spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนนี้มวลอารมณ์ทั้งมวลที่เกิดขึ้นหลังผ่านศึกครั้งใหญ่ที่ผาบรรจบได้สลายหายไปสิ้น
ห้วงอารมณ์ที่รู้สึกถึงความสำเร็จและความล้มเหลวในเวลาเดียวกันมันเป็นเช่นไร?
การใช้ชีวิตบนเส้นทางแห่งความเป็นตายของผู้ฝึกตนนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ หากผู้ใดคร่ำครวญกับความล้มเหลวแพ้พ่ายในช่วงหนึ่งของชีวิตแล้ว พวกมันจะเผชิญกับมรสุมมากมายในอนาคตได้อย่างไร? หากเป็นเพียงมรสุมหนึ่งแล้วก้าวข้ามผ่านมันไปไม่ได้ แล้วจะเติบโตได้อย่างไร?
การรู้แจ้งในวิถีแห่งเต๋าและเส้นทางของตนเองนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะปีศาจและคำถามในใจเหล่านี้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีคำกล่าวที่ว่า เต๋าแห่งการต่อสู้ครึ่งหนึ่งอยู่ที่การฝึกฝน ครึ่งหนึ่งอยู่ที่การยกระดับจิตวิญญาณ
การทำสมาธิเพื่อเข้าฌานจนเกิดปัญญารู้แจ้งจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจในหนทางของตนเอง ทั้งหยั่งรู้วิถีที่ตัวจะก้าวเดินต่อไปได้ถูก หาได้ต้องไปมัวเสียเวลากับสิ่งล่อลวงทั้งหลาย อีกทั้งการรู้แจ้งยังนำมาซึ่งความเข้าใจในเต๋าแห่งการต่อสู้ รวมถึงรูปแบบกระบวนท่าและวิชาต่าง ๆ
หลังจากที่เจี้ยงเฉินได้บรรลุในการไขปัญหา "ลมปราณแท้จริงขั้นที่ 12" แล้วนั้น องค์ความรู้ทุกอย่างในระดับปราณแท้จริงจึงถูกเขาซึมซับเอาไว้จนหมดสิ้น
อาจจะกล่าวได้ว่าตอนนี้เจี้ยงเฉินนั้นพร้อมแล้วที่จะเดินทางเข้าสู่เส้นทางการค้นหาเต๋าแห่งจิตวิญญาณ
ทว่าเจี้ยงเฉินหาได้รีบร้อนอะไรไม่ ตัวเขาที่มีองค์ความรู้มากมายจากชีวิตที่แล้วนั้นย่อมรู้ดีว่าการตัดผ่านไปยังระดับปราณจิตวิญญาณไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากอะไร ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การกำหนดขอบเขตและวิถีแห่งเต๋าที่เขาจะก้าวเดิน
หากจะให้เปรียบเต๋าแห่งการต่อสู้และร่างกายมนุษย์เป็นโลกแล้วล่ะก็ เต๋าแห่งจิตวิญญาณและพลังวิญญาณก็คือเมล็ดพันธุ์ที่จะเติบโตเป็นต้นกล้าอยู่ภายในร่างกายมนุษย์
ความสามารถในการต่อสู้ของคนเรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไร้จำกัด
จากทั้งหมดสามพันเส้นทางแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่ และความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่มากมายนับไม่ถ้วน สิ่งเหล่านี้หากจะกล่าวไป มันกลับต่างกันเพียงแค่องค์ประกอบเล็กน้อยเท่านั้น ...ทว่าคำ “เล็กน้อย” นี้มันอาจจะทำให้พลังอำนาจนั้นแตกต่างกันราวโลกและสวรรค์
โลหะ,ไม้,วารี,อัคคี,และ ธรณี นับว่าเป็นองค์ประกอบธาตุพื้นฐาน 5 ประการที่เป็นองค์ประกอบหลักของธาตุทั้งหมด
วายุ,อัสนี,แสงสว่าง,ความมืด เป็นองค์ประกอบธาตุที่เพิ่มขึ้นมา และอาจเรียกได้ว่าเป็นองค์ประกอบรองที่คอยหนุนเสริม
จึงสรุปได้ว่า องค์ประกอบธาตุทั้งหมดนั้น ล้วนมี 9 ธาตุ ที่สำคัญ
จำนวนองค์ประกอบธาตุที่ผู้ฝึกฝนเต๋าแห่งจิตวิญญาณสามารถนำไปหนุนเสริม และประทับสร้างไว้ในทะเลแห่งจิตวิญญาณของพวกมัน จะเป็นตัวกำหนดขอบเขตความกว้างไกลในวิถีแห่งเต๋าของพวกมัน
คนผู้หนึ่งจะก้าวเดินในเส้นทางเต๋าแห่งจิตวิญญาณไปได้ไกลถึงเพียงไหน ขึ้นอยู่กับขอบเขตและความกว้างไกลในวิถีแห่งเต๋าของพวกมัน
แล้วขอบเขตกว้างขวางเท่าไร อีกทั้งยังสามารถไปได้ไกลถึงเพียงไหน ที่เต๋าแห่งจิตวิญญาณสามารถไปถึงได้?
สำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไปในโลกนี้ก็จะตอบว่า ศักยภาพส่วนบุคคลหรือความสามารถเฉพาะตัวหลังจากที่ก้าวเข้ามาในอาณาจักรวิญญาณแล้วอย่างไรล่ะ
แต่ทว่าในความเป็นจริงนั้นกลับไม่ได้มีเพียงเท่านี้
สิ่งที่เป็นตัวกำหนดอนาคตเต๋าแห่งจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนว่าเขาจักท่องทะยานไปได้ไกลถึงเพียงไหน กลับเป็น “หนึ่ง” นั้นก่อนที่จะเยื้องย่างเข้ามาในอาณาจักรวิญญาณ
และยังเป็น "หนึ่ง" นั้นที่ทำให้ผู้ฝึกตนบนโลกนี้มีประสบปัญหา
และ “หนึ่ง” นั้นก็คือสะพานแห่งความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุด ที่เชื่อมระหว่างปราณแท้จริงระดับที่ 11 และอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ
เต๋าแห่งการต่อสู้ของบุคคลผู้หนึ่งจะถูกกำหนดโดย “พรสวรรค์ตามธรรมชาติ” ของบุคคลนั้น กอปรกับ “พรแสวง” ที่เขาทุ่มเทเรียนรู้และได้รับมาในภายหลัง
เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้ฝึกตนและคนบนโลกนี้ใส่ใจแต่ผู้ฝึกตนที่อาศัยเพียงพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด หาได้ใส่ใจ ผู้ฝึกตนที่มีพรแสวงที่ขยันเพิ่มเสริมเติมแต่งเข้าไปในภายหลังไม่
หลงยู่ซื่อนั้นมีความโดดเด่นจนดึงดูดนิกายตะวันม่วงได้เพราะสายเลือดฟินิกส์เหมันต์ของนาง
แต่ทว่าองค์หญิงโจวหยู่ที่มีหัวใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ในการฝึกฝนเต๋าแห่งการต่อสู้กลับไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากนิกายใดได้เลย ไม่ว่านางจะพยายามอย่างหนักถึงขนาดไหน
"สุดท้ายนิกายพวกนี้มันก็เท่านั้น พวกมันกลับดูแค่พรสวรรค์เริ่มแรกในการคัดเลือดบุคคลเข้าสู่นิกาย เฮ่อ เห็นได้ชัดว่าผู้คนบนโลกนี้นั้นล้วนไม่เข้าใจเต๋าแห่งการต่อสู้ที่แท้จริงเอาเสียเลย "
เจี้ยงเฉินถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ถึงแม้ว่าเต๋าแห่งการต่อสู้ของโลกนี้จะมีไม่น้อย และเส้นทางที่ยิ่งใหญ่เองก็มีให้มันเลือกก้าวเดินมากมาย ด้วยองค์ความรู้ของมันเองก็มีวิธีนับหมื่นพันที่จะก้าวเดินและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครในโลกนี้ แต่ทว่ามันล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น มันไม่อยากยึดติดและถูกผูกมัดไปกับกฎเกณฑ์ใด ๆ บนโลกแห่งนี้
เขา เจี้ยงเฉิน จะเดินไปในหนทางที่ไม่เคยมีผู้ใดเยื้องย่างเข้าไปก่อน เขาจะก้าวไปในเส้นทางที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งถึง เมื่อหนทางนั้นยังไม่เคยปรากฏ เขาจะสร้างถนนหรือเส้นทางสายใหม่ขึ้นมา
และเส้นทางนี้จะคงอยู่ตลอดไปไม่ว่าจะอีกกี่พันหมื่นแสนปี ผู้คนบนโลกนี้จะต้องรำลึกถึงและเลือกที่จะก้าวเดินตามเส้นทางของมัน เขาจะทำให้เส้นทางของเขาเป็นเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้คนล้วนอยากก้าวเดิน เส้นทางแห่งความเป็นอมตะนิรันดร์!
หลังจากที่เจี้ยงเฉินออกจากการเก็บตัว เขาก็เดินออกนอกห้องมารับแสงแดดก่อนที่จะยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา อีกทั้งท่าทางของเขาก็กระปรี้กระเปร่าสดชื่นไม่น้อย
"เฉินเอ๋อร์ เจ้าออกจากการฝึกตนแล้วหรือ?"
"ท่านพ่อ วันเวลาที่สงบสุขไร้กังวลเช่นนี้ เป็นอย่างไรบ้างเล่า?" เจียงเฉินหัวเราะเบาๆ
"ข้าเองกลับชอบมันอย่างมาก น่าเสียดายที่จะอย่างไรเรื่องราวที่ไม่ต้องการก็กลับมาวนเวียนอยู่กับข้าไม่รู้จักจบสิ้น ขุนนางจินฉางและหูปิ่งเพิ่งมาเยี่ยมข้าเมื่อสองวันก่อน พวกเขาทั้งสองเป็นสหายเก่าแก่ของข้า ช่วงนี้ข้าก็ติดตามเข้าเมืองไปนู่นมานี่กับพวกมันนั่นล่ะ "
"โอ้ พวกเขาอยู่ที่นี่เช่นนั้นรึ? สถานการณ์ในราชอาณาจักรเพิ่งสงบลง ในฐานะที่เป็นขุนนางใหม่ เหตุใดพวกมันไม่อยู่ช่วยดูแลอาณาจักรเล่า ใยจึงมาที่นี่กัน "
เจี้ยงเฟิงหัวเราะออกมา "ที่พวกเขามานี่ เจ้าคิดว่ามันจะพ้นเรื่องราวของราชวงศ์หรืออย่างไร?"
"พวกเขามาเพื่อสำรวจท่าทีและเจตนาตระกูลเจี้ยงสินะ" เจี้ยงเฉินยิ้ม นี่ก็ไม่ได้นับว่าอยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาแต่อย่างใด จังหวะนี้ทางราชวงศ์ย่อมหวั่นเกรงพวกมันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่แปลกที่จะส่งใครมาโยนก้อนหินถามทาง (TL โยนก้อนหินถามทาง = สำรวจท่าทีและเจตนา)
"อืม.." เจี้ยงเฟิงพยักหน้ารับ "เฉินเอ๋อร์ แม้เต่ตัวข้าเองยังอยากถามเจ้าว่าเจ้าวางอนาคตของตระกูลเจี้ยงไว้ที่ใดกันแน่? "
เจี้ยงเฉินเองก็ถามคำถามนี้กับตัวเองมานานแล้ว
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ตระกูลเจี้ยงของมันก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ในราชวงศ์ตะวันออกแห่งนี้ได้โดยสนิทใจ ประการที่หนึ่ง นี่เป็นเพราะตระกูลเจี้ยงนั่นยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากเกินไปในยามนี้ ไม่มีทางเลยที่ตระกูลตงฟางจะอยู่ได้อย่างสงบ และไม่มีทางเลยที่พวกมันจะปกครองอาณาจักรนี้ได้อย่างไว้วางใจ
ประการที่สอง ที่เจี้ยงเฉินไม่คิดจะกล่าวออกมาก็คือ ดินแดนแห่งนี้นั้นไร้ซึ่งเส้นโลหิตแห่งจิตวิญญาณที่ดี ส่วนที่พอจะมีอยู่บ้างก็มีแค่ดินแดนของเผ่าหงหยางเท่านั้น
จากจำนวนเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ที่สืบเนื่องจากปรากฏการที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ และจากรายงานและข้อมูลที่เจี้ยงเฉินสรุปออกมาถึงอัจฉริยะในอดีต เขาสามารถบอกได้เลยว่า สถานที่แห่งนี้นับว่าเป็นสถานที่ไร้ค่าและน่าอนาถอย่างมาก
เพราะฉะนั้นเจี้ยงเฉินไม่ยินยอมให้อนาคตตระกูลเจี้ยงต้องมาจมปลักอยู่ในสถานที่เช่นนี้เด็ดขาด
แต่เมื่อได้ยินคำถามจากบิดาแล้ว มันก็จำเป็นต้องตอบออกไป โดยไม่อธิบายถึงข้อมูลที่ล้ำลึกขนาดนั้น "ท่านพ่อ ชีวิตของมนุษย์เรานั้นนับว่าเป็นการเดินทางอันไร้ที่สิ้นสุด ท้องฟ้ากว้างใหญ่ เหตุใดตระกูลเจี้ยงเราต้องกังวลว่าพวกเราจะอยู่ที่ใด หรือจะไปไหนด้วยเล่า?
เจี้ยงเฟิงหัวเราะออกมาอย่างหนัก "เฮ่อ จะว่าไปคำที่เจ้ากล่าวมันก็มีความจริงอยู่ไม่น้อย แล้วอาณาจักรตะวันออกแห่งนี้จะเหลืออันใดที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับพวกเราอีกเล่า"
ถ้าตงฟางหลินไม่สามารถขึ้นครองราชย์ได้และมีการแก่งแย่งชิงดีกันเกิดขึ้น เจี้ยงเฟิงเองก็คิดว่าคงมีเรื่องราวอันใดให้มันได้กระทำอยู่บ้าง แต่มายามนี้ทุกเรื่องราวล้วนหมดความน่าสนใจเสียสิ้นแล้ว
"จริงสิเฉินเอ๋อร์ ยังมีอีกเรื่อง ข้าได้ยินมาว่าผู้นำหอโอสถ ซ่งเทียนสิง นำคนมาเพื่อสนทนากับเจ้า ตอนนี้พวกเขาพักกันอยู่ที่เมืองระลอกคลื่น เขาสอบถามข้ามาว่าเจ้าพอจะว่างสนทนากับพวกเขาได้หรือไม่ ข้าเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจหรือให้คำตอบอันใดแก่พวกเขาไป ตอนนี้พวกเขาก็ยังคงพักกันอยู่ที่เมืองระลอกคลื่น เจ้าสนใจจะพบพวกเขาหรือไม่เล่า? "
"หอโอสถ?" เจี้ยงเฉินเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก "ในที่สุดพวกเขาก็มาได้เสียที? ทีท่าของพวกเขานับว่าช้านัก ข้าก็คิดว่าพวกเขาจะไม่กล้ามาซะแล้ว เรื่องนี้หาได้สำคัญไม่ท่านพ่อ ให้พวกเขารอต่อไปเช่นนั้นสักพัก เฉียวไป่ชี่เป็นลูกศิษย์ของข้า แต่พวกเขากลับกล้าผลักไล่ไสส่งทอดทิ้งเขา จงใจส่งเขาให้ไปอยู่ใต้เงื้อมมือของหลงเส้าเฟิง ท่านพ่อว่าพวกเขาน่ารังเกียจไหมล่ะ? ข้าควรให้บทเรียนพวกเขาหรือไม่? "
“อะไรนะ? เฉียวไป่ชี่เป็นลูกศิษย์ของเจ้า? " สายตาเจี้ยงเฟิงเบิกกว้างขึ้น
เจี้ยงเฉินก็ตระหนักได้ว่าเขาพูดมากไป ก็ได้แต่หัวเราะออกมา "ท่านพ่อ ข่าวนี้ท่านก็เก็บไว้ให้ดี อย่าได้หลุดปากเผอเรอกระจายออกไปเชียว"
"อะไร เดี๋ยวนี้เจ้าโตขึ้น จนกล้าสั่งสอนเราผู้ชราแล้ว!" เจี้ยงเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างตลกขบขัน หยอกล้อบุตรชายของมันออกมา
เจี้ยงเฉินทำเพียงหัวเราะก่อนที่จะเดินหายลับไปดั่งสายลม
"เจ้าเด็กคนนี้" เจี้ยงเฟิงได้แต่แย้มยิ้มออกมาด้วยความยินดี เขาไม่อยากจะเชื่อว่าบุตรชายเขากลับมาได้พึงเพียงนี้
ตอนนี้ความภาคภูมิใจมันสุมอยู่เต็มอกบิดาอย่างเขามากมายจนแทบระเบิดตายแล้ว เมื่อมีบุตรชายที่ประเสริฐถึงเพียงนี้
...
"ท่านอาจารย์ที่เคารพ! ศิษย์เฉียวไปชี่ขอคารวะท่าน" เฉียวไปชี่ดีใจมากที่ได้พบเจี้ยงเฉิน
"ไป่ชี่ยืนขึ้น ระหว่างเราอย่าได้มากพิธี ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงทราบข่าวเรื่องที่ผู้นำหอโอสถเดินทางมาถึงเมืองระลอกคลื่นแล้ว" เจี้ยงเฉินกล่าวถามออกมา
"ถูกแล้ว ศิษย์ได้รับทราบข่าวนั้นมาสักพักแล้ว ...ศิษย์เองก็มีเรื่องราวที่คิดที่จะไปรายงานเรื่องราวนี้ให้ท่านทราบตั้งแต่วันก่อน แต่ทว่าท่านปิดด่านฝึกตน ศิษย์จึงไม่กล้าเข้าไปรบกวนท่าน "
“โอ้? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหอโอสถใช่หรือไม่” เจี้ยงเฉินกล่าวถามออกมาพร้อมกับหรี่ตาลง
"อย่างท่านกล่าว ข้ามีสหายที่ดีอยู่คนหนึ่งที่เป็นผู้อาวุโสอยู่ในหอโอสถชื่อหนิงวู่หยู มันนับว่าเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนศิษย์ แต่มันได้ลาออกจากหอโอสถและมาหาศิษย์เพื่อขอพักพิง ศิษย์คิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านจึงตัดสินใจโดยพละการให้มันพักอยู่กับศิษย์ และรอให้ท่านอาจารย์ออกมาตัดสินทีหลังว่าจะกระทำเช่นไรต่อไป "
ท่าทางของเฉียวไป่ชี่นั้นนอบน้อมและมีความเคารพเจี้ยงเฉินสูงมาก
เจี้ยงเฉินโบกมือ "ตั้งแต่มันเป็นคนสนิทที่เชื่อถือได้ เจ้าก็จัดเตรียมสถานที่ให้มันไปตามเรื่องเถอะ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมาถามข้าหรอก"
แต่เจี้ยงเฉินก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวถามออกมา "เจ้าบอกว่ามันเป็นผู้อาวุโสของหอโอสถ"
"ถูกแล้ว" เฉี่ยวไป่ชี่ยังรีบอธิบายต่อไปอีกว่า “แต่ศิษย์รู้ลักษณะนิสัยของมันดี มันมาหาศิษย์ไม่ได้มาเพราะหอโอสถหรืออะไรทั้งสิ้น”
"ฮ่าๆ อย่าห่วงเลย ข้าไม่ได้กังวลว่ามันจะมาที่นี่เพื่อเกลี้ยกล่อมหรืออะไรเจ้าหรอก ข้ากำลังหมายถึงว่า หากมันเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของหอโอสถ บางทีอาจจะมีค่าพอที่จะสนับสนุนเอาไว้ใช้งานได้"
เจี้ยงเฉินยิ้มแล้วกล่าวต่อไปอีกว่า "หากมองไปยังหอโอสถที่มีแต่ตัวโง่งม ยิ่งตัวบัดซบไร้สมองอย่างสิงชี่หลานนั่น ข้าเองก็ไม่อาจร่วมงานกับมันได้อย่างสนิทใจ"
"ท่านหมายความเช่นใดกัน?" ดวงตาของเฉียวไป่ชี่เรืองวูบขึ้นราวกับคิดอะไรออกบางอย่าง "ท่านอาจารย์ที่เคารพ ใช่ท่านกำลังคิดที่จะสนับสนุนหนิงวู่หยูให้เข้าควบคุมหอโอสถหรือไม่?"
"ไป่ชี่ เรื่องที่จะให้หนิงวู่หยูเป็นผู้นำหอโอสถ นี่นับว่าเป็นข้อตกลงขั้นแรกของข้า หากทางหอโอสถยังคิดที่จะมีส่วนร่วมหรือเป็นหุ้นส่วนกับข้า เราจะเริ่มสนทนาเจรจากันก็ต่อเมื่อพวกเขาบรรลุข้อตกลงขั้นแรกเสียก่อน หากมันไม่อาจกระทำได้แล้ว พวกเขามาทางไหนก็ให้พวกเขากลับไปทางนั้นเถิด ส่วนเรื่องสนับสนุนหนิงวู่หยูนั้น ข้าขอมอบหมายให้เจ้าเป็นผู้ดำเนินการ จะสั่งสอนหรืออบรมอะไร ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าตัดสินใจได้เลย"
เฉี่ยวไป่ชี่เองเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ดตัวมันย่อมดีใจและยินดีอย่างมาก มันรีบคำนับเจี้ยงเฉินด้วยความซาบซึ้งทันที "ท่านอาจารย์ที่เคารพ ท่านเมตตาและดูแลข้าอย่างดี ศิษย์ผู้นี้ขอขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง"
เป็นเรื่องที่จริงอย่างถึงที่สุดที่การกระทำของเจี้ยงเฉินครั้งนี้มีเจตนาเพื่อช่วยเหลือในสิ่งที่เฉี่ยวไป่ชี่กังวล เพราะหากจะกล่าวกันด้วยความสัตย์จริง ตัวเจี้ยงเฉินเองไม่คิดที่จะอยู่ในอาณาจักรบ้านนอกอย่างเช่นอาณาจักรตะวันออกแห่งนี้อีกแล้ว มันเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสนใจหอโอสถอะไรนั่นด้วยซ้ำ
ที่เขาทำเช่นนี้เพราะเป็นการเห็นแก่เฉี่ยวไป่ชี่ ด้วยวิธีนี้จะทำให้เฉี่ยวไป่ชี่นั้นได้รับการยอมรับนับถือ อีกทั้งยังช่วยลดความรู้สึกผิดของมันยามที่มันทิ้งหอโอสถออกมาอีกด้วย
เจี้ยงเฉินรู้ดีว่าหอโอสถเป็นสถานที่เฉี่ยวไป่ชี่เติบโตขึ้นมา หากเขาทิ้งหอโอสถไว้แบบนี้เฉี่ยวไป่ชี่จะกังวลและรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้กลับแก้ได้ง่ายดายนัก หากให้เฉี่ยวไป่ชี่มีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ของหอโอสถและทำให้มันกลับมาเจริญรุ่งเรืองด้วยความพยายามของเขา เขาจะได้หายจากการรู้สึกผิดเสียที
เฉียวไป่ชี่เป็นคนฉลาด เจตนาครั้งนี้ของเจี้ยงเฉินเหตุใดเขาจะมองไม่ออก ยามนี้เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ท่วมท้นอยู่ในหัวใจ เขาทำได้แค่มองเจี้ยงเฉินด้วยสายตาที่เคารพมากยิ่งขึ้น
นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์นักที่อาจารย์วัยเยาว์ของเขาจะมีความสามารถและความคิดและความเข้าใจสูงล้ำถึงเพียงนี้
หมากตานี้ของเจี้ยงเฉินสามารถแก้ปัญหาของหอโอสถได้ อีกทั้งยังคลายความรู้สึกผิดของเฉี่ยวไป่ชี่ได้พร้อม ๆ กัน อีกทั้งยังเป็นการหารายได้มากมายมหาศาล นับว่าเป็นการเดินหมากที่ยอดเยี่ยมนัก
"ไป่ชี่ อย่าได้ลืมจะอย่างไรเจ้าก็เป็นศิษย์ของข้า สมควรแล้วที่ข้าจะคิดถึงและทำเพื่อเจ้า เจ้ามีอำนาจเต็มในการจัดการและดูแลเรื่องนี้ โปรดจำไว้จะอย่างไรก็ต้องให้พวกเขาผ่านข้อตกลงขั้นแรกก่อน เจ้าต้องควบคุมดูแลอย่างละเอียด หากผู้ใดมันบ่อนทำลายก็กำจัดทิ้งไปเสีย หนอนแมลงสวะไร้ค่าโง่งมบางจำพวกเก็บเอาไว้รังแต่จะสร้างปัญหาเสียเปล่า ๆ หากเจ้าคิดว่าตัวเองไม่มีอำนาจพอ ก็ให้ติดต่อไปขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงโจวหยู่ นางจะช่วยเจ้าดูแลเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด "
เจี้ยงเฉินนั้นคร้านจะยุ่งวุ่นวายอะไรกับหอโอสถอีกแล้ว เฉี่ยวไป่ชี่เองก็นับว่าเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง มันเชื่อว่าเรื่องแค่นี้ศิษย์ของมันคนนี้ย่อมจัดการได้
เฉียวไปชี่แทบจะสำลักความสุข "ท่านอาจารย์ ... ศิษย์คนนี้เข้าใจแล้ว ตอนนี้ศิษย์จะเรียกหนิงวู่หยูให้มาคารวะท่าน "
"เอาล่ะ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ของพวกเรา เจ้าแค่ทำให้เขาทราบว่าข้าสนับสนุนสิ่งที่เจ้าคิดจะทำ เท่านั้นก็พอ"
หลังจากนั้นเฉียวไป่ชี่ก็ไปนำหนิงวู่หยูเข้ามา
หนิงวู่หยูเคยเจอเจี้ยงเฉินมาก่อน แต่ในตอนนั้นเจี้ยงเฉินหาได้เหมือนดั่งเช่นตอนนี้ไม่ ยามนั้นเจี้ยงเฉินยังเป็นแค่ขุนนางน้อยธรรมดาและมาหาพวกเขาเพราะมีสูตรโอสถโบราณเพียงสูตรเดียวเท่านั้น
แต่ในตอนนี้ถึงแม้จะไม่อยากได้ยินชื่อเสียงของเจี้ยงเฉินสักเพียงไหน หรือต่อให้อุดหูเอาไว้ดีถึงเพียงไร คำร่ำลือถึงกิตติศัพท์ความสามารถของเขาก็จะทะลุปราการป้องกันมาเข้าหูจนได้ หนิงวู่หยูสำรวมท่าทีอย่างมากก่อนที่มันจะค่อย ๆ เดินเข้ามาคารวะเจี้ยงเฉิน "หยิงวู่หยูขอคารวะขุนนางน้อย"