หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 119 การเจรจาข้อตกลง

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

"หนิงวู่หยู ตัวข้านั้นเคยได้ยินเฉียวไป่ชี่กล่าวถึงเจ้ามาไม่น้อย ข้ารู้ว่าเจ้านั้นเป็นคนจริงใจและตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์อย่างยิ่ง เสียดายที่หอโอสถกลับมีบุคคลประเภทเดียวกับเจ้าน้อยนัก "

เจี้ยงเฉินพยักหน้ารับคำทักทาย ก่อนที่จะกล่าวคำออกมาเพื่อยกย่องหนิงวู่หยูเล็กน้อย

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้หนิงวู่หยูที่รู้สึกกดดันก็ผ่อนคลายลงมา ดูเหมือนทัศนคติของขุนนางน้อยที่มีต่อเขาจะไม่เลวร้ายอะไร

"เอาล่ะในเมื่อที่นี่ไม่มีบุคคลอื่น เช่นนั้นข้าจะขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน ไป่ชี่ได้ออกจากหอโอสถและเลือกที่จะติดตามข้าต่อไปในอนาคต เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับไปดูแลหอโอสถ แต่ทว่าอนาคตของหอโอสถก็ยังคงเป็นเรื่องน่ากังวลและยังต้องการผู้มีความสามารถนำพา ข้าได้สนทนากับไป่ชี่มาบ้างแล้ว และข้าก็รับรู้ว่าตัวเจ้านั้นหามีความสามารถด้อยกว่าอาวุโสลำดับที่ 4 หวังลี่ไม่ เช่นนั้นพวกเราจึงตัดสินใจที่จะเสนอข้อต่อรองในการให้ความร่วมมือกับหอโอสถโดยมีเงื่อนไขว่า เรื่องราวการค้ากับทางหอโอสถนั้นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมโดยเจ้า เอาล่ะ เรื่องรายละเอียดเดี๋ยวเจ้าสนทนากับไป่ชี่ต่อเองแล้วกัน"

"ข้า?" หนิงวู่หยูตกใจจนต้องรีบกล่าวออกมา "ข้าเพียงมาหาที่พักกับพี่ไป่ชี่ ข้าหาได้อยากรบกวนท่านเรื่องพวกนี้ไม่ ... "

"พวกเราย่อมรู้เรื่องนี้" เจี้ยงเฉินหัวเราะเบา ๆ "นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงเลือกเจ้า หากเจ้าจะมาเพียงเพราะหวังพึ่งความสัมพันธ์ พวกเราคงหาได้คิดสนับสนุนเจ้าไม่ แต่พวกเราเห็นแล้วว่าเจ้ามิได้เป็นคนเช่นนั้น...เอาล่ะ หากเป็นเจ้าคงสามารถดูแลการค้าที่หอโอสถได้อย่างเหมาะสม เพื่ออนาคตของหอโอสถ คงจะดีกว่าหากเป็นเจ้าเองที่ทำงานภายใต้ความร่วมมือกับไป่ชี่ "

เฉียวไป่ชี่กล่าวส่งเสริมออกมาทันที "วู่หยู พวกเราก็เป็นสหายที่สนิทสนมกันไม่น้อย ข้านั้นค่อนข้างสบายใจและไม่สงสัยอันใดในความสามารถของเจ้า อีกทั้งข้ายังรู้ด้วยว่าเจ้าคงต้องผิดใจกับผู้อื่นในหอโอสถมากมายก่อนที่จะจากมา และนั่นคงทำให้เจ้ารู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่จะเดินทางกลับไป แต่เจ้าสบายใจได้ พวกข้าจะยึดเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก! ในเมื่อทางหอโอสถเองก็กำลังหาผู้ดูแลหอแทนที่ข้า คนที่คู่ควรนั้นพวกเราย่อมให้ความร่วมมือ แต่หากผู้ใดที่มันไม่คู่ควรแน่นอนว่าย่อมไม่มีสิทธิ์มาขอความช่วยเหลือหรือเจรจาอันใดกับเรา ทั้งนี้ข้าและนายน้อยก็เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า ผู้ดูแลหอโอสถที่ควรจะทำการตกลงด้วยเป็นเจ้า หากมิใช่เจ้า พวกเราก็คร้านจะใส่ใจหรือร่วมงานอันใดกับหอโอสถ "

"หากพวกมันตกลงรับข้อเสนอนี้ พวกข้าจะเริ่มหาผู้สนับสนุนเจ้าเพื่อส่งเสริมให้เจ้าได้เป็นผู้นำหอโอสถในภายหลัง เจ้ากับข้าเองก็ทุ่มเทและพยายามเพื่อหอโอสถมาไม่ได้น้อยไปกว่าพวกเขาแม้แต่เพียงนิด  วู่หยู เจ้าจะยินยอมรับภาระหน้าที่ในการดูแลหอโอสถนี้แทนข้าได้หรือไม่? "

หนิงวู่หยูไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้ หากจะให้กล่าวด้วยความสัตย์จริง ข้อเสนอนี้นับว่าเย้ายวนเขาไม่น้อย

หลังจากที่ไป่ชี่กล่าวจบแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวที่เขาต้องเป็นคนตัดสินใจ ตัวเขาเองก็ผูกพันกับหอโอสถไม่น้อย ในเมื่อตำแหน่งผู้นำหอโอสถนั้นยังไม่แน่นอน ถ้าหากกำจัดพวกที่คอยบ่อนทำลายและไร้สมองให้หมดไปจากหอโอสถ เขาก็สามารถเข้าไปเป็นผู้ดูแลก่อนที่จะขึ้นเป็นผู้นำหอโอสถได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ...นี่นับว่าเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนใจไม่น้อย

"พี่ไป่ชี่ ข้า ... "

“เอาล่ะอย่าได้กล่าวอันใดให้มากความ ข้ารู้ดีว่าตัวเจ้านั้นมีความสามารถมากพอ แค่ตอบข้ามาว่าเจ้ายินดีรับภาระครั้งนี้หรือไม่” เฉี่ยวไป่ชี่กล่าวยืนกรานออกมา

อารมณ์อบอุ่นและฮึกเหิมบางอย่างแผ่ซ่านออกมาเต็มหัวใจของหนิงวู่หยู ทำให้เขาพยักหน้าตอบรับออกมาโดยพลัน  "ในเมื่อพี่ไป่ชี่และขุนนางน้อยเชื่อมั่นในตัวข้าถึงเพียงนี้  เช่นนั้นข้า หนิงวู่หยู ได้แต่พยายามให้เต็มที่ด้วยความสามารถอันน้อยนิดนี่แล้ว  หอโอสถเองก็เป็นสถานที่ ๆ ข้าเติบโตขึ้นมา ข้ายอมรับว่ามีความผูกพันกับมันไม่น้อย ข้าเองก็ไม่อาจทนเห็นหอโอสถถูกพวกไร้สมองโง่เขลาเช่นนั้นทำลายลงไปต่อหน้าต่อตา"

หนิงวู่หยูนั้นเต็มไปด้วยความแค้นใจและไม่พอใจอย่างถึงที่สุดเมื่อคิดถึง หวังลี่,สิงชี่หลาน และคนอื่น ๆ

...

ภายในโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองระลอกคลื่น...คนของหอโอสถที่เช่าที่พักขนาดใหญ่กำลังนั่งประชุมกันอยู่ในลานกว้างของที่พัก

ตอนนี้เหล่าผู้ดูแลเกือบทั้งหมดจากหอโอสถล้วนมารวมตัวกันอยู่ ณ ดินแดนเจี้ยงหานแห่งนี้...

พวกเขาพักกันในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ถึง 5 วันเต็มแล้ว ในช่วง 5 วันที่ผ่านมาพวกเขาได้รับทราบข่าวคราวเกี่ยวกับขุนนางน้อยเจี้ยงเฉินมาว่ากำลังปิดด่านฝึกตนอย่างสันโดษ ไม่ยินยอมให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน

แต่ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร พวกเขากลับไม่สามารถหาข่าวคราวของเฉียวไป่ชี่ได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับเฉียวไป่ชี่นั้นเจตนาหลบหน้าพวกเขา

เช้าวันนี้ผู้ดูแลหอโอสถทั้งหลายได้แต่นั่งจับเจ่าดื่มชากันด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย ตอนนี้บรรยากาศของพวกเขาราวกับมีเมฆหมอกแห่งความเศร้าปกคลุมอยู่ แต่ละคนมีท่าทางซึมกระทือราวกับคนหมดไฟในชีวิตอย่างไรอย่างนั้น..

ทันใดนั้นพลันมีเสียงฝีเท้าหนึ่งเร่งร้อนวิ่งเข้ามาในบริเวณลานกว้าง ก่อนที่ทั้งหมดจะพบว่าเป็นผู้อาวุโสระดับกลางคนหนึ่งที่พึ่งมาถึง

"ท่านผู้นำหอ ข่าวด่วน ข่าวด่วน! ข้าได้ยินมาว่า ยามนี้ขุนนางน้อยออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้วขอรับ"

"ว่ากระไร?" ซ่งเทียนสิงลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความดีใจ "แล้วเจ้าได้ส่งคำร้องขอเข้าพบของพวกเราหรือไม่"

"ข้ารับใช้ผู้นี้กระทำเรียบร้อยแล้วขอรับ ท่านผู้นำหอ แต่ทว่าทางครอบครัวของขุนนางน้อยเพียงรับคำร้องขอของทางเราไปเท่านั้น หาได้มีท่าทีอื่นใดอีก ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องรอกันต่อไปอีกสักระยะ"

ซ่งเทียงสิงกล่าวออกมา "เอาล่ะ ข้าเข้าใจ" ก่อนที่จะนั่งลงหลับตาครุ่นคิดถึงเรื่องราวมากมายในช่วงนี้

เขาได้ไปเยี่ยมเยือนทุกคนที่สมควรไป เขาได้พยายามปฏิบัติตนกับกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างดี จนในที่สุดเขาก็สามารถได้รับความช่วยเหลือจากขุนนางจินฉางและหูปิ่นได้ในที่สุด

แล้วผู้ใดอีกเล่าที่จะมีน้ำหนักมากกว่าขุนนางทั้งสองคนนี้อีก?

องค์หญิงโจวหยู่?

ซ่งเทียนสิงสำเหนียกตัวเองดีว่าไม่มีค่าพอที่จะให้องค์หญิงโจวหยู่เคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือ นอกจากนั้นองค์หญิงโจวหยู่ยังขึ้นชื่อในเรื่องการเข้าถึงยากอีกด้วย

กล่าวให้ชัดนั่นคือ พวกเขานั้นไร้ความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากนางโดยสิ้นเชิง

"เช่นนั้นเราก็รอกันไปก่อน เอาล่ะ หากมีข่าวอะไรอีกก็รีบมาแจ้งข้าทันที " ซ่งเทียนสิงโบกมือ

สิงชี่หลานอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว "เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงวางท่าเช่นนี้? ไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้ที่เขาหาได้มียศขุนนางแล้วด้วยซ้ำ ต่อให้เขายังเป็นขุนนาง เขาก็หาได้สมควรทำกิริยาหยิ่งยโสเช่นนี้กับพวกเรา "

แววตาของซ่งเทียนสิงพลันเรืองวูบขึ้นมาด้วยความดุร้าย "หุบปากสุนัขของเจ้าซะ! ที่ข้าอนุญาตให้เจ้าเสนอหน้ามาในครั้งนี้ ก็เพื่อให้เจ้าปรับความเข้าใจและกล่าวขอขมาต่อเฉียวไป่ชี่และขุนนางน้อยเจี้ยง หากเจ้ายังกล้ากล่าววาจาเหลวไหลไร้สาระเช่นนั้นอีก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเฉดหัวเจ้าออกจากหอโอสถเสียตอนนี้? "

"ข้า ... " ความอับอายและความอัปยศถูกฉายชัดอยู่บนใบหน้าของสิงชี่หลาน แต่จะอย่างไรนางก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับซ่งเทียนสิง

ทันใดนั้นเอง โหย่วขุยก็หัวเราะออกมาราวกับจะแก้ไขสถานการณ์  "ท่านผู้นำหออย่าได้มีโทสะ ท่านโปรดระงับอารมณ์ลงก่อนเถิด ยามนี้พวกเราต้องสมัครสมานสามัคคีกันเข้าไว้ "

"อาวุโสสิงชี่หลาน ท่านเองก็ควรปรับปรุงตัวท่านบ้าง โปรดพึงรำลึกเอาไว้ว่า ถึงแม้ท่านจะไม่พอใจหรือฝืนใจสักเพียงใด แต่ท่านก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำหอ ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย ท่านควรรู้ว่าอะไรควรอะไรมิควรได้แล้ว ตัวท่านเองก็เป็นถึงผู้อาวุโสคนหนึ่ง ถ่อมตนลงเสียบ้างเพื่อหอโอสถจะเป็นอันใดไป? "

อาวุโสสิงชี่หลานที่ยังฮึดฮัดและคิดเล็กคิดน้อยอยู่ เมื่อได้ฟังนางก็ได้แต่กล่าวตอบรับออกมาด้วยความจนใจ "ข้าเข้าใจแล้ว"

เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าของอาวุโสโหย่วขุย ผู้อาวุโสสิงชี่หลานกลับเชื่อฟังนัก ทั้งนี้เพราะตำแหน่งที่นางได้รับอยู่จนถึงทุกวันนี้เป็นเพราะได้รับการอุปถัมภ์จากอาวุโสโหย่วขุยทั้งสิ้น

นี่เพราะ.. ทุก ๆ วันเป็นเวลาตลอด 3 เดือน ที่นางไปปรนเปรออาวุโสโหย่วขุย นางได้ทุ่มเทความสามารถทั้งหมด ไม่ว่าจะลีลาหรือกระบวนท่าลับอันใดที่นางมี ล้วนถูกใช้ออกมาปรนนิบัติเขาบนเตียงจนหมดสิ้น อีกทั้งยังพยายามออดอ้อนเขาทุกวิถีทาง จนในที่สุดนางก็ได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสนี้มาครอง

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่อาวุโสสิงชี่หลานจะอ่อนลงต่อหน้าวาจาของผู้ดูแลหอลำดับที่ 2 โหย่วขุย

ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดยังคงดำเนินต่อไป แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นหลังประตู เจ้าของเสียงที่ไม่คุ้นเคยนั้นกล่าวว่า "สหายจากหอโอสถอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่? ข้ามาที่นี่ภายใต้คำสั่งของท่านเฉียวไป่ชี่ เพื่อแจ้งว่า ทางเราจะจัดงานเลี้ยงที่ศาลาพิรุณบุปผาในเขตพักผ่อนของตระกูลเจี้ยง งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเพื่อรับรองสหายเก่าทั้งหลาย หวังว่าพวกท่านจะไว้หน้า แล้วเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ "

"เฉียวไป่ชี่?" ซ่งเทียนสิงตอบสนองอย่างรวดเร็ว มันรีบพุ่งไปเปิดประตูทันที

อย่างไรก็ตามคนส่งสารกลับจากไปเสียแล้ว เหลือไว้เพียงเทียบเชิญที่ตั้งอยู่บนพื้นหน้าประตูเท่านั้น

ถึงแม้ว่าสำหรับซ่งเทียนสิงแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรกับการที่เขาได้พบสมบัติล้ำค่า แต่ทว่าในฐานะผู้นำหอโอสถ เขาเองก็ต้องสำรวมกิริยา ก่อนที่จะหยิบเทียบเชิญขึ้นมาอย่างช้า ๆ แล้วกล่าววาจาออกมา

"อืม..มิผิด นี่เป็นลายมือของเฉียวไป่ชี่จริง ๆ ฮ่าฮ่า ดูเหมือนมันยังมิลืมสหายเก่า เอาล่ะพวกเจ้าต้องเข้าร่วมงานนี้ทุกคน ห้ามมีผู้ใดอิดออดหรือปฏิเสธเป็นอันขาด "

หลังจากนั้นซ่งเทียนสิงก็ส่งเทียบเชิญให้แก่โหย่วขุย เมื่อโหย่วขุยอ่านคำเชิญรอบหนึ่ง มันก็ยื่นเทียบเชิญส่งให้กับผู้ดูแลหอลำดับที่ 4 หวังลี่เพื่ออ่านดู จากนั้นก็ส่งวนไปเรื่อยจนครบถึงแม้จะมีบางคนไม่อยากอ่านก็เถอะ

...

เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งเทียนสิงและคนอื่น ๆ ตื่นขึ้นมาชำระร้างร่างกายจนสะอาดหมดจดเตรียมพร้อมออกเดินทาง ก่อนที่จะออกเดินทาง ซ่งเทียนสิงกล่าวย้ำออกมาอีกครั้งว่า "พวกเจ้าทุกคนควรสำรวมการกระทำของพวกเจ้าให้ดี และนึกถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าเอาไว้ ถ้าวันนี้มีเหตุอันใดเกิดขึ้นเพราะทัศนคติแย่ ๆ ของพวกเจ้าแล้วล่ะก็รับรู้ไว้ซะ! ว่าพวกเจ้าจะกลายเป็นคนบาปของหอโอสถตลอดไป!"

อาวุโสสิงชี่หลานได้แต่รับคำซ่งเทียนสิงด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม คล้องหลังนางก็หันไปจ้องผู้ดูแลหอลำดับที่ 2 โหย่วขุยด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจ แต่ทว่าโหย่วขุยกลับเลือกที่จะมองทิวทัศน์รอบ ๆ โดยหาได้สนใจสายตาของนางไม่

หากจะกล่าวกันตรง ๆ แล้วล่ะก็ คงไม่มีทางที่ผู้ดูแลลำดับที่ 2 โหย่วขุย จะสนับสนุนความก้าวร้าวของอาวุโสสิงชี่หลานในครั้งนี้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเรื่องราววันนี้ ล้วนเกี่ยวพันกับความอยู่รอดของหอโอสถ

ศาลาพิรุณบุปผานั้นอยู่ในเขตที่พักที่มีไว้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจของตระกูลเจี้ยง มันร่มรื่นและมีทิวทัศน์ที่งดงามอย่างมาก

เมื่อคนของหอโอสถมาถึง พวกมันก็พบว่าเฉียวไป่ชี่และหนิงวู่หยูได้มารออยู่ก่อนแล้ว

หลังจากได้รับคำเชิญ ทุกคนก็ได้แต่นั่งลงโดยไม่สนใจบรรยากาศกระอักกระอ่วน

ซ่งเทียนสิงหันมองไปรอบ ๆ จนในที่สุดมันก็อดไม่ไหวต้องกล่าวถามออกมาว่า "ไป่ชี่ แล้วขุนนางน้อยอยู่ที่ใดกัน?"

"ขุนนางน้อยมีธุระเร่งด่วนที่ต้องไปกระทำในวันนี้ ข้าและสหายจึงถือโอกาสออกมาเป็นธุระต้อนรับสหายเก่าด้วยตัวเอง มีคำกล่าวที่ว่าสงครามอาจจะจบแต่สหายร่วมรบคงอยู่ตลอดไป...ถึงตัวข้าจะไม่ได้อยู่ที่หอโอสถแล้ว แต่จะอย่างไรข้าก็เติบโตมาและมีวันนี้ได้เพราะหอโอสถ"

หนิงวู่หยูยิ้มก่อนที่จะกล่าวออกมา "มา ๆ ท่านผู้นำหอ ให้ข้ารินสุราให้ท่าน"

หลังจากดื่มสุราไป 3 จอก เฉียวไป่ชี่และหนิงวู่หยูก็หันมองหน้ากัน และคิดว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วที่พวกมันจะเริ่มต้นกล่าวถึงเป้าหมายของงานเลี้ยงครั้งนี้ ...การเจรจาการค้ากับหอโอสถ

ซ่งเทียนสิงนั้นค่อนข้างกังวลอย่างมาก แต่ทว่ากลับเป็นโหย่วขุยที่กล่าวขึ้นมาก่อน "อ่า ไปชี่ พวกเราเสียใจจริง ๆ ที่เจ้าจากไปในวันนั้น วันนี้นอกจากพวกเราจะมาทำความเคารพขุนนางน้อยแล้วพวกเรา...ยังอยากจะมาที่นี่เพื่อขอขมาเจ้าด้วย "

"ขอขมาอันใดกัน" เฉียวไปชี่หัวเราะออกมาเบา ๆ "ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว หาได้มีค่าอันใดให้กล่าวถึงไม่ ตัวข้าอยู่ที่นี่ก็มีความสุขสบายดี พวกท่านมิจำเป็นต้องรู้สึกผิดอันใด"

วาจาที่โหย่วขุยลำบากใจที่จะกล่าวออกมากลับถูกละเลยโดยสิ้นเชิง ทำให้มันรู้สึกว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง

"อะแฮ่ม ... ไป่ชี่..อา นอกจากทำความเคารพแล้วพวกเราก็อยากจะกล่าวถึงเรื่องหุ้นส่วนแล้วก็ความร่วมมือ ... "

"หุ้นส่วน?" เฉียวไป่ชี่ค่อย ๆ วางจอกสุราลงบนโต๊ะ "ถ้าข้าจำไม่ผิด ขุนนางน้อยเจี้ยงได้ตกลงเป็นหุ้นส่วนกับข้าในตอนแรก แต่ยามนี้ข้าจากมาแล้ว พวกท่านจะพูดถึงเรื่องนี้อีกทำไมกัน? "

ราวกับโหย่วขุยถูกตบหน้าอีกฉาดซ้ำแผลเก่า มันได้แต่จิบสุราแก้ความกระอักกระอ่วนโดยไร้คำจะกล่าว ก่อนที่จะหันมองไปยังซ่งเทียนสิงด้วยสายตาจนปัญญา ราวกับจะบอกว่า ข้าไร้ความสามารถ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว

ซ่งเทียนสิงถอนหายใจออกมา "ไป่ชี่ ข้าต้องยอมรับว่าหอโอสถทำผิดต่อเจ้า วันนั้นเป็นพวกเราเองที่เป็นฝ่ายทำร้ายเจ้า แต่วันนี้พวกเรามาด้วยความจริงใจ ขุนนางน้อยคิดอย่างไรกับการเจรจาเป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้ หรือเขาต้องการอันใด เจ้าก็โปรดแจ้งมาเถิด? ไม่ว่าเรื่องราวใด ๆ ล้วนพูดคุยตกลงกันได้ แต่หากไม่คิดสนทนาเจรจากันแล้ว เจ้าก็กล่าวแจ้งมาตามตรง พวกเราจะกลับไปเตรียมใจรับจุดจบของหอโอสถโดยไม่คิดเรียกร้องอะไรอีก"

วาจานี้ของซ่งเทียนสิงนับว่าล้ำลึกนัก มันกลับอาศัยความรู้สึกอาลัยและห่วงใยในหอโอสถของเฉียวไป่ชี่  ดังนั้นมันเลยเลือกที่จะกล่าวออกมาถึงจุดจบของหอโอสถ เพื่อเป็นการจี้ปมในใจของเฉียวไป่ชี่ นี่นับว่าเป็นการชักจูงเฉียวไป่ชี่ให้หันมาช่วยเหลือมันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

อย่างไรก็ตาม เฉียวไป่ชี่และหนิงวู่หยูเองก็มีการเตรียมพร้อมรับมือกับวาจาเสียดแทงจุดอ่อนเช่นนี้กันมาบ้างแล้ว เพื่อไม่ให้พวกมันตกเป็นฝ่ายพลาดพลั้งในการเจรจาการค้าครั้งนี้

เฉียวไป่ชี่ยกจอกสุราขึ้นมา ก่อนที่จะดื่มลงไปอึกหนึ่ง "ผู้นำหอ สุราจอกนี้ข้าดื่มให้ท่าน เอาล่ะ เมื่อท่านกล่าวถึงเรื่องนี้ออกมา ข้าก็จำเป็นต้องกล่าวอะไรกับท่านสักเล็กน้อย ข้าสามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องรอขุนนางน้อยแต่อย่างใด แต่ว่าทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นผู้ใดในหอโอสถที่ร่วมงานด้วย"

"อะไร ... เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?" ซ่งเทียนสิงรู้สึกกระวนกระวายใจ

เฉียวไป่ชี่ยิ้มออกมาเบา ๆ ท่าทางของเขายังสงบนิ่ง อีกทั้งเขายังรินสุราให้ซ่งเทียนสิงอย่างใจเย็น

"วาจาของข้านั้นมิมีอะไรมาก ขุนนางน้อยสามารถเป็นหุ้นส่วนกับหอโอสถได้ แต่นั่นมันต้องขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดในหอโอสถที่เขาจะทำงานด้วย"

วาจานี้ของเฉียวไป่ชี่หากผู้รับฟังยังพอมีสมองอยู่บ้าง จะอย่างไรก็ต้องเขาใจถึงความนัยที่มันจงใจจะสื่อ

 

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.