spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
เจี้ยงเฉินถึงกับตกตะลึงเบิกตาค้าง มันเพียงแค่จะหยอกเย้าองค์หญิงโจวหยู่เท่านั้นหาได้คิดคาดคั้นอันใดนางไม่ ผู้ใดจะไปคิดว่านางกลับคิดเป็นจริงเป็นจังปานนี้เล่า?
นี่นับว่ากลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเจี้ยงเฉินเสียแล้ว เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้มันก็แทบไม่ต่างอันใดกับการขี่หลังเสือ มันไม่สามารถหาทางลงโดยเอ่ยว่า ‘ข้าล้อเล่นได้’ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เจี้ยงเฉินแล้ว
เจี้ยงเฉินพลันกระพริบตาก่อนที่จะตัดสินใจ มันทำหน้าจริงจังพร้อมเดินไปหานางด้วยแววตาห่วงหาอาทรก่อนที่มันจะโน้มตัวไปด้านหน้า แล้วพลันเอื้อมมือมาช้า ๆ ราวกับจะรั้งตัวนางมาจุมพิต... แต่ทว่ามือนั้นพลันวกมาบีบจมูกนางพร้อมกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงแจ่มใส "เอาล่ะ ยามนั้นข้าเพียงกล่าวไปตามสถานการณ์เท่านั้น หาได้คิดบังคับท่านไม่"
ในขณะที่เจี้ยงเฉินเอื้อมมือมานั้น หัวใจขององค์หญิงโจวหยู่แทบจะกระดอนออกมานอกอกเสียให้รู้แล้วรู้รอด แม้นางนั้นจะมีบุคลิกห้าวหาญเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวทระนงมิต่างอันใดกับบุรุษเพศ แต่ท้ายสุดแล้วอย่าได้ลืมว่านางเองก็เป็นเพียงอิสตรีคนหนึ่งเท่านั้น
นางมักจะหลบซ่อนและปิดบังมุมเอียงอายเก้อเขินของอิสตรีเอาไว้ภายใต้ท่าทางองอาจทระนงดั่งบุรุษ
ทว่าเมื่อเรื่องราวทำนองนั้นพลันบังเกิดขึ้นจริง ๆ ท่าทีของนางพลันอ่อนระทวย ผิวเรียบเนียนราวดั่งหยกที่ดูแข็งแกร่งเสียเต็มประดาพลันอ่อนละมุนนุ่มนิ่มราวใยไหม ท่วงท่ากริยาเด็ดเดี่ยวพลันเปลี่ยนเป็นเก้อเขินลุกลี้ลุกลนมิต่างอันใดกับสาวแรกรุ่นบริสุทธิ์ไม่เดียงสา
เพราะห้วงคำนึงนั้นนางพลันคิดไปจริง ๆ ว่าเจี้ยงเฉินจะฉกฉวยจุมพิตแรกไปจากริมฝีปากนาง
แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเจี้ยงเฉินที่มีทีท่าจริงจังและแววตาหวานซึ้งราวกับจะกลืนกินนางนั้น พลันบี้จมูกนางเล่นเพียงแค่นั้น ซ้ำยังกล่าวออกมาเช่นนั้นอีก...ฉากนี้มันหาได้ต่างจากพี่ชายแสนอบอุ่นใจดีหยอกเย้าน้องสาวแม้แต่น้อย
ในใจโจวหยู่พลันมีอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมา มันผสมปนเปไปด้วยความผิดหวัง ทั้งยังมีอารมณ์โล่งใจ ทว่ายังเจือไปด้วยความโกรธและความวุ่นวายอีกบางส่วน...ช่างเป็นจิตใจอิสตรีที่ยากแท้หยั่งถึงเสียจริง ๆ...
"เอาล่ะ ไปหารั่วเอ๋อร์กันเถอะ" เจี้ยงเฉินพลันยิ้มแล้วก็ถอยหลังกลับไป 2 ก้าว
เมื่อองค์หญิงโจวหยู่เห็นว่าเจี้ยงเฉินหาได้คิดทำอันใดอื่นอีกนางพลันโล่งใจเล็กน้อย นางผ่อนลมหายใจออกมาก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามเรียบเรียงสติที่เตลิดไปเมื่อครู่ เมื่อนางกลับมามีสติครบถ้วนดีแล้วนางพลันรวบรวมความกล้าทั้งหมดในชีวิตเดินไปขวางด้านหน้าเจี้ยงเฉิน
ดวงเนตรกระจ่างใส รอยยิ้มซึ่งเผยให้เห็นฟันขาวที่ส่องประกายสวยสง่าราวกับอัสดงยามเช้า แพขนตานางพริ้มลงเล็กน้อยมันสั่นกระเพื่อมราวกับนางกำลังรวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมดในร่าง ก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า "เจี้ยงเฉิน หาได้สำคัญไม่ว่าท่านจะมองข้าเป็นเช่นไร แต่ขอให้รู้ไว้ตราบนี้จนตลอดไปข้าจะมิให้บุรุษอื่นใดได้สัมผัสกายข้า ท่านจะเป็นบุรุษคนแรกและคนสุดท้ายที่ได้สัมผัสกายข้าชั่วนิรันดร์ "
หลังจากที่องค์หญิงโจวหยู่กล่าวจบ นางรู้สึกราวกับร่างกายนางสิ้นแล้วซึ่งเรี่ยวแรง ตัวนางพลันอ่อนแอราวกับไร้กำลังอำนาจ นางหาได้คิดเลยว่า การรวบรวมความกล้าแล้วกล่าววาจาออกมาเช่นนี้ จักเหนื่อยล้าและยากลำบากกว่าการเผชิญหน้ากับทัพศัตรูนับล้านเสียอีก
“เฮ้ ๆ ท่านอย่าได้แสดงทีท่าเหม่อลอยเช่นนั้นสิ หากรั่วเอ๋อร์เห็นท่านยามนี้ เกรงว่าภายหลังนางจะคิดว่าข้ารังแกท่านเอาได้" เจี้ยงเฉินกล่าวออกมาพร้อมยิ้มบาง ๆ
องค์หญิงโจวหยู่ที่ได้ฟังพลันเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา "รั่วเอ๋อร์ นางไร้เดียงสานัก มิมีวันคิดเรื่องราวไปในทิศทางนั้นหรอก"
"ใช่แล้ว นางช่างไร้เดียงสายิ่งนัก แม้แต่การพ่นโลหิตออกจากปาก นางหาเข้าใจไม่ ฮ่าฮ่า"
เจี้ยงเฉินหัวเราะออกมาอย่างตลกขบขัน ใบหน้าขององค์หญิงโจวหยู่พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง นางได้แต่เม้มริมฝีปากพร้อมกระทืบเท้าด้วยความเขินอาย "เจี้ยงเฉิน ท่านมันอันธพาลน้อย"
คำว่าพ่นโลหิตออกจากปากนี้ มันเกิดขึ้นในครั้งที่มีงานเลี้ยงในคฤหาสน์ตระกูลหลงของขุนนางมังกรทะยาน ยามนั้นเจี้ยงเฉินกำลังสั่งสอนไป๋ชางหยุน ทายาทของขุนนางพยัคฆ์ขาว
เขากล่าวถึงคำที่มีความหมายว่าคลอดบุตรโดยไม่ได้กล่าวออกมาตามตรง ทว่าตงฟางชี่หรัวกลับไม่เข้าใจคำเปรียบเปรยนั้น นางมิรู้ว่ามนุษย์เรานั้นถือกำเนิดออกมาได้อย่างไร
แม้แต่องค์หญิงโจวหยู่เองก็ต้องขบคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจ
องค์หญิงโจวหยู่ชะลอฝีเท้าเล็กน้อยก่อนที่จะถอยกลับมาเดินตามหลังเจี้ยงเฉิน นางมองไปยังแผนหลังของเจี้ยนเฉิงด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ในยามที่เจี้ยงเฉินบี้จมูกนางเล่นนั้น อารมณ์ความรู้สึกอบอุ่นที่มิเคยมีมาก่อนได้เกิดขึ้นกับนาง มันเป็นความอบอุ่นที่ยากจะอธิบาย ทว่า..ในใจของนางพลันเต็มไปด้วยอารมณ์โหยหาในความรู้สึกอบอุ่นนั้น
พี่ชายของนางทั้งตงฟางเจิ้นและตงฟางลู่นั้น หาได้เคยกระทำอันใดเช่นนี้กับนางมาก่อนไม่ นี่เนื่องเพราะพวกเขาเกิดในวังวนของการแข่งขันแย่งชิงอำนาจจึงมิมีเวลามาสนใจเด็กสาวอย่างนาง
การกระทำเมื่อครู่ของเจี้ยงเฉินมันพลันทำให้นางรู้สึกไว้วางใจและผ่อนคลายราวกับมีพี่ชายคอยโอบอุ้มคุ้มครองดูแล ..หาได้ต่างอันใดกับความรู้สึกของสาวน้อยที่หวังพึ่งพิงพี่ชายคนโตไม่
แต่ทว่าเจี้ยงเฉินนั้นกลับมีอายุน้อยกว่านาง 5 - 6 ปีด้วยซ้ำ นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้...
ทันทีที่ตงฟางชี่หรัวลืมตาตื่นขึ้นมา ห้วงความคิดแรกของนางคือการมองหาพี่ชายเจี้ยงเฉิน และนางดีใจมากที่ได้เห็นพี่ชายเจี้ยงเฉินและโจวหยู่กำลังเดินมาหานางพอดี นางรีบแย้มยิ้มและวิ่งออกไปกุมมือของเจี้ยงเฉินอย่างแจ่มใสร่าเริง "ท่านพี่เจี้ยงเฉิน ท่านรู้หรือไม่? ตอนนี้ข้ามิชอบการนั่งรถม้ายามเดินทางอีกแล้วล่ะ ฮิฮิ "
"ทำไมเป็นเช่นนั้นเล่า?" เจี้ยงเฉินกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
"ข้าชื่นชอบการขี่นกหงส์ทองอย่างยิ่ง" ตงฟางชี่หรัวรีบใช้สองมือของนางโอบกอดแขนของเจี้ยงเฉินพร้อมกับเขย่ามันเบา ๆ พร้อมกล่าวอ้อนวอนออกมาด้วยใบหน้าน่าเอ็นดูและยากจะปฏิเสธ "พี่เจี้ยงเฉิน ท่านมอบนกหงส์ทองให้ข้าสัก 1 ตัวได้หรือไม่?"
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร ที่จะเห็นเด็กน้อยชื่นชอบสัตว์ขี่ประเภทนี้ จะอย่างไรการที่โดยสารและขับขี่พาหนะบินได้อย่างนกหงส์ทองย่อมสนุกสนานและเพลิดเพลินกว่าการขี่ม้าบนผืนดินอยู่แล้ว
"นกหงส์ทองนี้เป็นสัตว์ที่ฉลาดและมีความนึกคิดแล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่สามารถควบคุมมันได้ เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ข้าจะมอบลูกนกหงส์เขียวให้เจ้า 1 ตัวแทน โดยที่เจ้าจะต้องค่อย ๆ เลี้ยงมันตั้งแต่ยังเล็ก โดยที่ข้าจะมอบโอสถที่ทำให้มันพัฒนาและวิวัฒนาการมาเป็นนกหงส์ทองในเวลาไม่กี่ปี เพื่อช่วยเหลือเจ้าเอง เมื่อทำเช่นนี้นกหงส์ทองตัวนั้นจะสนิทสนมกับเจ้าไม่ต่างอันใดกับลูกน้อย เพราะเจ้าจะเป็นผู้ที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าว่าดีหรือไม่? "
ด้วยเหตุผลบางอย่างเจี้ยงเฉินนั้นไม่ค่อยอยากจะขัดความปรารถนาของตงฟางชี่หรัวสักเท่าไร หาได้เหมือนองค์หญิงโจวหยู่ที่เขามักจะเคี่ยวเข็ญนางไม่
เพราะลึก ๆ แล้วในจิตใจของเขานั้นรักและเอ็นดูตงฟางชี่หรัวไม่ต่างอันใดกับน้องสาวตัวน้อย ๆ เขานั้นสงสารและเข้าใจตงฟางชี่หรัวมากที่สุด เพราะว่านางเองก็เป็นผู้ที่เกิดมามีร่างหยินธรรมชาติเฉกเช่นเดียวกับเขา ตัวเขาย่อมรู้ดีว่าความทุกข์ระทมนี้เป็นอย่างไร
สุดท้ายเจี้ยงเฉินก็เล่นและคอยดูแลเอาใจตงฟางชี่หรัวตลอดทั้งวัน
ทั้งวันนี้เจี้ยงเฉินหาได้คิดเรื่องวุ่นวายจากการรุกรานของอาณาจักรจันทราทมิฬ รวมทั้งสถานการณ์ของอาณาจักรตะวันออกแห่งนี้แม้แต่น้อย มันเพียงตั้งใจเล่นและดูแลตงฟางชี่หรัวเท่านั้น
องค์หญิงโจวหยู่เองก็เช่นเดียวกัน
ตงฟางชี่หรัวนั้นเพลิดเพลินและสนุกสนานมาทั้งวัน เมื่อตะวันใกล้ลาลับนางก็ไม่ยินยอมเล็กน้อย แต่นางก็เฉลียวฉลาดนัก นางย่อมรู้ว่าน้าของนางเร่งรีบเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ย่อมมีเรื่องสำคัญ
"พี่เจี้ยงเฉิน ท่านน้าโจวหยู่กลับกันเถิด รั่วเอ๋อร์เหน็ดเหนื่อยแล้ว "
เมื่อกลับมาถึงเมืองระลอกคลื่นและรับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว เจี้ยงเฉินมองไปยังองค์หญิงโจวหยู่พร้อมรอยยิ้ม มันย่อมรู้ว่านางคิดจะกล่าววาจาออกมา แต่ทว่านางก็ได้แต่เม้มริมฝีปากเอาไว้ด้วยความลังเลใจไม่กล้ากล่าวถ้อยคำใด "เอาล่ะ ท่านไปนอนหลับพักผ่อนให้สบายเถิด เจี้ยงหานเป็นแดนดินถิ่นกำเนิดของตระกูลเจี้ยง เว้นแต่ข้าเจี้ยงเฉินไม่อยู่แล้วเท่านั้นล่ะ มิเช่นนั้นอย่าได้หวังว่าเท้าสกปรกของกองทัพม้าเหล็กจากอาณาจักรจันทราทมิฬจะมีโอกาสได้เหยียบย่ำแผ่นดินนี้"
ดวงตากระจางใส่เต็มไปด้วยเสน่ห์ขององค์หญิงโจวหยู่รื้นไปด้วยน้ำตา นางกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เท่านี้หรือ?"
"อะไร?" เจี้ยงเฉินยิ้มบาง "เหตุผลเท่านี้ยังไม่เพียงพอหรือ?"
"หาพอไม่" เจ้าหญิงโจวหยู่รู้สึกว่าตนไม่สมควรกล่าวเช่นนี้
"เช่นนั้นข้าจะเพิ่ม ว่าเพื่อชี่หรัวด้วยเป็นอย่างไร?"
แววตาขององค์หญิงโวหยู่ทอประกายขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับนางคาดหวังไว้แล้วว่าเจี้ยงเฉินกล่าววาจาเช่นนี้ แต่ทว่านางก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
..อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม และช่วยไม่ได้ที่รู้ว่า...หากได้รับคำตอบแล้วจะเจ็บปวด
"รั่วเอ๋อร์นั้นบริสุทธิ์และไร้เดียงสานัก บนโลกนี้คงมิมีผู้ใดอยากเห็นนางโศกเศร้าหรือทุกข์ทรมาน เจี้ยงเฉิน...ในอนาคตท่านจะช่วยรับรั่วเอ๋อร์เป็นภรรยาได้หรือไม่?
องค์หญิงโจวหยู่เงยหน้าขึ้นมามองเจี้ยงเฉินเขม็งหลังจากที่นางกล่าวถามออกไปแล้ว นางทำท่าราวกับว่าหากเจี้ยงเฉินไม่ตอบ นางจะนั่งจ้องเขาอยู่เช่นนี้ไม่ไปไหน
"นี่อย่าบอกนะ ที่ผ่านมาท่านคิดเช่นนี้ทุกวัน? ให้รับรั่วเอ๋อร์เป็นภรรยา ข้าเนี่ยนะ? " เจี้ยงเฉินเริ่มหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ "ข้ามองรั่วเอ๋อร์ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่ต่างอันใดกับน้องสาวข้าแม้แต่น้อย ท่านจะให้ข้ามีความคิดบัดสีเช่นนั้นกับเด็กสาวเช่นนั้นได้อย่างไร? "
เจี้ยงเฉินไม่คิดปิดบังอะไร เขาเลือกที่จะกล่าวความรู้สึกที่มีต่อรั่วเอ๋อร์ออกมาตามตรง จากทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากระทำนั้นเพียงเพราะเขาชื่นชอบในความสดใสร่าเริงและบริสุทธิ์ไร้มลทินของตงฟางชี่หรัวเท่านั้น
นอกจากนั้นตงฟางชี่หรัวเองก็มีร่างหยินมาแต่กำเนิดเช่นเดียวกับเขา กล่าวได้ว่าใต้หล้านี้หามีผู้ใดเข้าใจนางเช่นเดียวกับเขาไม่ เมื่อบุคคลที่ประสบชะตากรรมเดียวกันมาพบกัน อารมณ์ที่มันสะท้อนออกมาจากส่วนลึกย่อมมิแตกต่างกันสักเท่าไร มันเป็นความโศกเศร้าที่หามีผู้ใดจักเข้าใจได้....
เมื่อใดก็ตามที่เจี้ยงเฉินได้มองเห็นรั่วเอ๋อร์ อดไม่ได้ที่เจี้ยงเฉินจะรู้สึกราวกับเห็นตัวเองเมื่อกาลก่อน การปกป้องคุ้มครองรั่วเอ๋อร์นั้น มันสร้างความรู้สึกเหมือนกับว่าเจี้ยงเฉินกำลังช่วยเหลือและดูแลตัวเขาเองในชีวิตที่แล้ว...
สำหรับเรื่องการสมรสนั้นมันไม่เคยคิดสักนิด
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงเมื่อเกิดมามีร่างกายหยินธรรมชาติ ลูกหลานที่พวกมันให้กำเนิดนั้น ก็จะมีร่างหยินดุจเดียวกัน...
มันเป็นโชคชะตาที่อาภัพ
กล่าวง่าย ๆ ว่า ต่อไปเมื่อรั่วเอ๋อร์กำเนิดบุตร บุตรของนางยอมมีสภาพร่างกายเฉกเช่นเดียวกับนาง...ร่างหยิน
ในที่สุดไม่ช้าก็เร็วนางก็ต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายข้อนี้ แต่เจี้ยงเฉินเองก็ไม่คิดที่จะบอกกล่าวเรื่องนี้ให้แก่นางในตอนนี้ เขาไม่สามารถทนได้หากเห็นเด็กสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างเช่นรั่วเอ๋อร์ต้องแบกรับความรู้สึกน่าเศร้าเช่นนั้น เสียงแรกที่ดังก้องในใจของเจี้ยงเฉินนั้นมีเพียงความห่วงใยและอยากดูแลนางให้ปลอดภัยไร้กังวลเท่านั้น
...
ภายในพระราชวังของอาณาจักรจันทราทมิฬ
ราชาของอาณาจักรจันทราทมิฬกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร พร้อมกับกวาดตามองไปรอบ ๆ บรรยากาศรอบตัวมันช่างกดดันมีอำนาจรวมทั้งยังมีความหยิ่งผยองแฝงไว้ไม่น้อย
ฉีคังได้กลับมาถึงอาณาจักรจันทราทมิฬแล้ว ปกติตัวฉีคังนี้นับเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ที่ราชาของอาณาจักรจันทราทมิฬชื่นชอบและพึ่งพาได้มากที่สุดในการเกลี้ยกล่อมเพื่อหาความร่วมมือ แต่ทว่าดูเหมือนครั้งนี้มันจะทำให้เขาผิดหวัง
มันกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นห้องโถงเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ต่อองค์เหนือหัวที่เป็นราชาของอาณาจักรจันทราทมิฬ ถึงเหตุการณ์ที่มันประสบและพบเจอในมนฑลเจี้ยงหาน
ราชาของอาณาจักรจันทราทมิฬนั้นยังดูหนุ่มแน่น อายุของเขาราว ๆ 40 ปีเท่านั้น ใต้คางของเขามีหนวดเคราขึ้นเพียงเล็กน้อย ท่าทางองคาพยพของมันดูเด็ดเดี่ยวทระนงและแข็งแกร่งทั้งยังแฝงไว้ด้วยความสง่างามและเคร่งขรึม โดยเฉพาะดวงเนตรคู่นั้นเหมือนพยัคฆ์เดียวดายที่กวาดมองไปรอบ ๆ ด้วยความมั่นใจ
ฝ่ามือหนาใหญ่ที่จับอยู่บนพนักบัลลังก์มังกรนั้นดูแข็งแกร่งและมั่นคง เสริมสร้างกำลังใจและทำให้คนอื่นสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง ฝ่ามือนั้นมันดูทรงพลังราวกับเป็นกรงเล็บของพยัคฆ์ที่สามารถฉีกกระชากภูผาได้อย่างง่ายดาย
"เรียนองค์ราชา เจี้ยงเฉินนั้นหาได้ทราบถึงความสามารถของท่านไม่ ข้ากล่าวขานถึงเรื่องราวความกล้าหาญและเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของท่าน ทว่าเจี้ยงเฉินผู้นั้นมิได้สนใจและเข้าใจแม้แต่น้อย มันหาได้ใส่ใจในความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่ท่านคิดจะกระทำไม่ อีกทั้งมันยังบอกว่า ความฝันของท่านนั้นมิต่างอันใดกับกบใต้บ่อน้ำ ซ้ำร้ายมันยังกล่าวดูแคลนหยามหยันอาณาจักรจันทราทมิฬของเราว่าไร้สามารถมิมีปัญญาทำอะไรมันได้ "
เมื่อฉีคังรู้ตัวว่าตัวมันไม่อาจสามารถเกลี้ยกล่อมตระกูลเจี้ยงได้อย่างแน่นอนแล้ว มันจึงตัดสินใจเพิ่มฟืนเติมเชื้อเพลิงสุมไฟใส่ร้ายตระกูลเจี้ยงให้ถึงที่สุด เพื่อกระพือเพลิงแค้นขององค์ราชาให้มากขึ้นเป็นเท่าทวี หวังเพียงบดขยี้ตระกูลเจี้ยงให้สาแก่ใจ
และหาได้ผิดไปจากการคาดเดาแม้แต่น้อย...แววตาพยัคฆ์ขององค์ราชาแห่งอาณาจักรจันทราทมิฬยามนี้ เจือไปด้วยความอำมหิตอยู่หลายส่วน “เฮอะ! ตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลเจี้ยงนี่ช่างถือดีนัก แค่ข้าอยากให้พวกมันเข้าร่วมนี่ก็นับเป็นเกียรติของพวกมันอย่างถึงที่สุดแล้ว ทว่าเด็กน้อยนั่นกล้าที่จะปฏิเสธและทำตัวต่อต้านข้า เพียงเพราะได้รับโชคและเคล็ดลับเล็กน้อย กองทัพที่เกรียงไกรของอาณาจักรจันทราทมิฬของข้าจะละเลงเลือดและเหยียบย่ำตระกูลเจี้ยง ให้พวกมันเป็นตระกูลแรกที่หลังโลหิตชโลมแผ่นดินใหม่ของข้า! "
"ขอให้พระองค์ทรงมีอายุยืนนานหมื่นปีหมื่น ๆ ปี ขอให้จันทราทมิฬเจริญรุ่งเรืองหมื่นปีหมื่น ๆ ปี!" พวกขุนนางทั้งหลายที่อยู่รอบข้างต่างโห่ร้องออกมา
ราชาแห่งอาณาจักรจันทราทมิฬเมื่อได้ฟังก็อารมณ์ดี พลันคึกคักอักโข "อาณาจักรแรกที่ต้องเป็นประจักษ์พยานในการพิชิต 16 อาณาจักรของข้าคืออาณาจักรตะวันออก!"
"องค์ราชา ข้าขอกราบทูลด้วยความเคารพ ตระกูลเจี้ยงนั้นนับว่ามีความสามารถในการควบคุมกองทัพนกหงส์ ซึ่งกองกำลังทางอากาศนี้นับว่าสร้างปัญหาให้กับกองกำลังภาคพื้นดินไม่น้อย กองทัพที่เกรียงไกรของอาณาจักรทมิฬเราต้องเตรียมมาตรการรับมืออย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายมากเกินไป"
"เฮอะ! แม้กองทัพนกหงส์นั่นจะแข็งแกร่งพอใช้ได้ แต่ใช่ว่าอาณาจักรจันทราทมิฬของข้าหาได้มีกองทัพอากาศเช่นนี้ไม่ อันดับแรก อาณาจักรจันทราทมิฬของข้ามีกองกำลังปีกทมิฬ ที่มีความชำนาญในการศึกทางอากาศยิ่งนัก ความสามารถในการรบของกองทัพทมิฬนั้นเจ้าคงประจักษ์ดีอยู่แล้ว แต่หากกองทัพทมิฬได้จับคู่กับอีกาทมิฬแล้วล่ะก็ กำลังการรบของพวกมันนับว่าเหนือชั้นกว่าเดิมนับสิบนับร้อยเท่า กองกำลังปีกทมิฬเพียง 3,000 คนก็เพียงพอในการรับมือกองทัพนกหงส์แล้ว อีกทั้งประการที่สอง เรายังมีกองพลธนูที่แข็งแกร่งคอยคุมกำลังบนภาคพื้นดินอีกด้วย แล้วเหตุใดพวกเราจึงต้องกลัวเหล่านกหงส์? ทั้งนี้ไม่ต้องกล่าวให้มากความอันใด การรบครั้งนี้มีเพียงตระกูลเจี้ยงเท่านั้นที่ปะทะกับกองทัพของอาณาจักรจันททราทมิฬเรา แล้วเหตุใดพวกเราต้องกังวลกับกำลังรบของตระกูลเพียงตระกูลเดียวเล่า? "
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป ที่คิดว่ามีกำลังรบเพียงหนึ่งตระกูลหาญกล้าต้านทานกองทัพทั้งอาณาจักร อีกทั้งยังเป็นกองทัพชั้นยอดที่แข็งแกร่งเช่นนี้
เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างมองโลกในแง่ดีกันอย่างมาก พวกมันต่างมีส่วนร่วมในการออกความเห็นว่าจะจัดการเรื่องราวอย่างไรอีกทั้งยังแข่งขันกันอาสาสมัครมาบุกทำลายตระกูลเจี้ยงเป็นทัพแรกอีกด้วย
ราชาของอาณาจักรทมิฬกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า "เอาล่ะ ในเมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าขอสั่งให้แม่ทัพเหรินเฟยหลง นำทัพไปบุกทำลายตระกูลเจี้ยงเสียให้ราบพนาสูร"
เหรินเฟยหลงนั้นได้รับการขนานนามว่าเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของอาณาจักรจันทราทมิฬ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นเขามีผลงานล้ำเลิศนับไม่ถ้วนที่นำเกียรติยศมาสู่อาณาจักรจันทราทมิฬ
แล้วพวกเขาจะต้องกลัวอะไรกับการรบที่มีเพียงตระกูลเจี้ยงเพียงตระกูลเดียวที่ต้องรับมือกับทั้งกองทัพ?
นี่ไม่ต่างอันใดกับกองทัพเสือยกพลออกไปล่าลูกแกะแม้แต่น้อย
แม้ว่าคำร่ำลือของตระกูลเจี้ยงที่ล้มล้างตระกูลหลงของขุนนางมังกรทะยานนั้นจะเก่งกล้าสามารถจนเป็นเรื่องราวอภินิหารน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็มีเพียงคนของอาณาจักรตะวันออกเท่านั้น ที่เชื่อและศรัทธาในตำนานบทนี้
สำหรับอาณาจักรมังกรทมิฬนั้นข่าวลือพวกนี้นับว่าเพ้อเจ้อเหลวไหลเกินจริงไปไกลโข ส่วนลึกในหัวใจพวกมันย่อมไม่มีทางเชื่อและยอมรับว่าตระกูลเจี้ยงจะมหัศจรรย์และสร้างเรื่องปาฎิหาริย์ได้ดั่งนิทานเช่นนี้