spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
มีคนกล่าวไว้ว่าเจี้ยงเฉินนั้นหาใช่ผู้ที่สามารถกล่าวคำปลุกขวัญและกำลังใจของกองทัพได้ดีที่สุด แต่ทว่าเขากลับพูดตรงความจริงได้มากที่สุด
นอกจากนี้ การรุกรานของอาณาจักรจันทราทมิฬนั้นได้ระเบิดความโกรธแค้นความเกลียดชังที่ทั้งสองอาณาจักรต่างสั่งสมเอาไว้ออกมา เขาแทบไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อเป็นการปลอบขวัญหรือกล่าวคำปลุกใจ ให้คนเหล่านี้ยอมสู้จนเลือดหยดสุดท้ายแม้ตายก็ไม่หวั่นเกรงสักเพียงนิด
ภายใต้คำประกาศกร้าวของเจี้ยงเฉิน ผู้เข้าร่วมรบทุกคนต่างตะโกนขานรับออกมา และสาบานด้วยเลือดว่าพวกเขายินดีที่จะปฏิบัติตามเจี้ยงเฉิน พวกเขาจะออกไปเข่นฆ่าเหล่าข้าศึกให้มันตกตาย หลั่งโลหิตชโลมแผ่นดินในพื้นที่ ๆ ห่างไกลจากอาณาจักร
"ฆ่ามันให้หมด! ฆ่ามันให้หมด! "
เหล่าผู้ฝึกปราณแท้จริงจำนวนนับหมื่นต่างตะโกนออกมา เสียงของพวกเขาสั่นสะท้านไปถึงเมฆสูงบนท้องนภา
"ฮ่า ฮ่า เรื่องนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก"
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังกังวานออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า เสียงหัวเราะดังกล่าวแทบจะเจาะทะลุโสตประสาทของผู้ฝึกตนอาณาจักรลมปราณแท้จริงจนเกือบทะลุแก้วหู ราวกับเสียงนี้ทำมาจากหินหรือเหล็กแหลม
"เป็นผู้ใดกัน?" คิ้วของเจี้ยงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเงี่ยหูใช้ออกด้วย สดับเทพวายุ อีกทั้งยังหรี่ตาใช้ออกด้วยเนตรเทวะ จ้องมองไปยังอากาศที่ว่างเปล่าทางทิศตะวันออก
"สหาย ในเมื่อมาแล้ว ใยไม่ออกมาเล่า"
ร่างสีเขียวปรากฏขึ้นบนอากาศที่ว่างเปล่าทางทิศตะวันออกก่อนที่จะพุ่งมาราวกับเส้นสายอัสนี
กระแสอากาศถูกแหวกเป็นสองข้างราวในฉับพลันราวกับกระแสธาราแยกสาย
ร่างสีเขียวเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นสัตว์ป่าที่มีปีกอยู่บนหลัง เขี้ยวของมันแหลมคมและขนาดตัวของมันกล่าวได้ว่าใหญ่โตกว่านกหงส์เขียวหลายเท่าตัว
เมื่อปีกของสัตว์ดังกล่าวถูกกางออกราวกับว่ามันสามารถปิดแผ่นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้หมดสิ้น ขนาดปีกของมันใหญ่กว่านกหงส์เขียวมากมายนัก
ชายหนุ่มแต่งตัวหรูหรามีระดับอาศัยอยู่บนหลังของสัตว์ตัวนี้ เครื่องประดับและอัญมณีของเขาเปล่งประกายงดงาม แม้ต่อให้เขาจมอยู่ก้นทะเลคาดว่ายังคงทอประกายทะลุผิวน้ำขึ้นมาได้ ท่าทางของเขานับว่าดูสูงส่งอยู่เหนือคนนับหมื่น
ลักษณะชายคนนี้นับว่าดูมีเอกลักษณ์นัก ถึงแม้นเขาจะแลดูมีอายุมากกว่าเจี้ยงเฉินราวๆ 1 - 2 ปี ทว่าความเป็นผู้ใหญ่กลับแสดงออกมาอย่างชัดเจน
เมื่อมองไปยังระดับบ่มเพาะของเขา จากการตัดสินด้วยสายตาเจี้ยงเฉินคิดว่าเขายังไม่ได้ตัดผ่านไปยังอาณาจักรลมปราณจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตัวเขาผู้นั้นย่อมอยู่ในระดับสูงสุดของลมปราณแท้จริง นั่นคือระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 เฉกเช่นเดียวกับเขา
ชายหนุ่มคนนั้นได้ใช้สายตาลึกซึ้งมองมาที่เจี้ยงเฉิน กองทัพผู้ฝึกตนนับหมื่นไม่ต่างอันใดกับรูปปั้นประดับฉาก เขาหาได้หันไปสนใจหรือเหลือบมองไม่ เขาแสดงเป้าหมายออกมาอย่างชัดเจนว่าเขามาเพื่อพบเจี้ยงเฉินโดยเฉพาะ
"ท่านคือเจี้ยงเฉินรึ?" ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมาในขณะที่จับจ้องไปยังเจี้ยงเฉิน แต่เจี้ยงเฉินหาได้กังวลอะไรไม่ เขาเผยรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ
"ข้าคือเจี้ยงเฉิน ไม่ทราบว่าสหายที่น่านับถือเป็นผู้ใดกัน? " เจี้ยงเฉินสงสัยเล็กน้อย
"เช่นนั้นข้าขอแนะนำตัวก่อน ตัวข้าเรียกว่า เย่หลง มาจากอาณาจักรนภาจันทร์" ความมั่นใจและความเป็นกันเองอีกทั้งยังแฝงไปด้วยความสุภาพและความสบาย ฉายชัดอยู่บนรอยยิ้มที่ตอบรับกันอย่างลงตัวกับใบหน้าสุภาพของชายหนุ่มตรงหน้า ผู้ใดที่ได้เห็นย่อมมีความประทับใจและรู้สึกเป็นมิตรกับเขาอย่างแน่นอน
"อาณาจักรนภาจันทร์?" เจี้ยงเฉินขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมาบาง ๆ "หาข้าจำไม่ผิดแซ่ของเจ้านั้นย่อมเป็นแซ่เดียวกับตระกูลที่เป็นเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรจันทร์นภา?"
“ฮ่าๆ น้องเจี้ยงเฉินกล่าวถูกแล้ว ข้านับเป็นองค์ชายลำดับที่ 4 แห่งอาณาจักรนภาจันทร์”
"องค์ชาย 4?" เจี้ยงเฉินยิ้ม "อาณาจักรนภาจันทร์นั้นนับว่าเป็น 1 ใน 4 อาณาจักรใหญ่ที่เข้มแข็งที่สุดในบรรดาเหล่าพันธมิตรทั้ง 16 อาณาจักรมิใช่หรือ ความแข็งแกร่งของอาณาจักรท่านและอีก 3 อาณาจักรใหญ่ที่เหลือนับว่าเหนือล้ำกว่าอาณาจักรอื่น ๆไปไกลโข ...เช่นนั้น ข้าขอถามท่าน มีเหตุจำเป็นอันใดที่นำท่านมายังอาณาจักรที่ห่างไกลถึงเพียงนี้?”
เย่หลงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะตอบคำถาม "น้องเจี้ยงเฉินอย่าได้ถ่อมตนนักเลย ยามนี้นั้น ข่าวลือเกี่ยวกับความสามารถของน้องเจี้ยนเฉินได้เลื่องระบือไปทั่ว 16 อาณาจักรแล้ว ข้านั้นพอมีความคิดอ่านที่ผิดแปลกกกว่าชาวบ้านและช่างเป็นคนขี้สงสัยนัก ดังนั้นข้าจึงอยากพิสูจน์บางสิ่งที่ข้าคาดเอาไว้เพียงเล็กน้อย ...หากจะกล่าวไปตัวข้านั้นนับว่าลงมือรวดเร็วกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง"
“หืม เช่นนั้นแม้แต่ท่านที่เป็นถึงองค์ชาย กลับเชื่อถือข่าวลือพวกนั้นด้วย?”
เย่หลงยิ้ม "ข้าเพียงเชื่อถือครึ่งส่วน อีกครึ่งส่วนนั้นยังคงสงสัยอยู่บ้าง แต่ทว่ายามนี้... "
เย่หลงหยุดคำก่อนที่เขาจะกวาดสายตาไปยังผู้ฝึกตนอาณาลมปราณแท้จริงนับหมื่นคน อีกทั้งยังมองไปที่ นกหงส์ทองที่โผบินอยู่อย่างองอาจและทรงพลังอำนาจนับร้อย ๆ ทั้งยังมีเหล่านกหงส์เงินนับหมื่นที่บินกันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
"ยามนี้ข้าคงหามีทางเลือกอื่นหรือหนทางที่จะปฏิเสธข่าวลือนั้นไม่ คงได้แต่เชื่อถือมัน เนื่องจากได้ประจักษ์แจ้งด้วยตาคู่นี้แล้ว" เย่หลงดูเหมือนจะมีอารมณ์ที่ดีขึ้นมามาก "การวัดตื้นลึกหนาบางชายผู้หนึ่งจากชื่อเสียงที่โด่งดังนั้นหาได้มีความแม่นยำเทียบเท่ากับการได้พบและเผชิญหน้าไม่ ...อีกทั้งดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้ของข้านับว่ามีผลเลิศล้ำไม่น้อยแล้ว"
เจี้ยงเฉิน ๆ ค่อยยิ้มก่อนที่จะกล่าวออกมา "องค์ชายเย่ ข้านั้นไม่แน่ใจว่าการที่ท่านมาเร็วนั้นจักเป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่ แต่ข้าแน่ใจได้เลยว่ายามนี้ท่านมาในช่วงที่สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไรนัก"
"ฮ่าฮ่า แต่ข้าคิดว่าข้ากลับมาถึงในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เหตุผลที่น้องเจี้ยงเฉินเรียกระดมพลเหล่าผู้ฝึกตนเป็นกองทัพนับหมื่นเช่นนี้ มิใช่คิดอาศัยจุดเด่นในด้านความความคล่องแคล่วของนกหงส์ ใช้ออกด้วยยุทธวิธีการรบแบบกองโจรเล่นงานอาณาจักรจันทราทมิฬระหว่างทางหรอกหรือ? "
“หืม? เหตุใดท่านกลับล่วงรู้ได้เล่า” เจี้ยงเฉินนั้นแน่นอนว่ามีความคิดเช่นนี้จริง ๆ แต่ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าองค์ชายตรงหน้าเพียงเห็นสถาพรอบ ๆ กลับกล่าวคาดเดาออกมาราวกับตาเห็น หรือเปิดเผยความลับสวรรค์ออกมาได้แม่นยำถึงเพียงนี้?
"ฮ่า ฮ่า นี่เป็นเพราะหากข้าเป็นน้องเจี้ยงเฉินก็คงกระทำเช่นนี้ ข้าเองคิดเช่นเดียวกันกับท่าน อีกทั้งยังมีความคิดดี ๆ บางอย่าง"
เจี้ยงเฉินพลันใคร่รู้ขึ้นมา "องค์ชายเย่เชิญกล่าว"
"ฮ่า ฮ่า จะอย่างไรผู้มาเยี่ยมจากแดนไกลก็ถือเป็นแขกใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าอยากขอลิ้มรสสุราของน้องเจี้ยงสักจอก " องค์ชายเย่ยังกล่าวออกมาโดยไม่รีบร้อน "แต่ข้าคงไม่อาจดื่มสุราของท่านเพียงฝ่ายเดียว แน่นอนว่าข้าย่อมมีบางสิ่งตอบแทน ข้าจะบอกกล่าวถึงกลยุทธ์ที่น่าจะทำให้น้องเจี้ยงได้ชัยในศึกนี้ หรือไม่ก็คงเป็นประโยชน์แก่ท่านไม่น้อย "
เป็นไปไม่ได้เลยที่เจี้ยงเฉินจะไม่แยแสวาจาอวดอ้างขององค์ชายผู้นี้ นี่เป็นเพราะเย่หลงผู้นี้กลับเป็นถึงองค์ชายแห่งอาณาจักรนภาจันทร์ที่ยิ่งใหญ่อีกทั้งคำพูดของเขายังกล่าวออกมาอย่างเรียบ ๆ หาได้มีความหยิ่งผยองหรือโอหังปะปนอยู่แม้แต่น้อย
เขาดูเป็นคนสุภาพอีกทั้งยังแลดูน่าคบหาอยู่ไม่น้อย
คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งหากเจี้ยงเฉินนั้นปฏิเสธความหวังดีดังกล่าวและปล่อยให้แขกผู้นี้เดินทางอย่างสูญเปล่านับพันลี้
"หามิได้ นี่ต้องกล่าวว่าเป็นองค์ชายให้เกียรติผู้น้องที่ยินยอมลดตัวมาร่ำสุราด้วย...หากแต่ข้ากลับกังวลว่า ในอาณาจักรสุดขอบทุรกันดารแห่งนี้ หาได้มีสุราเลิศล้ำสมกับรสนิยมสูงส่งขององค์ชายท่านเสียมากกว่า "
"ยามดื่มกับสหายรู้ใจแม้พันจอกไม่เมามาย การลิ้มรสสุรานั้นเราเพียงรื่นรมย์กับความสุนทรีและดื่มด่ำในอารมณ์เท่านั้นพอ เพียงแค่วันนี้ข้าได้พบและร่ำสุรากับน้องเจี้ยงเฉินจักเป็นสุราอันใดก็นับว่าเลอเลิศเกินพอแล้ว”
อาจเพียงกล่าวได้ว่าวาจาขององค์ชายเย่หลงผู้นี้นับว่าน่าฟังนัก คำกล่าวของมันนั้นมีลักษณะที่ทำให้ผู้ที่รับฟังยากแก่การบอกปัดปฏิเสธ มันช่างมีอำนาจโน้มน้าวให้ผู้อื่นยินยอมโอนอ่อนโดยธรรมชาติ ..นับว่าวาจาของมันกล่าวได้กินใจผู้ฟังนัก
"เช่นนั้น จอกนี้ข้าเจี้ยงเฉินขอดื่มคารวะองค์ชาย" เจี้ยงเฉินยกจอกสุราขึ้น รวดเดียวหมดก่อนที่จะคว่ำจอกแสดง
"ดื่มให้กับมิตรภาพของพวกเรา!" เย่หลงยกจอกสุราขึ้นก่อนที่จะยกซด ยามมันคว่ำจอกลงหามีสุราร่วงหล่นแม้เพียงหยดเช่นกัน
หลังจากที่พวกเขาร่ำสุรากัน 3 จอก เจี้ยงเฉินก็วางจอกลงบนโต๊ะ "องค์ชายเย่ การศึกยามนี้กล่าวไปเวลายังมิค่อยเพียงพออยู่บ้าง ท่านรวบรัดเข้าเรื่องเถิด"
"เอาล่ะเช่นนั้นข้าจะกล่าวเพียงสั้น ๆ ข้ามาที่นี่มีจุดประสงค์เพียงสองประการ หนึ่ง ข้ามาเพื่อช่วยเหลือให้ท่านได้ชัยในศึกครานี้ สอง ข้าหวังเชื้อเชิญท่านให้มายังอาณาจักรนภาจันทร์ของข้า เพื่ออาศัยอาณาจักรของข้าในการพัฒนาฝึกปรือฝีมือ โลดแล่นบนแผ่นดินข้าเท่านั้น"
“หืม? ท่านมีคำอธิบายเรื่องนี้หรือไม่? "
"ทั้งสองเรื่องนี้นับว่าเกี่ยวพันกันอย่างยิ่ง หากเราต้องการสานสัมพันธ์กันแล้วเรื่องแรกอาจเป็นของขวัญส่วนรายการที่สองนี่นับว่าเป็นการอวยพร"
เจี้ยงเฉินมองไปยังเย่หลงด้วยสายตาเรียบ ๆ "มีเหตุผลสำหรับการกระทำครั้งนี้หรือไม่?"
"เหตุผลนี้ง่ายดายนัก ข้านั้นชื่นชมและอยากได้ท่านมาเป็นกำลังสนับสนุน ผู้มากความสามารถเช่นท่าน จะอย่างไรก็ต้องการเวทีขนาดใหญ่เพื่อแสดงความสามารถ อีกทั้งข้าเองก็หวังให้ท่านช่วยเหลืออะไรสักเล็กน้อย...อย่างน้อยข้าก็กล่าวได้ว่า การที่ท่านมาอาณาจักรของข้า ย่อมส่งผลดีมากกว่าการที่ไปยังอาณาจักรเล็ก ๆ 12 อาณาจักรที่เหลือ "
เรื่องนี้เจี้ยงเฉินเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
อาณาจักรนภาจันทร์ เป็นหนึ่งในสี่อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรพันธมิตรทั้ง 16 อาณาจักร หากจะกล่าวให้ชัดก็กล่าวได้ว่าอาณาจักรทั้งสี่นี้นับว่าเป็นอาณาจักรชั้น 1 ของอาณาจักรทั้ง 16 อาณาจักร
อาณาจักรจันทราทมิฬนั้นกล่าวได้ว่าเป็น อาณาจักรชั้น 2 เท่านั้น
ส่วนอาณาจักรตะวันออกนั้น กาลก่อนก็อยู่ในระดับอาณาจักรชั้น 2 ค่อนไปชั้น 3 อยู่แล้ว หลังจากเหตุการณ์ความไม่สงบแล้วไม่ต้องถามก็รู้ได้ทันทีว่าอาณาจักรตะวันออกกลายเป็นอาณาจักรชั้น 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นเทียบกันด้วยพื้นฐานแล้ว ทางอาณาจักรตะวันออกและอีก 12 อาณาจักรเล็กที่เหลือหามีอันใดไปเปรียบเทียบกับอาณาจักรใหญ่ทั้งสี่นี้ไม่
"เจี้ยงเฉินจากข่าวที่ข้าได้รับมา ข้ารู้ว่าท่านย่อมมีความภูมิใจและแนวทางของตน ข้าขอเชิญท่านมายังอาณาจักรนภาจันทร์นี้ไม่ใช่ในฐานะผู้ติดตาม แต่ข้าเชื้อเชิญท่านฐานะอาคันตุกะ"
"อาคันตุกะ?"
“ถูกแล้ว ข้ารู้ดีบุรุษที่มีความสามารถและมีความภาคภูมิใจเช่นท่าน ย่อมมิอยากเป็นข้ารับใช้หรือผู้ติดตาม เช่นนั้นกล่าวได้ว่า ให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นดั่งคู่ค้าจะดีเสียกว่า ข้าเพียงจ้างวานให้ท่านช่วยเหลือ แต่ท่านย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะยินยอมช่วยเหลือข้าหรือไม่" เป็นอีกครั้งที่ต้องกล่าวยอมรับนับถือคำพูดนอบน้อมของเย่หลง เขาช่างกล่าววาจาได้ระรื่นหูผู้ฟังและเกลี้ยกล่อมได้ดีนัก
"เหตุใดจึงต้องเป็นข้างั้นหรือ?"
เย่หลงหัวเราะออกมาอย่างมีนัยสำคัญ "เจี้ยงเฉิน ท่านก็คล้ายคลึงกับข้า – พวกเราเป็นดั่งเพชรที่รอวันเจียระไน หรือทองที่กลบฝังอยู่ใต้ผืนทรายรอวันเปล่งประกาย ข้าขอกล่าวตามความสัตย์จริง อันตัวข้าก็นับว่าเป็นองค์ชายในตำแหน่งที่ 2 หรือ 3 ที่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ มีองค์ชายอย่างน้อย 4 – 5 คนที่แข็งแกร่งกว่าข้า และถูกพิจารณาให้เป็นตำแหน่งแรกที่จะได้ครองบัลลังก์ พวกเขาหาได้มีอันใดเลิศล้ำกว่าข้าในเรื่องความสามารถไม่ สิ่งเดียวที่พวกมันมีเหนือข้าเป็นเพียงชาติกำเนิดและฐานะติดตัวของตระกูลฝั่งมารดาเท่านั้น ส่วนมารดาข้าเป็นเพียงหญิงชาวบ้านร้านถิ่น หาได้มีตระกูลหนุนหลังหรือกองกำลังที่แข็งแกร่งอันใดคอยช่วยเหลือสนับสนุนเฉกเช่นพวกเขาไม่"
"ไม่มีผู้สนับสนุน ... " เจี้ยงเฉินนั้นย่อมจำความบาดหมางและเหตุการณ์ของตระกูลหลงและเรื่องราวของหลงยู่ซื่อได้ดี ผู้สนับสนุนนั้นมีความสำคัญถึงเพียงใดเจี้ยงเฉินย่อมต้องทราบไปถึงทรวง เย่หลงเอง สถานะของเขาก็เป็นเช่นนี้ ยามนี้เขาไร้ผู้สนับสนุนให้ต่อสู้ในเวทีใหญ่
"เจี้ยงเฉิน ตัวท่านนั้นไร้ผู้สนับสนุนอันใด อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่าท่านได้บ่มเพาะความแค้นกับนิกายตะวันม่วงอีกด้วย กล่าวได้ว่าชีวิตของท่านนั้นถูกนิกายไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งบนแผ่นดินนี้ปิดประตูใส่ไปแล้ว ท่านอยู่ในอาณาจักรตะวันออกแห่งนี้ต่อไป ก็หามีนิกายใดที่เห็นคุณค่าและความสามารถของท่านมากไปกว่าการคุกคามจากนิกายตะวันม่วงไม่ แต่ทว่าหากท่านมายังอาณาจักรนภาจันทร์ของข้านั้น ปัญหาเช่นนี้จะหมดไป เพราะไม่ว่านิกายตะวันม่วงจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน มันก็มิอาจสอดมือมายุ่งกับท่านยามอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักรนภาจันทร์ได้... นี่เป็นเพราะอาณาจักรนภาจันทร์ของข้าเองก็มีนิกายพฤกษาสวรรค์ เป็นผู้อยู่หนุนหลังด้วยเช่นกัน "
นิกายพฤกษาสวรรค์นั้นมีฐานะเทียบเท่ากับนิกายตะวันม่วง พวกมันต่างเป็น 1 ใน 4 นิกายที่แข็งแกร่งที่สุด
"กล่าวคือหากท่านสามารถสร้างผลงานได้โดดเด่นในอาณาจักรนภาจันทร์ ท่านอาจจะสามารถดึงดูดความสนใจจากนิกายพฤกษาสวรรค์ เพื่อสนับสนุนท่านในด้านทรัพยากรบ่มเพาะ ซึ่งมันนับว่ามีค่าอย่างยิ่งสำหรับท่าน อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของนิกายตะวันม่วงอีกด้วย ภายใต้ความคุ้มครองของนิกายพฤกษาสวรรค์ แม้ท่านจะผิดใจกับนิกายตะวันม่วงถึงเพียงไหน พวกมันก็หาได้กล้าลงมือกับท่านไม่ "
เสียงของเย่หลงนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ และมันยังกล่าวต่อไปพร้อมรอยยิ้มว่า "เห็นหรือไม่ พวกเราสองคนนั้นนับว่าคล้ายคลึงกันไม่น้อย เราทั้งคู่ต่างต้องการสหายไว้พึ่งพา น้องเจี้ยงข้าได้กล่าวทุกสิ่งออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ข้าหาได้มีอันใดปิดบังท่านไม่ หวังเพียงท่านจะพิจารณาไตร่ตรองข้อเสนอของข้าเสียหน่อย"
เจี้ยงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวถามออกมาว่า "เช่นนั้นท่านมีวิธีลงมืออย่างไร ให้ศัตรูข้าปราชัย?"
เย่หลงแย้มยิ้มอย่างมีความหมายออกมา "กลยุทธ์ของข้าหาได้มีอันใดยากไม่ ดั่งคำกล่าวที่ว่าจับโจรต้องจับหัวหน้า กลยุทธ์นี้ก็คือ กลยุทธ์ดับชีพเหรินเฟยหลง ปลิดปลงศีรษะแม่ทัพอันดับหนึ่งของอาณาจักรจันทราทมิฬนั่นเอง"
"เด็ดหัวแม่ทัพอันดับหนึ่งภายใต้การคุ้มครองของกองทัพนับล้าน? นี่... พี่ท่านเห็นว่าข้าเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในอาณาจักรปราณจิตวิญญาณหรือไรเล่า?"
"ฮ่าฮ่า ข้าย่อมรู้ว่าตัวท่านยังมิได้อยู่อาณาจักรปราณจิตวิญญาณ แต่การเด็ดชีพอีกฝ่ายนั้น ข้ามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของท่านว่าสามารถกระทำได้ หากว่าท่านได้รับความช่วยเหลือจากข้าสักเล็กน้อย การสังหารเหรินเฟยหลงมิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ "
"ความช่วยเหลืออันใดรึ?" เจี้ยงเฉินกล่าวถามออกมา
"แน่นอน ย่อมเป็นอาวุธระดับวิญญาณ" ในระหว่างที่เย่หลงแย้มยิ้มอยู่นั้น เขาก็ได้หยิบคันธนูสีดำทมิฬราวกับรัตติกาลสิ้นแสงออกมา ท่าทางของเขามั่นใจราวกับว่าหมากตัวนี้สามารถพลิกกระดานได้อย่างแน่นอน
ธนูนี้แผ่กลิ่นอายล้ำเลิศอันเป็นเอกลักษณ์ของอาวุธวิญญาณออกมา มันช่างเย้ายวนไม่น้อย
"ธนู...วิญญาณ?" คิ้วของเจี้ยงเฉินโค้งขึ้นเล็กน้อย
เขาหาได้ขาดความรู้ความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับอาวุธวิญญาณหรือสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ไม่ มันอยู่ที่เวลาเท่านั้น ก่อนที่เจี้ยงเฉินจะสามารถหลอมสร้างโอสถ อาวุธ รวมทั้งฝึกฝนทักษะต่อสู้
"นี่เป็นอาวุธวิญญาณที่ถูกหลอมสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน มันมีความสามารถพิเศษในการขยายพลังทำลายได้ถึง 4 เท่า” หากเจี้ยงเฉินครอบครองธนูนี้หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไม่ที่จะสังหารฉูชิงหาน ...
เจี้ยงเฉินราวกับถูกล่อลวง แต่ความโลภของเขาหาได้บดบังสติไม่
"หากข้ารับธนูคันนี้มา นี่หมายความว่าข้าตกลงแล้วที่จะร่วมงานกับท่านใช่หรือไม่" เจี้ยงเฉินกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา
"ทั้งสองเรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกันไม่ การให้ยืมธนูคันนี้นับเป็นการแสดงความจริงใจครั้งแรกของข้าเท่านั้น สำหรับเรื่องราวความร่วมมือระหว่างเรานั้น ข้าหวังให้ท่านพิจารณาหลังเสร็จศึกเสียก่อน พวกเราค่อย ๆ ใช้เวลาสนทนาเรื่องนี้กันภายหลังข้าหาได้เร่งรีบไม่"
"อืม ข้าเห็นด้วยว่ามิจำเป็นต้องเร่งร้อน ค่อย ๆ สนทนากันภายหลังย่อมประเสริฐ" อันที่จริงเจี้ยงเฉินนั้นได้ยอมรับเย่หลงไปบ้างแล้ว เพราะโดยลักษณะแล้วเย่หลงผู้นี้นับว่าจริงใจนัก หาได้มีเล่ห์เหลี่ยมหรือกลโกงอันใด หลังจากที่เจี้ยงเฉินลอบทดสอบมันด้วยคำถามไปถึง 2 – 3 ครั้ง เขาสามารถกล่าวได้ว่าเย่หลงผู้นี้นับเป็นบุรุษที่ซื่อตรงและจริงใจผู้หนึ่ง
จะอย่างไรตระกูลเจี้ยงก็ต้องอพยพออกจากอาณาจักรตะวันออกไม่วันใดก็วันหนึ่ง อาณาจักรนภาจันทร์ที่เป็น 1 ใน 4 อาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด ในบรรดาพันธมิตร 16 อาณาจักรย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีในการวางรากฐานตระกูล