังคิดที่จะมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรนภาจันทร์ใช่หรือไม่? สุสานไร้พรมแดนนั้นทอดยาวผ่านใต้ดินของพันธมิตรทั้ง 16 อาณาจักรและยังทอดยาวออกไปเหนือขอบเขตของทั้ง 16 อาณาจักรเสียอีก หากท่านพบอันตรายที่ยากเกินรับมือในอาณาจักรนภาจันทร์ ท่านสามารถหาหนทางเข้าไปยังสุสานไร้พรหมแดนของที่นั่นและเอ่ยนามของข้าออกมา บางทีท่านอาจได้รับความช่วยเหลือของผู้ที่อยู่ในสุสานรอบนอกของที่นั่น "

อิทธิพลของเมิ่งฉีนั้นใช้ได้กับสัตว์อสูรที่อยู่ในสุสานรอบนอกเท่านั้น...

...

อาณาจักรนภาจันทร์นั้นตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของทั้ง 16 อาณาจักรตำแหน่งนั้นเยื้องจากจุดศูนย์กลางลงไปทางใต้เล็กน้อย มีอาณาเขตดินแดนและทรัพยากรที่มากมายมหาศาล

ในแง่ของอาณาเขตและดินแดน อาณาจักรนภาจันทร์นับว่าน้อยกว่า 3 อาณาจักรใหญ่ที่เหลือ

แต่ถ้าเป็นในแง่ของทรัพยากรแล้วล่ะก็ อาณาจักรที่เหลือทั้ง 3 ยังมีระดับทรัพยากรไม่มากพอที่จะนำมาเปรียบเทียบด้วยซ้ำ

กล่าวได้ว่าอาณาจักรนภาจันทร์นั้นเป็นอาณาจักรที่มีทรัพยากรล้ำค่าเหนือล้ำกว่าทั้ง 16 อาณาจักรอย่างเทียบไม่ติด มันมีทรัพยากรบ่มเพาะผู้ฝึกตนแทบจะทุกประเภท เหตุเพราะอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ มีนิกายพฤกษาสวรรค์ให้การหนุนหลังอยู่นั่นเอง

นิกายพฤกษาสวรรค์นั้นเป็น 1 ใน 4 นิกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทั้ง 16 อาณาจักร และนับว่ามีอำนาจและความแข็งแกร่งทัดเทียมกับนิกายอื่น ๆ รวมถึงสามารถปะทะกับนิกายตะวันม่วงได้อย่างสูสี

ด้วยการอาศัยหลังนกหงส์ทองในการเดินทาง ทำให้การเดินทางนั้นราบรื่นและรวดเร็วนัก หลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลา 10 กว่าวัน อีกทั้งยังข้ามผ่านดินแดนต่าง ๆ ราว ๆ 3-4 อาณาจักร ในที่สุดคณะเดินทางของเจี้ยงเฉินก็บรรลุถึงชายแดนของอาณาจักรนภาจันทร์

ทันทีที่พวกเขาบินเข้าเขตแดนของอาณาจักรนภาจันทร์ อัศวินขี่มังกรไวเวิร์นที่น่าจะเป็นทหารรักษาดินแดนก็บินออกมาหยุดกองทัพนกหงส์ทองชองพวกเขาเอาไว้ทันที

"ท่านคือผู้ใดกัน? เหตุใดจึงกล้าบินเหนือน่านฟ้าของอาณาจักรนภาจันทร์โดยไม่ได้รับอนุญาตกันเล่า? "

มังกรไวเวิร์นนั้นเป็นสัตว์ขี่ที่พบได้ทั่วไปในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้  ที่จริงแล้วสัตว์พาหนะของเย่หลงเองก็นับว่าเป็นมังกรไวเวิร์นสายพันธุ์หนึ่งเช่นกัน แต่เป็นสายพันธุ์ที่จะมีไว้ใช้กันในตระกูลระดับสูงๆเท่านั้น

เจี้ยงเฉินไม่ได้หงุดหงิดหรือไม่พอใจอะไร ที่อัศวินมังกรคนนี้บินมาหยุดเขาเอาไว้ เขาหยิบเหรียญตราของเย่หลงขึ้นมา ก่อนที่จะกล่าวว่า "ข้าเป็นสหายของเย่หลงน่ะ"

“อ่า นี่เป็นเหรียญของจริงมิผิด เนื่องจากท่านเป็นสหายขององค์ชายสี่ เช่นนั้นท่านก็มีสิทธิ์ที่จะบินเหนือน่านฟ้าของอาณาจักรนภาจันทร์ได้ อย่างไรก็ตามท่านโปรดบินให้อยู่ในเส้นทางนี้  อย่าได้เผลอบินออกนอกจากเส้นทางเด็ดขาด เพราะอาณาจักรแห่งนี้มีขุมอำนาจที่มิอาจล่วงเกินได้อยู่มากมายนัก หากท่านเผลอบินออกนอกเส้นทางบางทีท่านอาจทำให้พวกมันไม่พอใจแล้วอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ "

อัศวินมังกรคนนี้นับว่าทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมและยังแนะนำกลุ่มของเจี้ยงเฉินเพิ่มเติมอีก นับว่ามันทำหน้าที่ได้ดีนัก

เจี้ยงเฉินพยักหน้าก่อนที่จะหยิบโอสถขึ้นมาขวดหนึ่ง "เอาล่ะ ขอบคุณพี่ชายมากสำหรับคำแนะนำ นี่เป็นโอสถแห่งท้องทะเลลึก  ท่านสามารถฟื้นคืนพลังปราณได้ถึง 5 ส่วนทันทีที่ท่านกินมันเข้าไป นี่ถือซะว่าเป็นสิ่งตอบแทนสำหรับมิตรภาพและความมีน้ำใจของท่าน "

อัศวินมังกรคนนั้นเอื้อมมือไปรับขวดโอสถออกมาอย่างไม่ทันคิดอันใด เมื่อเขาดึงผ้าที่อุดปิดขวดโอสถไว้ออกและสูดดมกลิ่นของโอสถ เขาพลันเป็นตกตะลึงขึ้นมาทันที

ตอนแรกเขาคิดว่าชายผู้นี้จะมอบโอสถที่มิได้สำคัญเท่าไรและกล่าววาจาหยอกล้อกับเขา

แต่ใครจะไปคาดคิดกันว่ามันจะเป็นโอสถที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งถึงขนาดนี้ โอสถในขวดนี้ถึงแม้นำไปขายในตลาดของอาณาจักรนภาจันทร์ ยังถือว่าเป็นของล้ำค่ายิ่งนัก!

อัศวินมังกรนั้นมีความสุขมาก "ด้วยความเคารพนายท่านที่เป็นสหายขององค์ชาย ข้าน้อยเพียงทำตามหน้าที่ท่านจะให้ข้าอาศัยอะไรในการรับโอสถล้ำค้าเช่นนี้เอาไว้ได้? ข้ารับเอาไว้ไม่ได้! "

แม้เขาจะบอกว่ารับไว้ไม่ได้ แต่มือของเขานั้นถึงกับกำขวดโอสถเอาไว้อย่างแน่นหนา ในความคิดของเขาหากเผลอจับไม่แน่นแล้วเกิดลมพัดมาเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นจะทำอย่างไร ท่าทางของเขานั้นดูไปเหมือนผู้ที่ได้รับสมบัติล้ำค่ามาเลยทีเดียว

ไม่ต้องสงสัยว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้เสียกริยาถึงเพียงนี้ สถานะของเขานั้นเป็นเพียงอัศวินมังกร หรือจะเรียกอีกอย่างก็แค่ยามรักษาชายแดนเท่านั้นอาจจะดูมีชื่อเสียงสำหรับคนของอาณาจักรอื่น แต่ตำแหน่งของเขาต่ำต้อยนัก

รายได้ของเขานั้นยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ถึงแม้บางครั้งเขาจะมีเงินเหลือพอซื้อโอสถบ่มเพาะได้บ้าง แต่ให้เปรียบเทียบก็เหมือนน้ำหนึ่งหยดที่เพิ่มขึ้นมาในมหาสมุทร

ยาฟื้นพลังปราณที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้นับว่าเป็นโอสถล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งนัก  ชีวิตนี้เขาไม่คิดฝันว่าจะได้สัมผัสกับมันมาก่อน

"ข้าได้เดินทางไปทั่วราชอาณาจักรแล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นทหารรักษาดินแดนผู้ใดมีน้ำใจเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเท่าท่านมาก่อน มันยากนักที่จะเห็นผู้ที่คอยใส่ใจผู้อื่นดั่งเช่นท่าน " เจี้ยงเฉินยิ้ม "นี่เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย อย่าได้กล่าวถึงมันแล้ว"

อัศวินมังกรหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนที่จะเกาหัวอย่างเขินอาย "เอาล่ะ เช่นนั้นหากท่านมิได้รีบร้อนอันใดข้าจะกล่าวถึงข้อควรระวังอีก 2-3 ข้อ"

"หลังจากที่ท่านบินเข้าไปตามเส้นทางนี้ เมื่อท่านบินไปได้ราว ๆ 24,000 ลี้ ท่านจงเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มาก หากท่านพบเห็นผู้ใดที่สวมชุดคลุมสีแดงปักด้วยลายเส้นสีฟ้า ท่านต้องระมัดระวังพวกมันอย่างยิ่ง คนพวกนั้นมิใช่คนที่ท่านจะไปกระตุ้นให้เกิดปัญหาได้”

 “โอ้? คนพวกนี้เหตุใดจึงมีอำนาจเช่นนี้เล่า? "

"คนกลุ่มนั้นมาจากวิหารอุดรครามสวรรค์ ซึ่งวิหารอุดรครามสวรรค์นี้นับเป็นสถานที่ส่วนหนึ่งของนิกายพฤกษาสวรรค์ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมในอาณาจักรนภาสวรรค์แห่งนี้ สถานที่นี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรนภาสวรรค์ และพวกมันมีอิทธิพลสูงนัก! "

"วิหารอุดรครามสวรรค์ " เจี้ยงเฉินจำ 4 คำนี้เอาไว้อย่างแม่นยำ

"ส่วนอีกที่หนึ่งนั้นมีลักษณะภูมิประเทศเป็นหุบเขาอีกทั้งยังมีหมอกลงหนาจัดอย่างมาก แม้ว่าคนของที่นี่จะมิค่อยก้าวร้าวดั่งเช่นวิหารอุดรครามสวรรค์ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งมิควรไปล่วงเกินเพราะอาจจะเกิดปัญหาได้ หากท่านไปกระทำการผิดกฎของพวกมันหรือสร้างปัญหา ท่านจะถูกพวกมันจับไปเป็นทาสโอสถ  พวกมันจะไม่ฆ่าหรือทำร้ายท่าน แต่จะนำท่านไปเป็นทาสรับใช้พวกมันเป็นเวลา 20 ปี สถานที่นี้เรียกว่าหุบเขาชิงหยาง "

"หุบเขาชิงหยาง ... " เจี้ยงเฉินสลักชื่อนี้เก็บไว้ในความทรงจำด้วยเช่นกัน

"เมื่อท่านข้ามหุบเขาชิงหยางแล้วยังคงมีสถานที่อื่นที่มีอำนาจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากพอที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน แม้ว่าจะมีปัญหาใด ๆ แต่ตัวตนขององค์ชายสี่ก็เพียงพอแล้วที่ยุติปัญหาได้ สรุปได้ว่าสถานที่ที่ท่านจำเป็นต้องระมัดระวังและไม่อาจล่วงเกินได้ ในระหว่างมุ่งหน้าไปยังวังหลวงนั้นมีเพียงวิหารอุดรครามสวรรค์ และก็หุบเขาชิงหยาง"

"แต่เมื่อท่านไปถึงเมืองหลวงแล้วให้ระมัดระวังตัวให้มากเข้าไว้ อย่าได้ไปกล่าวบอกผู้อื่นว่าท่านมาเมืองหลวงนี้ด้วยสถานะอันใดหรือมีความสัมพันธ์อันใดกับองค์ชาย เพราะตัวตนของผู้คนในเมืองหลวงนั้นท่านมิอาจใช้สถานะองค์ชายในการแก้ไขปัญหาได้หากมีเรื่องเกิดขึ้น นี่เพราะยามนี้นั้นสถานะสหายขององค์ชายหาได้มีประโยชน์อันใดไม่ นี่ไม่ใช่เพราะตัวตนขององค์ชายนั้นต่ำต้อย แต่ทว่ายามนี้เรื่องราวมันกำลังอยู่ในช่วงตึงเครียด เหล่าองค์ชายต่างกำลังแข่งขันกันเพื่อถือสิทธิ์ในการครองบัลลังก์อยู่ หากท่านไปพบคนขององค์ชายท่านอื่นท่านอาจจะมีปัญหาได้ เพราะยามนี้สถานการณ์ขององค์ชายแต่ละพระองค์นั้นแทบมิต่างกับเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็งบาง ๆ และท่านจงจำเอาไว้ให้มั่นเมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้ว ห้ามโดยสารสัตว์พาหนะบินเหนือน่านฟ้าเด็ดขาด! "

นี่ต้องกล่าวว่าอัศวินมังกรผู้นี้นั้นนับว่ารู้กตัญญูยิ่งนัก เพียงเจี้ยงเฉินให้โอสถมัน มันกลับกล่าวถึงสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ออกมาจนหมดสิ้น

"ฮ่า ๆ ขอบคุณพี่ชายท่านนี้มาก ท่านบอกสถานการณ์โดยกระจ่างแจ้งเช่นนี้นับว่าเป็นประโยชน์แก่การเดินทางของข้าอย่างมาก ข้านั้นค่อยมั่นใจขึ้นมาหน่อย "

อัศวินมังกรหัวเราะออกมา  “ไม่ ๆ แค่นี้เองไม่นับเป็นอันได้ได้ อ้อ จริงสิ ข้าชื่อ เทียนหลง และบ้านของข้าเองก็ตั้งอยู่ในเมืองหลวง  ท่านเองก็ไปเมืองหลวงมิทราบว่าพอมีเวลาว่างสักสองสามวันช่วยเหลือข้าหน่อยได้หรือไม่"

"ได้แน่นอน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด"

เทียนหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมา "ข้า ... ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจพวกท่าน แต่ข้าอยากจะบอกกล่าวกับท่านอีกครั้ง ท่านอย่าได้ไปล่วงเกินสถานที่ดั่งที่ข้าบอก นอกจากนี้สิ่งของที่ข้าต้องการฝากท่านกลับบ้านนั้นนับว่ามีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน มันต้องถึงบ้านข้าภายใน 7 วัน มันหากช้ากว่านั้นเกรงว่าจะ ... "

"พี่ท่านสบายใจเถอะ บอกที่อยู่ของท่านมาได้เลย ข้ารับรองจะมิมีปัญหากับผู้ใด และสิ่งของท่านนั้นรับรองมิล่าช้าแน่นอน "

เทียนหลงหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างเขินอาย ก่อนที่จะมอบของให้เจี้ยงเฉิน

 

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.