spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ราวกับว่าอารมณ์ดุดันของเจี้ยงเฉินได้ไปกระตุ้นให้อารมณ์เฉียวไป่ชี่ปะทุออกมาเช่นกัน มันจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความยำเกรงและเต็มไปด้วยความอำมหิตว่า "ฉีคัง เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่? เจ้านายข้าได้ยืนยันเจตนารมณ์ของเขาแล้ว เจ้าควรรีบไปตอนที่เจ้ายังไปได้เสีย! หาไม่แล้ว เรืองที่ห้ามมีการสังหารทูตระหว่างการรบพุ่งของอาณาจักร ข้าจะเป็นคนแรกที่กระทำ ข้าจะสับเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้สุนัขกินเสีย! "
ฉีคังยังตกตะลึงไม่หาย ฝีปากของมันนั้นเกลี้ยกล่อมผู้คนมามากมายจนมั่นใจไม่น้อย แต่ต่อหน้าคนพวกนี้มันอะไรกัน มันทำราวกับเขาเป็นแค่ตัวตลก?
ตระกูลเจี้ยงบ้าไปแล้วหรือไร? พวกมันคิดว่าอาศัยความแข็งแกร่งเล็ก ๆ น้อย ๆ จะต้านทานกองทัพของอาณาจักรจันทราทมิฬได้งั้นหรือ?
"นายน้อยเจี้ยง ... ท่านคิดดีแล้วหรือที่จะทำเช่นนี้?" ฉีคังยังกล่าวถามออกมาราวกับไม่ยอมรับความจริง
"ไสหัวออกไป!"
เจี้ยงเฉินคำรามออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะสะบัดมือส่งพลังปราณแท้จริง พุ่งไปราวกับเส้นแสงอัสนีปะทะหน้าอกของฉีคัง ผลักมันลอยกระเด็นออกไปนอกประตู
ในขณะที่มันรวบรวมลมปราณเพื่อจะต่อต้านกลับไป เท้าของมันก็สัมผัสกับพื้นดินและพบว่าตัวเองยืนอยู่อย่างมั่นคงแล้ว
"ส่งพลังปราณแท้จริงออกไปผลักยกสิ่งของราวกับไร้น้ำหนัก! เป็นไปมิได้! ... เขามีระดับบ่มเพาะอยูที่ลมปราณแท้จริงขั้นที่ 11 แล้ว? " ก่อนหน้านี้ฉีคังยังคงมีความหยิ่งอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มันเหลือแต่ความหวาดกลัว เหงื่อกาฬของมันหลั่งออกมา
มันกล้าทำตัวไม่สุภาพต่อตัวตนเช่นนั้นได้อย่างไร?
ความแข็งแกร่งของเจี้ยงเฉินนั้นเหนือล้ำจินตนาการเขาไปไกลโข ผู้เยาว์อายุเพียงเท่านี้กลับอยู่บนจุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับปราณแท้จริงแล้ว!
หน้าผากของฉีคังตอนนี้เริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อออกมาอย่างไม่ขาดสาย ยามนี้มันหาได้กล้าเอ่ยวาจาไร้สาระอันใดอีกไม่ มันรีบกำมือแน่นอย่างขื่นขมก่อนที่จะรีบไป เจี้ยงเฉินอาจจะปล่อยมันไป แต่ทว่าลูกน้องของเจี้ยงเฉินอาจจะไม่พอใจและไม่คิดปล่อยให้มันกลับไปทั้งที่ยังมีชีวิต
ข่าวการรุกรานของอาณาจักรจันทราทมิฬจากโหย่วขุยนั้น แน่ชัดแล้วว่าเป็นความจริง
"ท่านอาจารย์ พวกเราจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดี?" เฉียวไป่ชี่ร้อนรนอย่างมาก ใบหน้าของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลห่วงใยมาตุภูมิ และมันเองก็เข้าใจดีว่าตอนนี้อาณาจักรตะวันออกนั้นอ่อนแอถึงเพียงใด เอาแค่ขุนนางทั้ง 108 คน ที่สามารถสู้รบได้กลับมีไม่ถึงครึ่ง
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นเกรงว่าจะแตกตื่นจนไม่สามารถทำอะไรได้ พวกมันคงทำประโยชน์อันใดไม่ได้เลย
ส่วนสำหรับตระกูลที่แข็งแกร่งนั้นตอนนี้แทบจะจบสิ้นไปทั้งหมด เพราะความวุ่นวายที่ตระกูลหลงก่อ อำนาจของราชาองค์ปัจจุบันนั้นเรียกได้ว่าถดถอยอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังเป็นอำนาจที่ไม่เหลือผู้เข้มแข็งสนับสนุนแล้วอีกด้วย สิ่งที่เขากระทำได้ย่อมมีจำกัด
หากมองอย่างละเอียดแล้ว อาณาจักรตะวันออกไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ทัพหน้าของอาณาจักรจันทราทมิฬด้วยซ้ำ!
"เราจะทำอย่างไรได้เล่า? น้ำมาก็ก่อทำนบกั้น ทัพมาก็ตั้งทัพสู้ จะคิดอันใดให้มากมาย "เจี้ยงเฉินหาได้หวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว สงครามระหว่างอาณาจักรสำหรับเขาแล้วหาได้สร้างแรงกดดันอะไรแม้แต่นิด
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งจากนิกายตะวันม่วง เขายังปะทะหักหาญอย่างไม่หวาดหวั่นซ้ำยังสังหารพวกมันได้บ้าง แล้วอาณาจักรจันทราทมิฬนับเป็นตัวอะไร เหตุใดเขาถึงต้องกลัว?
"ไป่ชี่ เจ้าพาซ่งเทียนสิงแล้วก็คนของหอโอสถกลับเมืองหลวงไปให้เร็วที่สุด ถึงแม้ข้าไม่ได้อยากข้องเกี่ยวอะไรกับราชวงศ์อีก แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของอาณาจักร จะอย่างไรก็ต้องรีบแจ้งข่าวให้พวกมันรับรู้ไว้บ้าง"
เจี้ยงเฉินช่วยไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา หลังกล่าวจบ ตอนนี้อาณาจักรตะวันออกยังอยู่ในช่วงสับสนไร้ทิศทาง เหตุเพราะการก่อกบฏของตระกูลหลงมันสร้างความเสียหายไว้มากมายเหลือเกิน สายข่าวและหน่วยต่าง ๆ ของราชวงศ์ตอนนี้ล่มสลายลงแทบทั้งหมด
เอากันตามตรงแล้วก่อนหน้านี้หาได้มีอาณาจักรจันทราทมิฬเพียงอย่างเดียวที่มีสายลับและคอยรายงานสถานการณ์ของอาณาจักรตะวันออก ทางด้านอาณาจักรตะวันออกเองก็มีด้วยเช่นกัน
แต่ทว่าตอนนี้กองทัพของอาณาจักรตะวันออกล้มตายไปมากมายจนแทบจะหมดสิ้น หลายคนก็ถูกประหาร แม้ว่าอาณาจักรตะวันออกจะยังคงหลงเหลือเครือข่ายข่าวสาร แต่ทว่ามันก็แทบจะล่มสลายแล้ว เพราะการประสานงานทั้งหมดยามนี้พังทลายลงไม่มีชิ้นดี
เมื่อไร้สิ้นเครือข่ายข่าวสาร พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับแมลงวันที่ถูกปิดตาได้แต่บินไปมาไม่รู้หนทาง
การจะดำเนินการสร้างเครือข่ายข่าวสารอีกครั้งเกรงว่าระยะเวลา 3-5 ปี ยังไม่เพียงพอ
หากไม่ใช่นี่เป็นเพราะเจี้ยงเฉินได้รับข้อมูลโดยบังเอิญ เกรงว่าต่อให้ทัพของอาณาจักรจันทราทมิฬจ่อประตูเมืองแล้ว ราชวงศ์ก็ยังคงไม่รู้เรื่อง
ยามที่สิ้นหวังเช่นนี้ ก็ได้แต่ดำเนินการตามยถากรรม
เจี้ยงเฉินส่งสองนกหงส์ทองและฝูงนกหงส์เงินจำนวนหนึ่งนำเฉียวไป่ชี่กับซ่งเทียนสิงและคนของหอโอสถทั้งหมดตรงกลับเมืองหลวงด้วยความรวดเร็ว
ความเร็วของเหล่านกหงส์นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก อีกทั้งหากได้ผู้ควบคุมที่มีความสามารถ เพียงแค่ครึ่งวัน ระยะทางนับพันลี้กลับสลายหายไป นกหงส์สามารถมาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาตอนเย็น
ซ่งเทียนสิงและเฉียวปี่ชี่เกิดและโตในอาณาจักรตะวันออก ยามนี้ด้วยความเป็นห่วงมาตุภูมิพวกมันจึงร้อนรนอย่างถึงที่สุด
พวกมันไม่ลังเลที่จะตรงไปหาองค์หญิงโจวหยู่
หากจะกล่าวกันตามความถูกต้องพวกมันควรที่จะตรงไปหาองค์ราชาอย่างตงฟางหลิน แต่ตงฟางหลินนั้นยังเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น กล่าวให้ชัดคือมันเป็นเพียงราชาหุ่นเชิด
ผู้ที่ควบคุมและถืออำนาจราชาที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังคือ องค์หญิงโจวหยู่
ถ้าหากซ่งเทียนสิงมาเพียงคนเดียวมันคงหมดหวังที่จะได้เข้าพบองค์หญิงโจวหยู่ แต่นี่มันมากับเฉียวไป่ชี่ ซึ่งเจ้านายของเฉียวไป่ชี่รวมทั้งตัวเฉียวไป่ชี่เองนับว่ามีความสัมพันธ์ไม่น้อยกับองค์หญิงโจวหยู่
นางรีบแต่งตัวให้เหมาะสม และเรียกพวกมันทั้งสองให้เข้าพบ
"พวกข้าขอทำความเคารพองค์หญิง" ซ่งเทียนสิงและเฉียวไป่ชี่กล่าวทำความเคารพออกมา
“เหตุใดพวกท่านทั้งสองจึงมาด้วยกันได้เล่า? อีกทั้งพวกท่านยังดูท่าทางเร่งรีบไม่น้อย”
ซ่งเทียนสิงมองไปยังเฉียวไป่ชี่เป็นเชิงให้มันกล่าววาจา
เฉียวไป่ชี่ไม่คิดอิดออดอะไร มันรีบก้าวมาแล้วกล่าววาจาทันที "องค์หญิง เมื่อราว ๆ เที่ยงวันนี้พวกเราได้รับข่าวที่น่าตื่นตระหนก ยามนี้อาณาจักรจันทราทมิฬกำลังเคลื่อนทัพมาจู่โจมอาณาจักรตะวันออกเรา พวกมันจะมาถึงภายในเวลา 10 วัน"
"อะไรนะ?" สีหน้าขององค์หญิงโจวหยู่พลันแปรเปลี่ยนด้วยความรวดเร็ว ก่อนหน้านี้นางเองก็มีความกังวลและหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย
ก่อนหน้านี้นางยังคงปลอบใจตัวเองมาตลอดเวลาว่า อาณาจักรจันทราทมิฬคงไม่คิดที่จะเคลื่อนทัพ อาณาจักรทมิฬคงไม่รู้เรื่องภายใน อาณาจักรทมิฬคงไม่รุกรานมาในเวลาอันใกล้นี้...
อย่างไรก็ตามการปลอบใจนั้นก็เป็นแค่เพียงการปลอบใจลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริง
อาณาจักรจันทราทมิฬไม่เพียงเคลื่อนไหว แต่ทว่าพวกมันกลับลงมือได้รวดเร็วกว่าที่นางคาดการณ์ไปไกลโข
"ข่าวนี้ท่านแน่ใจหรือ?" องค์หญิงโจวหยู่ตื่นตระหนกเพียงเล็กน้อย แต่นางสามารถควบคุมอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วอันเป็นลักษณะของผู้ที่ควบคุมอำนาจทั้งหมด
"หาต้องสงสัยอันใดไม่" เฉียวไป่ชี่กล่าวออกมา "ทูตจากอาณาจักรทมิฬเดินทางมาถึงดินแดนเจี้ยงหานและเข้าพบนายน้อยเจี้ยงเฉินด้วยตัวเองเมื่อยามเที่ยง มันสัญญาว่าจะมอบอำนาจของขุนนางอันดับที่ 1 ของอาณาจักรให้แก่ตระกูลเจี้ยง รวมทั้งสตรีเลอโฉมรวมทั้งความมั่งคั่งนับไม่ถ้วน ขอเพียงตระกูลเจี้ยงเข้าร่วมกับพวกมัน"
องค์หญิงโจวหยู่เองก็อดกระวนกระวายใจออกมาไม่ได้ เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ นางรู้ดีว่าบุคลิกอย่างเจี้ยงเฉินคงหาได้หลงใหลในลาภยศหรืออิสตรี แต่นางยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาว่า "แล้วเจี้ยงเฉินเห็นด้วยหรือไม่?"
"นายน้อยข้านั้นไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เขาไล่ตะเพิดทูตนั้นไปอย่างมีโทสะ อีกทั้งข้ายังขมขู่มันไปอีกไม่น้อย" เฉียวไปชี่กล่าวตอบคำในทันใด
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ยามที่ซ่งเทียนสิงได้ยินคำจากปากของเฉียวไป่ชี่ที่ว่า "นายน้อยข้า" เขาพลันรู้สึกสูญเสียขึ้นมา...
องค์หญิงโจวหยู่ค่อนข้างเชื่อมั่นว่าเจี้ยงเฉินต้องกล่าวออกมาเช่นนี้และนางก็คิดไม่ผิด นางหันไปมองเฉียวไป่ชี่ด้วยสายตาซับซ้อนก่อนที่จะกล่าวว่า "เอาล่ะ ข้าทราบเรื่องแล้ว ข้าจะรีบไปหาเจี้ยงเฉิน"
"ตกลง!" เฉียวไป่ชี่พยักหน้า
"รอข้าครู่หนึ่ง ข้าจะพารั่วเอ๋อร์ไปด้วย" ราวกับว่านางขาดความมั่นใจไปอยู่บ้าง จึงคิดพาตงฟางชี่หรัวไปด้วย
สำหรับในใจขององค์หญิงโจวหยู่ ตงฟางชี่หรัวนับว่าเป็นไพ่ลับใบสำคัญที่สามารถนำมาใช้งานเพื่อใช้ในการต่อรองกับเจี้ยงเฉิน?
ตอนแรกเมื่อองค์หญิงโจวหยู่ได้รับฟังข่าวการบุกรุกของอาณาจักรจันทราทมิฬนั้นนางกังวลอย่างมาก แต่ทว่าหลังจากผ่านไประยะหนึ่งความกังวลที่เคยสุมอยู่ในอกของนางกลับสลายหายไปราวกับเมฆหมอกระเหย
เหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกนางบอกว่าอาณาจักรจันทราทมิฬจะไม่มีวันบุกรุกอาณาจักรแห่งนี้ได้สำเร็จ
ส่วนเรื่องจิตใต้สำนึกและความเชื่อมั่นนี้ นางสามารถยอมรับได้อย่างไม่อายปากว่า ล้วนเป็นเพราะเจี้ยงเฉิน
ผลลัพธ์จากการสู้รบและสยบสงครามที่ผาบรรจบในวันนั้น นับว่ามันตราตรึงในส่วนลึกของจิตใจนาง ต่อให้เวลาจะผ่านไปอีกสักเท่าไรหรือจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีกถึงเพียงไหน ภาพที่เจี้ยงเฉินบุกตะลุยลงไปเพียงผู้เดียวพร้อมควบคุมกองทัพวิหคนับล้าน มันสลักลึกลงไปในจิตวิญญาณนางจนยากที่จะลบเลือน
ความแข็งแกร่ง,ความลึกลับ และความกล้าหาญของเจี้ยงเฉิน ได้ถูกแสดงออกมาอย่างเด่นชัดในสงครามนั้น
ชายหนุ่มคนนี้นับว่าเป็นบุรุษที่สมบูรณ์แบบในสายตาขององค์หญิงโจวหยู่ มันเป็นคนเดียวที่สามารถพิชิตและสลายจิตใจที่เด็ดเดี่ยวทระนงของนางลงได้
ตงฟางชี่หรัวที่เข้านอนไปแล้ว ความง่วงเหงาหาวนอนของนางพลันสลายหายไปในพริบตากลับมามีแววตากระจ่างใส พร้อมทั้งมีความตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบหน้าเจี้ยงเฉิน จนนางเป็นฝ่ายเร่งรัดให้รีบออกเดินทางโดยเร็วไว
เพราะเรื่องนี้สำคัญมากเฉียวไป่ชี่จึงไม่ลังเล มันนำพาองหญิงทั้งสอง พร้อมทั้งองค์รักษ์ส่วนหนึ่งขึ้นนกหงส์ก่อนที่จะมุ่งหน้าลงใต้ไปยังเจี้ยงหานโดยทันที
พวกเขาบินฝ่าความหนาวเหน็บยามราตรีจนสิ้นคืน มาถึงเมืองมณฑลเจี้ยงหานยามเช้าตรู่
เมื่อนางเห็นเจี้ยงเฉินอีกครั้ง ใบหน้าสดใสขององค์หญิงโจวหยู่พลันฉายแววซับซ้อนบ่งบอกอารมณ์ยากคาดเดาออกมา อีกทั้งนางยังเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความเด็ดเดี่ยวบางอย่างฉายชัดไว้บนใบหน้าของมัน
ใบหน้านี้หาได้เปลี่ยนไปและนางเองก็คุ้นเคยอย่างมาก
แต่ในความรู้สึกนางพลันสัมผัสได้ว่าระยะทางระหว่างมันและนางกลับกลายเป็นห่างไกลออกไป...
แม้นางจะเป็นถึงองค์หญิง แต่ก็มีบางมุมที่นางมีอารมณ์ซับซ้อนและยากจะอธิบายถึงความรู้สึกนาง มันเป็นความรู้สึกซับซ้อนที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ อีกทั้งองค์หญิงอย่างนางจะไปปรึกษากับใคร...
"เจี้ยงเฉินเจ้าตัดผ่านไปยังระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 แล้วหรือ?" และเมื่อองค์หญิงโจวหยู่สังเกตถึงระดับบ่มเพาะของเจี้ยนเฉิน นางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงพรึงเพริด หากนางไม่เห็นมันด้วยตา นางย่อมคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาแน่ ๆ
ครึ่งปีที่แล้วเขายังเป็นเพียงชายหนุ่มที่ดูแล้วไม่น่าจะผ่านการทดสอบมังกรซ่อนด้วยซ้ำ!
เหตุใดคนเราถึงเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้โดยอาศัยเวลาแค่ครึ่งปี?
องค์หญิงโจวหยู่ไม่สามารถเข้าใจได้จริง ๆ และนางก็ไม่คิดว่าจะสามารถเข้าใจได้
เจี้ยงเฉินพยักหน้าเบา ๆ "เรื่องเล็กเพียงเท่านี้อย่าได้กล่าวถึงเลย จริงสิ โจวหยู่ ข้าได้ยินว่าตระกูลท่านมีบรรพบุรุษที่เก็บตัวอยู่ไม่ใช่รึ? ยามเกิดกบฎล้มล้างตระกูลเขายังไม่ปรากฏกายขึ้นมา หรือเขาไม่คิดจะออกมาแม้กระทั่งแผ่นดินนี้ถูกผลัดเปลี่ยน? "
องค์หญิงโจวหยู่ได้แต่ยิ้มรับอย่างขมขื่น "บรรพบุรุษอยู่ในช่วงปิดด่านบ่มเพาะอย่างสันโดษ แต่ข้าคิดว่าท่านควรออกมาในอีกไม่นานนี้? "
แม้แต่นางเองก็ไม่มั่นใจว่าบรรพบุรุษจะออกมาเมื่อไหร่ ถึงแม้ตระกูลตงฟางจะมีบรรพบุรุษ แต่อาณาจักรจันทราทมิฬเองก็มีตัวตนเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
อีกทั้งยังมีคนกล่าวว่าบรรพบุรุษของอาณาจักรจันทราทมิฬนั้นเป็นผู้อาวุโสที่มีอายุนับพัน ๆ ปีแล้ว ทั้งอายุขัยและระดับบ่มเพาะของมันล้วนเหนือกว่าบรรพบุรุษของอาณาจักรตะวันออก
เจี้ยงเฉินเพียงยิ้มรับแต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
"จริงสิ แม่นางน้อยรั่วเอ๋อร์ก็มาด้วยงั้นหรือ?"
"ถูกแล้ว แต่เมื่อคืนพวกเรารีบเร่งเดินทางมานางจึงแทบมิได้พักผ่อน ยามนี้นางน่าจะนอนหลับอยู่ เป็นไร เจ้าคิดถึงนางหรือ? " น้ำเสียงขององค์หญิงโจวหยู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
"คิดถึงนาง?" เจี้ยงเฉินหัวเราะออกมาก่อนที่จะกล่าวต่อไป "ท่านเองก็กระทำการครั้งนี้โดยคิดมาถี่ถ้วนแล้วไม่ใช่หรือ หรือท่านจะบอกว่าที่ท่านมาหาข้าที่นี่พร้อมกันทั้งสองคน ท่านไม่ได้คิดกระทำตามสัญญา? "
ใบหน้าทรงเสน่ห์ขององค์หญิงโจวหยู่พลันแดงขึ้น แน่นอนนางย่อมรู้ว่าเจี้ยงเฉินพูดถึงอะไร นางเคยสัญญาไว้แล้วหากในการแข่งขันมังกรซ่อนครั้งนั้น เขาสามารถเอาชนะตระกูลหลงได้ เขาอาจจะเลือกนางหรือรั่วเอ๋อ หรือไม่ก็สามารถร่วมเตียงกับพวกนางพร้อม ๆ กันทั้งสองคน
แม้แต่องค์หญิงโจวหยู่เองก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นางกล่าวออกไปเช่นนั้น ภายในใจของนางนั้นล้วนอายอย่างมาก รวมทั้งยังมีความกลัวผสมปนเปกันไป แต่ทว่านางก็มีความรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่เลวร้ายเท่าไร...
แต่อย่างไรก็ตามเจี้ยงเฉินกลับเอาเรื่องลามกเช่นนี้มากล่าวต่อหน้าของนาง นั่นย่อมทำให้นางรู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย แต่มันก็เป็นความโกรธที่ผสมไปด้วยความเขินอายจนแก้มทั้งสองข้างของนางแดงระเรื่อ...
"เจี้ยงเฉิน ...เจ้า ... เจ้า ...เจ้า ... " องค์หญิงโจวหยู่หวังว่าเมื่อมาที่นี่เขาจะกล่าวให้กำลังใจหรือรับรองความปลอดภัยอะไรสักอย่าง แต่เขากลับกล่าวเรื่องนี้ออกมา แต่จะอย่างไรก็ตางนางเขินอายจนไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้
"ดูท่าทางท่านไม่เต็มใจที่จะทำอะไรเช่นนั้นกับข้า? เช่นนั้นเอาเป็นว่าท่านอย่าใส่ใจคำกล่าวเมื่อครู่เลย" เจี้ยงเฉินกล่าวตัดพ้อด้วยใบหน้าที่สลดลงเล็กน้อย
"ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้น เอ่อ เจี้ยงเฉิน ... "องค์หญิงโจวหยู่ที่เห็นท่าทางของมันพลันรีบเร่งอธิบายออกมาทั้งใบหน้าที่แดงก่ำไม่สามารถสบตากับผู้ฟังได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งเสียงของนางที่กล่าวออกมาต่อยังเบาเสียจนนางเองก็แทบจะไม่ได้ยิน "เจี้ยงเฉินท่าน ท่านไม่เข้าใจข้า หากท่านต้องการเช่นนั้นจริง ๆ ... ท่าน..สามารถ...กระทำได้"
สตรีที่เคยแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวทระนงคนหนึ่ง กลับพยายามกล่าวคำออกมาหลังจากที่รวบรวมความกล้าอยู่นาน "ข้ารู้ว่าท่าน ... ท่านอาจไม่คิดอันใดกับข้ามาก แต่นอกเหนือจากท่าน ข้าโจวหยู่..จะไม่เหลือบแลผู้อื่นอีกตลอดชีวิต "