หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 129 การตัดสินใจที่น่าตกตะลึงขององค์หญิงโจวหยู่

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ในการรบที่หุบเขาปาหยันนั้น 2 ใน 3 ของกองทัพจากอาณาจักรจันทราทมิฬนั้น ถ้าไม่ล้มตายก็บาดเจ็บสาหัส อีกทั้งแม่ทัพอันดับ 1 แห่งอาณาจักรอย่างเหรินเฟยหลง ยังถูกปิดตำนานลงด้วยน้ำมือของเจี้ยงเฉิน

ตอนนี้บรรยากาศในอาณาจักรจันทราทมิฬนั้นกลับกลายเป็นเศร้าหมองอย่างมาก อีกทั้งกองกำลังและความแข็งแกร่งของตัวอาณาจักรจันทราทมิฬเองก็ลดลงไปมากโข หลังจากสงครามครั้งนี้

หุบเขาปาหยันกลายเป็นสถานที่อัปมงคลของอาณาจักรจันทราทมิฬ และมันเป็นสถานที่หวงห้ามสำหรับประชาชนทั่วไป

ส่วนทางด้านอาณาจักรตะวันออกนั้น หลังจากที่การรบจบลงพวกมันแจ่มใสร่าเริงกันเป็นอย่างมาก ผู้ที่เข้าร่วมรบในครั้งนี้ยังได้เหรียญกล้าหาญอีกทั้งยังได้รับมอบนาม ผู้กล้าสังหารมังกร อีกด้วย

การรบครั้งนี้ถูกจารึกลงไปในพงศาวดารและบันทึกประวัติศาสตร์ของอาณาจักร แต่มันอาจจะมีการเล่าขานแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงในมุมมองของแต่ละคน

นั่นเพราะเมื่อใครก็ตามได้รับรู้เรื่องราวความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของอาณาจักรทมิฬ จะรู้ว่าทางด้านอาณาจักรตะวันออกนั้นไม่ค่อยได้ทำอะไรมากนัก... ต้องรู้ด้วยว่าก่อนที่การรบจะเริ่มต้นขึ้น เหล่าขุนนางของอาณาจักรตะวันออกนั้นมีบ้างที่ขลาดเขลา มีบ้างที่เตรียมพร้อมรบแต่ทว่าสุดท้ายพวกมันไม่ได้รบ เอาเป็นว่าพวกมันนั้นไม่ได้เห็นแม้แต่กองทัพศัตรูเสียด้วยซ้ำตั้งแต่ต้นจนสงครามสิ้นสุดลง นับประสาอะไรกับเรื่องเหรินเฟยหลงตกตายด้วยน้ำมือเจี้ยงเฉิน

ศึกรบครานี้นับว่าผลักดันชื่อเจี้ยงเฉินให้ดังทะลุแผ่นฟ้าในค่ำคืนเดียว ชื่อเสียงของเขายามนี้นับว่าเป็นที่กล่าวขานกันในหมู่แม่ทัพทั้ง 16 อาณาจักร

แม้แต่แม่ทัพอันดับ 1 ที่ชื่อเสียงเลื่องลือดั่งเช่นเหรินเฟยหลงยังตกตายภายใต้เงื้อมมือของเขา นี่ล้วนทำให้คนใหญ่คนโตของแต่ละอาณาจักรให้ความสนใจเจี้ยงเฉินด้วยกันทั้งสิ้น

แม้อาณาจักรจันทราทมิฬจะไม่ได้เก่งกาจเทียบเท่าอาณาจักรใหญ่ทั้ง 4 อาณาจักร แต่ชื่อเสียงของเหรินเฟยหลงนั้นถูกกล่าวขานกันอย่างหนาหูใน 16 อาณาจักรมานานแล้ว

แต่ใครจะคิดว่าเทพเจ้าสงครามเช่นมันกลับต้องถูกปลิดปลงชีวิตลงเช่นนี้

เรื่องราวและตำนานกล่าวขานชั่วชีวิตของเทพเจ้าแห่งสงครามอันดับหนึ่งได้สลายจางหายไปยามที่มันเอนกายตกตายลงโอบกอดผืนดิน

...

เมืองระลอกคลื่นค่อย ๆ ฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาหลังจากสงครามสิ้นสุดลงที่หุบเขาปาหยัน ส่วนกองกำลังที่อยู่ในระดับปราณแท้จริงของอาณาจักรจันทราทมิฬที่พยายามแฝงตัวเข้ามาในเมืองระลอกคลื่นก็ไม่กล้าทำการใดใด หลังจากที่พวกมันได้รับรู้ข่าวคราวถึงความพินาศของกองทัพของพวกมัน

เมื่อได้รับข่าวการตกตายของแม่ทัพอันดับ 1 อย่างเหรินเฟยหลง หมากปิดกระดานอย่างพวกมันกลับกลายเป็นแค่เศษฝุ่นไร้ค่า ที่ได้แต่แบกหน้ากลับอาณาจักรอย่างเสียเที่ยว

เพราะพวกมันรู้ดีถ้าคิดลงมือกระทำการอะไรตอนนี้ไม่พ้นตกตายอย่างไร้ค่า

และในวันนี้ เจี้ยงเฉินเองก็เรียกสมาชิกในตระกูลเจี้ยงทั้งหมดมารวมตัวกัน เพื่อกล่าวคำแถลงการณ์

“อย่างที่รู้กันว่าตระกูลเจี้ยงของพวกเรานั้นได้ปักหลักตั้งถิ่นฐานกันอยู่ที่มณฑลเจี้ยงหานแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่ในวันนี้ข้าเจี้ยงเฉินได้ตัดสินใจที่จะออกไปท่องโลกกว้าง ข้าจะกระทำการสนับสนุนผู้ที่จะเฝ้าอยู่ดูแลตระกูล อีกทั้งจะไม่คิดขัดขวางผู้ที่อยากติดตามข้ามา”

"ขุนนางน้อย ท่านคิดที่จะจากไปเช่นนั้นหรือ? ท่านคิดจะไปที่ใดกัน? ในอนาคตท่านจะกลับมาอีกหรือไม่ "

"ในอนาคตจะกลับมาหรือไม่?" เจี้ยงเฉินหัวเราะออกมาเบา ๆ "โลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่ไพศาลนัก อาณาจักรตะวันออกแห่งนี้เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งบนโลกใบนี้เท่านั้น มันคงเป็นเรื่องยากหากจะให้ข้าบอกว่าข้าจะกลับมาหรือไม่ "

"เฉินเอ๋อร์ ลุงสามและหยูน้อย แน่นอนว่าต้องไปกับเจ้า" เจี้ยงตงกล่าวแสดงท่าที่ออกมาอย่างแจ่มชัด

อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กำลังลังเลใจ ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าเจี้ยงเฉินและเจี้ยงเฟิงพ่อลูกคู่นี้นั้นแข็งแกร่งและมีอนาคตที่สดใสอย่างมาก หากติดตามพวกมันไปย่อมได้เชิดหน้าชูตาและสุขสบาย แต่พวกเขาก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่งอยู่ด้วยเช่นกัน

พวกมันคิดว่าแทนที่จะลำบากลำบนออกไปไขว่คว้า เหตุใดไม่รั้งอยู่ในดินแดนเจี้ยงหานและอิ่มเอมเสวยสุขกับลาภยศชื่อเสียงที่เรียกได้ว่าแทบจะอยู่จุดสูงสุดของอาณาจักร?

นั่นเพราะเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ทุกคนไม่มีทางพลาดไปได้ก็คือ ยามที่พ่อลูกคู่นี้ออกเดินทางไป ทั้งเกียรติยศและตำแหน่งของพวกมันต้องถูกทิ้งไว้ให้ผู้ที่ยังอยู่  แล้วใครจะไม่ต้องการรับมอบตำแหน่งขุนนางอันดับ 1 นี้เอาไว้ และเดินไปรอบ ๆ อาณาจักรอย่างยิ่งใหญ่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียง

สมาชิกในตระกูลอาจจะมาจากสายเลือดเดียวกันในตอนแรก แต่ในรุ่นต่อ ๆ ไปความสัมพันธ์มันก็จะห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ศักดิ์ฐานะและความเกี่ยวข้องเองก็จะห่างเหินกันไปตามธรรมชาติ

เจี้ยงตงและเจี้ยงเฟิงนั้นกล่าวได้ว่าเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมามีมารดาเดียวกัน มันย่อมติดตามเจี้ยงเฟิงไปอยู่แล้วไม่แปลกอันใด

เจี้ยงหยูนั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจี้ยงเฉิน มันมักพึ่งพาอาศัยอยู่กับเจี้ยงเฉินอยู่เสมอจึงไม่แปลกอะไรที่จะติดตามเจี้ยงเฉินไป

แต่สำหรับคนอื่น ๆ ในตระกูลนั้น ความสัมพันธ์กับพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้ชัดเจนอะไรถึงเพียงนั้น  พวกเขาก็เป็นเพียงคนในตระกูลเดียวกันเท่านั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องลำบากออกไปฝ่าฟันไขว่คว้าอะไรตั้งแต่เริ่มเช่นนี้อีก

แต่ละคนนั้นย่อมมีแรงบันดาลใจในชีวิตแตกต่างกันไป

เจี้ยงเฉินนั้นย่อมรู้ดีกว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะจะอย่างไรในใจของเขานั้นก็ไม่คิดนำคนจำพวกนี้ติดตามไปกับเขาแต่แรกอยู่แล้ว

ถึงแม้คนเหล่านี้จะกล่าวได้ว่าเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับเขา แต่เขาเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับพวกมันสักเท่าไร เนื่องจากพวกมันนั้นมีแรงจูงใจและความคิดที่จะอยู่เสวยสุขที่นี่ต่อไปเจี้ยงเฉินก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาไม่ได้คิดจะบังคับหรือสนใจอะไรพวกมันแต่แรกอยู่แล้ว

"อาวุโสซี่ ยามข้ากับบิดาจากไปท่านนั้นจะมีฐานะสูงสุดในตระกูลเจี้ยง ตอนนี้ตระกูลเจี้ยงเรามีผลงานชั้นเลิศและสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงไว้มากมายนัก แน่นอนว่าของรางวัลและอำนาจที่ตระกูลเจี้ยงจะได้รับย่อมสูงสุด แต่ท่านต้องจดจำเอาไว้ว่า ภายในตระกูลเจี้ยงนั้นข้ามิยินยอมให้เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจ พี่น้องในตระกูลเข่นฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าจะบอกให้ราชวงศ์ตงฟางริบฐานะตำแหน่งและความมั่งคั่งทั้งหมดของตระกูลเจี้ยงกลับไปทันที พวกท่านจะมิมีตำแหน่งขุนนางหรือสถานะใด ๆ ทางสังคม และกลายเป็นแค่ประชาชนธรรมดา "

อาวุโสซี่หัวเราะออกมา "หากชายชราผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกมันจะกล้าหันคมดาบใส่เหล่าพี่น้องตระกูลเดียวกันได้อย่างไร?"

อาวุโสซี่แทบจะร้องไห้และกู่ก้องร้องตะโกนออกมาด้วยความยินดีเมื่อได้ยินวาจาของเจี้ยงเฉิน ใครจะไปคาดคิดกันเล่า ว่าในบั้นปลายชีวิตชายชราเช่นมันกลับได้เสพสุขอำนาจของขุนนางอันดับ 1 ของอาณาจักรเช่นนี้?

“เอาล่ะหากเป็นเช่นนั้นก็ดี พวกข้าจะออกเดินทางในอีก 2-3 วันหลังจากนี้  อนาคตของตระกูลเจี้ยงต่อไปก็อยู่ในความดูแลของท่านแล้ว”

อาวุโสซี่กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดี "เจ้าต้องไปจริง ๆ หรือ?"

นี่เป็นเพียงคำกล่าวถามโดยไร้เจตนาดีอย่างแท้จริง ด้วยความสัตย์จริงเขานั้นแทบไม่อาจรอให้พ่อลูกคู่นี้จากไปได้แล้ว นั่นเพราะเมือพ่อลูกคู่นี้จากไปตัวเขาถึงจะมีอำนาจเต็ม สามารถชี้ขาดภายในตระกูล อีกทั้งจะได้รับมอบตำแหน่งขุนนางอันดับ 1 ของอาณาจักร!

แม้ว่าจะเป็นคนในตระกูลเดียวกันแต่ทุกคนล้วนมีเหตุผลและแรงจูงใจต่างกันลิบลับ

เจี้ยงเฉินส่ายศีรษะออกมาเมื่อได้เห็นท่าทีของอาวุโสซี่และเหล่าสมาชิกตระกูลที่กำลังรอเสวยสุขอย่างยินดีปรีดา โดยที่พวกมันหาได้สนใจว่าเจี้ยงเฉินพ่อลูกจะไปไหนหรือทำอะไร  ‘ก็นับว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมีความเห็นแก่ตัว! เพียงแค่พวกมันได้ยินว่าข้าและท่านพ่อจะจากไป พวกมันกลับระริกระรี้ยินดีถึงเพียงนี้เพียงเพื่อจะได้รับความมั่งคั่งและอำนาจ

ด้วยลักษณะนิสัยเช่นนี้ต่อให้พวกมันอยากจะขอติดตามไปด้วยข้าก็มิมีวันนำพาพวกมันไปเด็ดขาด เจี้ยงเฉินยืนคิดเงียบ ๆ อยู่คนเดียว เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจ จะอย่างไรอาณาจักรนี้ก็มีพื้นที่ที่มีชีพจรวิญญาณอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งไม่รู้มันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่

และยังเห็นได้ชัดว่าพวกคนในตระกูลเหล่านี้นั้นมิอาจปล่อยวางลาภยศสรรเสริญได้ หากวันใดประสบภัยพิบัติขึ้นมาก็นับว่าพวกมันทำตัวเองแล้ว

...

อีกสองวันต่อมาองค์หญิงโจวหยู่ และ ตงฟางชี่หรัว ก็เดินทางมาถึง

นางมาพร้อมกับเหรียญเกียรติยศของราชวงศ์อีกทั้งยังมาเพื่อมอบตำแหน่งขุนนางอันดับ 1 ให้แก่ตระกูลเจี้ยงอีกด้วย และมอบหมายให้พวกมันดำรงอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้เพื่อปกปักชายแดนตลอดไป

ในฐานะที่มีอายุมากที่สุดและมีตำแหน่งสูงที่สุดในตระกูลยามนี้ อาวุโสซี่ย่อมได้รับมอบตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ไป เขากลายเป็นขุนนางเจี้ยงหานคนใหม่ควบทั้งขุนนางอันดับ 1 อีกทั้งยังมีเหรียญเกียรติยศจากทางราชวงศ์ เขาแทบจะสำลักความสุขตายอยู่แล้ว

ส่วนพิธีมอบตำแหน่งและรางวัลนั้น องค์หญิงโจวหยู่ไม่ค่อยได้ใส่ใจหรือสนใจมากนัก สำหรับนางผู้ใดจะได้ยศถาบรรดาศักดิหรือตำแหน่งขุนนางเจี้ยงหานไปก็ไร้ความหมาย เพราะใจของนางนั้นได้ตกอยู่ในความสับสนและกระวนกระวายมาตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา

เมื่อนางรับทราบข่าวว่าเจี้ยงเฉินคิดจะออกเดินทางจากอาณาจักรตะวันออก นางก็ตกตะลึงและกระวนกระวายอย่างมาก

แม้ว่าตัวนางย่อมรู้ดีว่าบุรุษอย่างเจี้ยงเฉินหาได้เกิดมาเป็นกบอยู่ในบ่อน้ำเล็ก ๆ แห่งนี้ จะอย่างไรในไม่ช้าเขาก็ต้องเหินนภาขี่เมฆากลายเป็นมังกรทะยานผ่าน 9 สวรรค์ โดยเหลือเพียงนางที่ยังคงอยู่ แต่ทว่านางกลับพบว่าเมื่อเวลานี้มาถึงนั้น...ใจของนางยากที่จะยอมรับมันได้

นางรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย นับจากนี้เป็นต้นไปเจี้ยงเฉินจะเดินไปบนถนนอันกว้างใหญ่ที่รุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลเจิดจ้าราวดวงตะวัน ในขณะที่นาง องค์หญิงโจวหยู่นั้นไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานก่อนที่จะเริ่มโรยราลงสุดท้ายก็จางหายไป...อยู่ที่ว่ามันจะใช้เวลาเท่าไรแต่จะนานจะช้าก็ต้องมีคราที่นางเบ่งบานจนถึงที่สุดงดงามถึงที่สุดแล้วสุดท้ายมันก็กลับกลายสลายไป...อย่างเดียวดาย

"เจี้ยงเฉิน ท่านต้องจากไปจริง ๆ หรือ?" องค์หญิงกล่าวถามออกมาราวกับยังมีความหวังสุดท้ายหลงเหลือ นางนั้นอยากจะอธิษฐานให้เจี้ยงเฉินนั้นไม่ต้องจากไป แต่ด้วยความมีเหตุผลของนาง ๆ ก็ย่อมรู้ดีว่าอาณาจักรตะวันออกนี้ไม่คู่ควรรั้งตัวเจี้ยงเฉินเอาไว้

"หากข้าไม่ไปจะเร็วหรือช้า...สุดท้ายตัวข้าจะเป็นคนนำภัยพิบัติมาสู่อาณาจักรแห่งนี้เอง เพราะความบาดหมางระหว่างหลงยู่ซื่อกับข้านั้นยังคงอยู่ไม่สลายหายไปไหน นางยังมีชีวิตอยู่และสักวันนางต้องมาทวงหนี้แค้นที่ข้าอย่างแน่นอน "

เจี้ยงเฉินรู้ดีว่านี่เป็นเหตุผลเล็กน้อยไร้ค่านัก...

"ข้านั้นโหยหาและหวังอย่างเป็นที่สุดว่าจักสามารถหยุดวันเวลาเอาไว้ในยามที่ได้พบกับท่านครั้งแรก ถึงแม้ท่านจะดุด่าหรือข่มขู่ข้ามากกว่านั้นสักเพียงไหน... ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ดียิ่ง"

น้ำเสียงของโจวหยู่เริ่มพร่ามากขึ้นเรื่อย หยาดน้ำตาจากสตรีที่เข้มแข็งเริ่มก่อตัวก่อนที่จะหลั่งรินออกมา

นางหาได้เช็ดมันออกไม่ เพียงปล่อยให้รินไหลออกมา พร้อมทั้งกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนเศร้าว่า "เจี้ยงเฉิน ข้านั้นย่อมรู้ว่าท่านคิดว่าข้าเป็นสตรีที่อารมณ์แปรปรวนนัก ข้ามีความรุนแรงและความเด็ดเดี่ยวหยิ่งทะนงราวกับเป็นบุรุษไม่สมกับเป็นอิสตรี แต่ข้าอยากให้ท่านรับรู้ไว้ว่าจะอย่างไรข้าก็เป็นอิสตรีคนหนึ่งที่หลั่งน้ำตาได้ ... จริง ๆ แล้วข้าล้วนเหนื่อยล้าที่ต้องกระทำตัวเข้มแข็งเช่นนั้นทุกวัน ข้าค่อนข้างอิจฉารั่วเอ๋อร์ที่นางสามารถใช้ชีวิตอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสาได้เช่นนั้น ... เจี้ยงเฉิน ข้ามิเคยมีวันเวลาที่ได้กระทำตัวสดใสบริสุทธิ์เช่นนั้นเลย และไม่เคยคิดที่จะมีมันด้วยซ้ำ ... ท่านคิดว่าข้าเป็นเช่นนี้ เป็นสตรีดื้อรั้นเช่นนี้ แย่มากหรือไม่? "

เจี้ยงเฉินถอนหายใจออกมาเบา ๆ "ทุกคนล้วนมีท่าทางแตกต่างกันไป หามีอันใดไม่ดีกับการที่ท่านรักษาตัวตนและรักษาจิตใจที่เข้มแข็งเด็จเดี่ยวเอาไว้ไม่ ข้าว่ามันก็ดีกว่าสตรีชาวบ้านร้านถิ่นอ่อนแอไร้เรื่องราวมากนัก"

ดวงตาขององค์หญิงโจวหยู่เริ่มสั่นไหว แววตาของนางนั้นเจือไปด้วยความสุขอย่างมาก หยาดน้ำตาแห่งความสุขเริ่มก่อตัวก่อนที่จะหยดลงมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเจี้ยงเฉินกล่าวชมเชยนาง

"เรื่องนี้นั้นข้าย่อมหมายความเช่นนั้นจริง ๆ แม้ข้านั้นจะตะโกนและดุว่าท่านอยู่บ่อยครั้ง แต่ข้านั้นตะโกนใส่ความอวดดีของท่าน  ในความเป็นจริงข้านั้นย่อมชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อีกทั้งยังเสียสละตนทำเพื่อครอบครัวถึงเพียงนั้น อ่อ..ยังมีความทุ่มเทในเต๋าแห่งการต่อสู้ของท่านอีกด้วย น่าชื่นชมนัก"

เจี้ยงเฉินนั้นกล่าวออกมาด้วยความสัตย์จริงหาได้โกหกนางไม่

"เจี้ยงเฉิน ท่านรู้หรือไม่ ข้านั้นรอให้ท่านกล่าวชมเชยมาเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว? ท่านมิได้กล่าวมันออกมาเพียงเพราะว่าท่านกำลังจะจากไปใช่หรือไม่?”

"อะไร ท่านคิดว่าข้าเป็นคนหลอกลวงเช่นนั้นหรือ?" เจี้ยงเฉินยิ้มออกมาเจื่อน ๆ "เอาล่ะ อย่าได้ร้องไห้เลย ข้าไม่คุ้นกับการที่เห็นท่านต้องร้องไห้เช่นนี้ ถ้าเลือกได้ข้าขอมองภาพองค์หญิงโจวหยู่ที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวและเชื่อมั่นในตนเองมากกว่า ที่จะเห็นท่านในสภาพสตรีที่ร้องไห้ซึมเซาเช่นนี้ "

โจวหยู่รีบเช็ดน้ำตาก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยสายตาเป็นประกาย "ท่านพูดจริงหรือไม่?"

"แน่นอน ข้าย่อมมิโป้ปด"

องค์หยิงโจวหยู่เผยรอยยิ้มออกมา "เอาล่ะ ข้าตัดสินใจได้แล้ว"

"ตัดสินใจอะไร" เจี้ยงเฉินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

"ข้าตัดสินใจที่จะไม่เป็นองค์หญิงอีกต่อแล้ว ข้าเป็นองค์หญิงมาตลอด 3 ชั่วอายุของตระกูลตงฟาง ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะละทิ้งฐานันดรนี้แล้วไปใช้ชีวิตตามที่ข้าใฝ่ฝันเสียที "

"ยอดเยี่ยม! หวนคืนสู่ตัวตนของท่าน  นี่ย่อมเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับท่านที่สุด! "เจี้ยงเฉินหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่

องค์หญิงโจวหยู่กระพริบตา "และข้าก็ตัดสินใจได้อีกเรื่อง"

"ท่านตัดสินใจอันใด?"

"เจี้ยงเฉิน ท่านฟังให้ดีนะ จากนี้ไปข้านั้นหาได้เป็นองค์หญิงอีกแล้วไม่ แต่เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 เท่านั้น...ข้าต้องการเป็นลูกศิษย์ท่าน"

"อะไรนะ" เจี้ยงเฉินตกตะลึง เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าโจวหยู่จะมาไม้นี้

"ท่านฟังไม่ถนัดหรือ ข้าต้องการเป็นลูกศิษย์ของท่านและเดินตามหนทางแห่งเต๋าของท่าน" โจวหยู่เชิดหน้าอกกลมกลึงของนางขึ้นมาก่อนที่จะจ้องเจี้ยงเฉินด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวของนาง ราวกับนางจะไม่ยินยอมรับคำกล่าวปฏิเสธของเจี้ยงเฉิน นางเพียงต้องการรับฟังคำว่าตกลงเท่านั้น

"นิ... นี่สมองท่านไปกระทบกระเทือนอันใดมาหรือไม่"

"ข้าไม่เคยแจ่มใสขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่เกิดมา เจี้ยงเฉิน เมื่อครู่ท่านพึ่งบอกข้าอยู่หยก ๆ ว่าอยากให้ข้ากลับไปเด็ดเดี่ยวและมีจิตใจเข้มแข็งเช่นเดิม ข้ามีความตั้งใจที่จะเป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านอย่าได้สับสนและกังวลใจ ถึงแม้ว่าข้าจะเคยบอกว่าท่านจะเป็นเพียงบุรุษคนเดียวของข้า แต่เหตุผลที่ข้าต้องการติดตามหาใช่เรื่องที่ข้าคิดตามตื๊อท่านไม่ ข้าเพียงต้องการติดตามเต๋าอันสูงส่งของท่านเท่านั้น"

"เต๋าอันสูงส่ง? ท่านคิดว่าเรื่องนี้นั้นสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าในตระกูลเช่นนั้นรึ? ท่านคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ท่านต้องการแล้วข้าจะมีให้เช่นนั้นรึ?" เจี้ยงเฉินถูจมูกของเขา

"ท่านอย่างแกล้งทำท่าราวกับข้ามิรู้อันใดหน่อยเลย  เจี้ยงเฉิน ตัวท่านนั้นมีความลับมากมายนัก เพียงแค่ท่านให้คำแนะนำเพียงเล็กน้อย แต่กลับสามารถทำให้ข้าสามารถตัดผ่านไปยังระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 ที่ขนาดอาจารย์ของข้าเองนั้นยังมิสามารถมองเห็นหนทางได้ ตอนนี้นั้นข้าได้ตัดสินใจกระทำตามสิ่งที่ใจข้าคิดอยากกระทำอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ข้ามีความสุขและยินดีอย่างมากที่ตัดสินใจเช่นนี้ "

 

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.