spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
เมืองระลอกคลื่น มณฑลเจียงหาน
นับตั้งแต่บิดาและบุตรสองพ่อลูกกลับมาอยู่ด้วยกันนับว่ายิ่งมาครอบครัวยิ่งครื้นเครง เหล่าผู้ติดตามและบ่าวไพร่ทั้งหมดในครอบครัวเจี้ยงยามนี้ทุกวันมีแต่ความสุขและงานเลี้ยงฉลอง อีกทั้งทีท่าของพวกมันยังชอบบรรยากาศแบบนี้อย่างมากอีกด้วย
การรบ ณ หุบเขาบรรจบ กล่าวได้ว่าแทบจะเป็นเรื่องราวที่เป็นตำนานบทหนึ่ง ...ตำนานที่ยากจะลบเลือนบทหนึ่งที่จะร่ำลือและเล่าขานสืบต่อกันไปไม่รู้จบใน มณฑลเจี้ยงหาน
แม้เรื่องราวอาจจะมีแตกต่างกันไปบ้างหลังผ่านการบอกเล่ามามากมายหลายต่อหลายปาก แต่ทว่าแก่นของเรื่องยังคงเป็นเรื่องราวความสามารถที่สูงส่งราวเทพนักรบของบุตรขุนนางตระกูลเจี้ยงที่สามารถฟันฝ่ากระแสคลื่นมรสุมของกองทัพนับล้าน ณ หุบเขาบรรจบ
เขาได้ลงมือสังหารหลงเส้าเฟิงด้วยฝีมืออันล้ำเลิศของตนเอง อีกทั้งยังสามารถสยบกองทัพนับล้านของตระกูลหลงและปิดฉากชีวิตอันรุ่งโรจน์ดับฝันอันแสนหวานของขุนนางมังกรทะยานให้กลายเป็นมายาฉากหนึ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง ...สุดท้ายแล้วด้วยฝีมือของเขานี่เอง ที่รักษาฟางเส้นสุดท้ายของราชวงศ์ตะวันออกเอาไว้ได้ จนนำไปสู่การกอบกู้อำนาจให้หวนคืนสู่ตระกูลตงฟาง
แม้กระทั่งตัวขุนนางเจี้ยงหานเองก็ได้แต่ยอมรับว่า ถึงตนเองจะนับได้ว่ามีชื่อเสียงอย่างมากในมณฑลเจี้ยงหานแห่งนี้ แต่ทว่า รัศมีและเรื่องราวของบุตรชายมันนั้น นับว่าโดดเด่นล้ำหน้ามันไปไกลโขนัก
แต่จะให้เจี้ยงเฟิงจะไปอิจฉามันได้อย่างไร บิดาทุกผู้ล้วนแล้วมีความปรารถนาเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น พวกมันล้วนมุ่งหวังไปบุตรชายเก่งฉกาจเหนือล้ำกว่าตัวมันเองแทบทั้งสิ้น หากจะกล่าวไปในโลกนี้หากมีบุรุษที่จะสามารถยินยอมสยบให้ด้วยความดีใจ ก็เห็นจะมีเพียงบุรุษที่เป็นบุตรชายของมันเองนี่ล่ะ
การที่บุตรชายของมันเหนือล้ำไปกว่าตัวมันมากโขเช่นนี้ ย่อมนำพามาแต่ความสุขและความเจริญก้าวหน้าของวงศ์ตระกูล
ในบรรดาสิบชนเผ่าที่สำคัญของดินแดนเจี้ยงหานแห่งนี้ นอกจากเผ่าหงหยางที่ถูกกวาดล้างไปจนสูญสิ้น ที่เหลือนับว่ายินยอมสยบและอยู่ใต้โอวาทสองพ่อลูกตระกูลเจี้ยงอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ในบรรดาเผ่าทั้ง 9 พวกมันล้วนแล้วแต่ส่งตัวแทนออกมาทุก ๆ เวลา 2-3 วันไปยังเมืองระลอกคลื่นเพื่อแสดงท่าทีว่าพวกมันนั้นล้วนเชื่อฟังตระกูลเจี้ยงอย่างไร้ข้อกังขา
เรื่องนี้จะกล่าวไปก็ไม่แปลกอะไรนัก หากตระกูลหลงที่เกรียงไกรของขุนนางมังกรทะยานยังถูกทำลายล้างจนสิ้นชาติ แล้วเผ่าเล็ก ๆ เช่นพวกมันจะกล้าผยองได้อย่างไร?
ความคิดต่อต้านเล็ก ๆ น้อย ๆ และแผนการหลาย ๆ อย่างต้องถูกกลบฝังดินให้มิดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
บิดาและบุตรตระกูลเจี้ยงในยามนี้ ราวกับเป็นทั้งสวรรค์และโลกของมณฑลเจี้ยงหาน
ถึงแม้ว่าตอนนี้ทั้งคู่มีความปรารถนาที่จะยกทัพไปกวาดล้างราชวงศ์ตะวันออกเพื่อถือครองแผ่นดิน ประชาชนคนในมณฑลเจียงหานแห่งนี้ก็ยินดีตบเท้าเดินหน้าร่วมรบกับมันโดยไม่คิดไต่ถามแม้แต่ครึ่งคำ
เพราะในสายตาของพวกมัน ราชวงศ์ตะวันออกนั้นไม่ได้มีอันใดมั่นคงแม้แต่น้อย ตระกูลตงฟางเองก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ตามมาอีกหลายสิ่งอย่าง ถึงแม้ว่าตอนนี้ตงฟางหลินจะขึ้นครองราชย์โดยชอบธรรมและปราศจากการต่อต้านจากฝ่ายใด ๆ แต่ทว่าการนำประเทศกลับมาให้อยู่ในทิศทางที่ถูกที่ควรกลับไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากให้ประมาณกาล นับว่ากว่าจะทำให้ทุกส่วนของประเทศเชื่อฟังและนับถือดังกาลก่อน คงกินเวลามิต่ำกว่า 10 ปี
ในทางกลับกันยามนี้บิดาและบุตรตระกูลเจี้ยงกลับทะยานขึ้นไปโลดแล่นในใจของทุกผู้คนราวกับตะวันสาดแสงแรงกล้า และที่สำคัญพวกมันยังครอบครองพลังอำนาจที่สามารถสยบทหารนับล้านเอาไว้ได้ จะมีผู้ใดคิดลองดี หรือหาญกล้าต่อกร ? หากพวกมันต้องการผลัดเปลี่ยนสายเลือดมังกร ตระกูลตงฟางเองก็ได้แต่ต้องประเคนส่งมอบให้พวกมันด้วยรอยยิ้ม ขุนนางหรือตระกูลอื่น ๆ ก็คงได้แต่กล่าวแสดงความยินดีด้วยใบหน้าปรีดาเพียงเท่านั้น
แต่ดูเหมือนพ่อลูกตระกูลเจี้ยงหาได้มีความคิดอันใดส่อไปในทำนองนั้นแม้แต่นิด พวกมันปฏิเสธรางวัลเกียรติยศรวมถึงชื่อเสียงทั้งหมดที่ราชวงศ์ตะวันออกประเคนให้ทุกสิ่งอย่าง แล้วจะกล่าวอะไรกับการที่พวกมันจะยกทัพไปกวาดล้างราชวงศ์ตะวันออก
เจี้ยงเฉินเองก็ได้โยนเหรียญรับรองของราชวงศ์คืนแก่ตงฟางลู่ไปแล้วในวันนั้น และมันยังแสดงเจตนารมณ์ชัดแจ้งว่าจะไม่ขอข้องเกี่ยวหรือฟังคำสั่งตระกูลตงฟางอีกต่อไป
แม้ว่าหนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสู่บัลลังก์มังกรครั้งนี้ของตระกูลตงฟางจะถูกปูมาด้วยความพยายามของตระกูลเจี้ยง แต่พวกตระกูลเจี้ยงหาได้ต้องการรางวัลอันใดแม้แต่น้อย
แม้แต่ชื่อขุนนางอันดับหนึ่งอย่างใต้สวรรค์ ก็ถูกปฏิเสธโดยสองพ่อลูกตระกูลเจี้ยง
นับว่าเป็นเรื่องดีที่ตระกูลตงฟางสำเหนียกได้ว่าพวกมันไม่มีอำนาจพอที่จะบีบบังคับตระกูลเจี้ยง พวกมันอาจจะดีใจหากตระกูลเจี้ยงยินยอมรับน้ำแกงถ้วยนี้ของมัน ...แต่พวกมันเองก็ไม่ได้มีขวัญกล้ามากพอที่จะบังคับให้ครอบครัวเจี้ยงยอมรับหรือปฏิเสธ
...
ในขณะที่เจี้ยงเฟิงกำลังดูแลเรื่องราวบางอย่างในคฤหาสน์ ขุนนางจินฉางและขุนนางหูปิ่งก็ได้มาเยี่ยมเยือนมันโดยกะทันหัน
ขุนนางจินฉางและขุนนางหูปิ่งนี้นับได้ว่าเป็นสหายที่ดีของเจี้ยงเฟิง ในตอนที่ขุนนางเจี้ยงหานนั้นประสบปัญหาไม่ลงรอยกับตระกูลหลง ไม่ว่าจะอับจนหนทางหรือเสียเปรียบขนาดไหน ทั้งคู่กลับยืนหยัดเคียงข้างมันให้ความช่วยเหลือสุดกำลัง ไม่ยินยอมคล้อยตามตระกูลหลงแม้แต่นิด
ถึงแม้จะไม่มีภาพการกระทำที่ยิ่งใหญ่ครั้งนั้น ทั้งสามก็นับว่าเป็นสหายที่สนิทสนมกันอยู่ดี
"ฮ่าฮ่า พี่น้องทั้งสองเหตุใดจึงมาเยี่ยมข้าได้เล่า ข้าเจี้ยงเฟิงหาได้มีหน้าที่ตำแหน่งใด ๆ แล้ว พี่น้องทั้งสองไม่คิดว่าเสียเวลาเปล่าหรือไร? " เจียงเฟิงกล่าวหยอกล้อออกมา
“พี่เจี้ยง ท่านได้รับมอบตำแหน่งขุนนางอันดับหนึ่งแต่ท่านยังปฏิเสธมันอย่างไม่ใยดี ข้าล่ะนับถือท่านจริง ๆ ที่ไม่ได้หลงใหลลาภยศ” ขุนนางจินฉางกล่าวออกมาอย่างยกย่อง
ขุนนางหูปิ่งยังหัวเราะออกมาก่อนที่จะกล่าวเสริมว่า "ด้วยความสัตย์จริง การที่ทั้งข้าและขุนนางจินฉางมีความสำเร็จได้จนถึงทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่มาจากผลงานของหลานเจี้ยงเฉินแทบทั้งสิ้น พวกเราละอายท่านนัก "
"ฮ่าฮ่า พวกเราล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น จะไปคิดเรื่องราวอันใดให้มากความกันเล่า มา ๆ ทั้งสองคนเข้ามาก่อน " เจี้ยงเฟิงหัวเราะร่าออกมา มันนับว่าพึงพอใจกับนิสัยของทั้งสองคนนี้มาก และเขาเองก็ค่อนข้างมีความสุขและยินดีกับพวกเขาอย่างแท้จริง
เพราะตอนนี้นับว่าอาณาจักรแห่งนี้นั้นกำลังตกอยู่ในช่วงโกลาหลวุ่นวายอย่างมาก และทั้งสองตระกูลนี้ก็เลือกเปิดรับผู้มีพรสวรรค์และผู้แข็งแกร่งให้มาเข้าร่วมกับพวกมัน ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลพวกเขาทั้งคู่นับว่าพุ่งทะยานผ่านชั้นฟ้าในพริบตา อันที่จริงแค่อาศัยว่าพวกเขามีมิตรไมตรีกับตระกูลเจี้ยง พวกเขาก็เดินใต้ฟ้านี้ได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดแล้ว
"จะว่าไปนะพี่เจี้ยง ราชวงศ์ตะวันออกนั้นมีทีท่าอยากให้ท่านรับตำแหน่งขุนนางอันดับ 1 แทบตายแล้ว แต่ข้ากลับสงสัยนักเหตุใดพี่เจี้ยงถึงไม่สนใจมันเลยเล่า? พวกเราบุกบั่นฝ่าฟันด้วยกันมาตั้งมากมาย นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่พวกเราควรได้รับผลตอบแทนของความพยายามและความจงรักภักดี เพื่อได้รับความมั่งคั่งเล็ก ๆ น้อย ๆ มิใช่หรือ " ขุนนางจินฉางกล่าวถามออกมา
ขุนนางหูปิ่งเองก็พยักหน้าออกมา "หากมีผู้อื่นกล้ามานั่งตำแหน่งขุนนางอันดับหนึ่ง ทั้งข้าและขุนนางจิงฉานล้วนไม่ยินยอมรับทั้งสิ้น ผู้ใดบ้างจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นขุนนางอันดับหนึ่งนอกเหนือจากจากตระกูลเจี้ยง? "
เจี้ยงเฟิงยิ้มบาง ๆ ออกมา "น้องชายที่น่านับถือทั้งสอง ข้าดูแล้ว มิแคล้วว่าราชวงศ์ส่งพวกท่านมาใช่หรือไม่?"
ขุนนางจินฉางและขุนนางหูปิ่งล้วนพยักหน้ารับก่อนที่จะยิ้มออกมา
"พี่เจี้ยงตระกูลท่านมีอันใดในน้ำเต้ากันเล่า? พวกข้าหวังว่าท่านจะเผยมันออกให้พวกเราได้รับรู้เสียหน่อย ท่านต้องรับทราบด้วย ว่าการที่ท่านมิทำอันใดเลยนี้ทำให้หลายคนในอาณาจักรล้วนกระทำตัวไม่ถูก เพราะตอนนี้หามีผู้ใดกล้าทำอันใดเพราะความไม่แน่ใจทั้งสิ้น "
เจี้ยงเฟิงยิ้มออกมาก่อนที่กล่าวว่า "ตระกูลเจี้ยงของข้าหามีอันใดเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งชิงดีใด ๆ ในอำนาจหรือจะต่อสู้กับตระกูลใดในอาณาจักรตะวันออกแห่งนี้อีกต่อไป พวกเจ้าสามารถกลับไปบอกราชาตงฟางหลินได้เลย ว่าอย่าได้กังวล สามารถนอนหลับอย่างสบายใจได้เลย หาได้จำเป็นต้องกังวลว่า ตระกูลเจี้ยงนั้นจะเอาอย่างตระกูลหลงหรือไม่ เพราะหากพวกข้าคิดก่อการอันใดจริง ๆ แล้วล่ะก็ คงไม่รอจนกระทั่งทุกวันนี้หรอก "
ขุนนางจิงฉางพยักหน้าออกมา "วาจาพี่เจี้ยงนับว่ากระจ่างแจ้งนัก นับว่าองค์เหนือหัวได้หายกังวลเสียที "
"เอาละ พี่ชายที่โง่เขลาผู้นี้ล้วนกล่าววาจาออกไปโดยกระจ่างแล้ว หลังจากนี้หวังว่าเราพี่น้องจะคุยเรื่องอื่นกันอย่าได้ข้องแวะกับเรื่องการเมืองปกครองอะไรพวกนี้อีกเลย"
"เฮ่ พี่เจี้ยงอย่าได้รีบร้อนนัก พวกเรายังมีเรื่องราวอีกประการหนึ่งที่ต้องรบกวนท่านแล้ว"
"อันใดรึ?"
"เรื่องก็มีอยู่ว่า ผู้นำหอโอสถซ่งเทียนสิงได้เชื้อเชิญพวกเราเป็นแขก เพื่อเลี้ยงต้อนรับมื้อใหญ่มาหนึ่งมื้อ เขาต้องการที่จะมาเยี่ยมเยียนหลานเจี้ยงเฉิน แต่ทว่าเขาเกรงใจและกลัวว่าจะรบกวนท่าน เขาเลยฝากพวกข้ามาถามไถ่ท่านสักคำว่า พอมีเวลาจะให้เขามาเข้าพบและสนทนาอะไรกันสักหน่อยหรือไม่?
ขุนนางจิงฉางความจริงก็ไม่ได้อยากเอาเรื่องนี้มาพูดให้เจี้ยงเฟิงลำบากใจ แต่ทว่าจะอย่างไรผู้นำหอโอสถซ่งเทียนสิงผู้นี้ก็นับว่ามีหน้ามีตาไม่น้อย จะให้เขาหักหน้าก็ลำบากใจที่จะกระทำ เขาเลยไร้ทางเลือก
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าซ่งเทียนสิงนั้นนอบน้อมและให้เกียรติพวกเขาอย่างมาก เขาจัดเลี้ยงใหญ่โตแถมยังมอบของขวัญพร้อมทั้งกล่าวขอด้วยวาจาสุภาพอย่างยิ่ง นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจปฏิเสธและหักหน้าของเขาโดยไม่รับปากว่าจะไม่เป็นธุระปะปังให้เขาได้
"ซ่งเทียนสิง?" เจี้ยงเฟินสงสัยเล็กน้อย "พวกเขาต้องการพบเฉินเอ๋อร์?"
ขุนนางจินฉางรีบพยักหน้า "ถูกแล้วพี่ท่าน เขาต้องการพบปะและสนทนากับเจี้ยงเฉิน เหตุเพราะเขาชื่นชมในความอัจฉริยะภาพของหลานชาย แต่พวกเขากลับหน้าบางและขี้กังวล หวาดกลัวไปว่าพวกท่านจะปฏิเสธคำขอนี้ พวกเขาเลยให้พวกเราสองคนช่วยมาออกหน้ากล่าววาจากับท่านอย่างไรเล่า "
เจี้ยงเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร เขาเพียงหยิบถ้วยขึ้นมาก่อนที่จะกล่าวว่า "เรื่องนี้ข้าหาได้มีสิทธิตัดสินใจไม่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเฉินเอ๋อร์ ตอนนี้เขายังอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตนบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งเดือน ผู้นำหอโอสถนั้นมาถึงเมืองระลอกคลื่นแล้วใช่หรือไม่? "
"ใช่ พวกเขามาถึงแล้ว ตอนนี้พวกมันก็อาศัยอยู่ในโรงเตี้ยมในเมือง ดูท่าพวกเขาจะมีความจริงใจไม่น้อย หากหลานชายเจี้ยงเฉินปิดด่านบ่มเพาะ เช่นนั้นก็ให้พวกเขารอกันไปก่อนแล้วกัน "
"คงทำอันใดไม่ได้นอกจากให้พวกเขารอแล้วล่ะยามนี้ อันที่จริงข้าต้องขอบอกตามตรงว่า ข้าไม่แน่ใจว่าเฉินเอ๋อร์จะออกมาเมื่อไหร่กันแน่" เจี้ยงเฟิงได้แต่กล่าวออกมาอย่างอับจนปัญญา
ขุนนางจินฉางและขุนนางหูปิ่งได้แต่พยักหน้ายอมรับ ตอนนี้พวกเขามีความรู้สึกว่า ตอนนี้พวกเขาหาได้เข้าถึงพ่อลูกตระกูลเจี้ยงทั้งสองนี้ได้ง่ายดายเหมือนกาลก่อนอีกแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะผ่านห้วงเวลาแห่งความเป็นตายและยากลำบากมาด้วยกันไม่น้อย ทว่าตอนนี้อะไร ๆ กลับเปลี่ยนไป บางสิ่งบางอย่างล้วนห่างไกลออกไป พวกเขาพบว่าหลายสิ่งตอนนี้หาได้เป็นแบบเดิมอีกต่อไป
ถึงแม้ว่ายามนี้เจี้ยงเฟิงจะนับได้ว่าเป็นคนธรรมดา และพวกเขาเป็นขุนนางระดับสูง ทว่าความรู้สึกยามที่มันอยู่กับเจี้ยงเฟิงนั้น ราวกับพวกเขาเสียเองที่เป็นคนธรรมดาสามัญแต่อยู่ต่อหน้าเจี้ยงเฟิงที่เป็นขุนนางและมีอำนาจสูงล้นนัก
การได้มีส่วนร่วมในการรบและได้พบเห็นความมหัศจรรย์ของเจี้ยงเฉินด้วยสองตา ถึงแม้ว่าขุนนางที่ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรนี้อย่างพวกเขาอยากจะกระทำเรื่องราวอื่นใดให้ระบือลือลั่นเพื่อลบภาพความอหังการของเจี้ยงเฉินในวันนั้น พวกเขาได้แต่ยอมรับว่าไม่มีปัญญาจะกระทำเช่นนั้นและคงไม่มีวันเป็นไปได้
เพราะเหตุนี้ยามนี้พวกเขาจึงได้สงวนท่าทีและเป็นผู้รอรับความเมตตาเช่นนี้...
...
ปัจจุบันเจี้ยงเฉินได้ปิดด่านบ่มเพาะเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว เขาได้ปรับเปลี่ยนและค้นหาวิธีฝึกฝนที่เลิศล้ำอยู่เสมอ และเขากำลังแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระดับในตำนานที่เล่าขานกันมา
"คำกล่าวที่ว่าปราณแท้จริงมีทั้งหมด 12 ระดับ แต่เหตุใดผู้ฝึกตนล้วนแล้วแต่หยุดอยู่ที่ระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 กันหมด? เหตุใดจึงไม่มีใครพยายามเปิดจุดลมปราณที่ 12 เพื่อตัดผ่านไปยังระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 12 ก่อนที่จะเปลี่ยนลมปราณแท้จริงให้เป็นปราณจิตวิญญาณ? " นี่เป็นข้อสงสัยของเจี้ยงเฉิน
เจี้ยงเฉินรู้สึกว่าในความทรงจำของเขานั้นมีร่องรอยบางอย่างเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเรื่องที่เป็นดั่งตำนานนี้ และในที่สุดเขาก็ค้นพบคำตอบของเรื่องราวที่ราวกับมีเมฆหมอกสลัวมาบัดบังให้มัวหมอง
นี่หาใช่เรื่องศักยภาพหรืออัจฉริยะอันใดไม่ แต่ทว่ามันกลับเป็นความผิดพลาดในการเข้าใจกฎเกณฑ์คำสอนที่ผิดเพี้ยนไปในโลกใบนี้นี่เอง
คำกล่าวที่ว่าปราณแท้จริงขั้นที่ 12 นั้น หรือการเปิดจุดปราณที่ 12 นั้น หนึ่งจุดที่ขาดหายไปที่ทุกคนไม่มีวันเข้าถึงได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ กลับเป็นหนึ่งจุดที่ตัวผู้ฝึกเองต้องทะยานออกไปและค้นหามันด้วยตนเอง
"หนึ่ง" ที่ขาดหายไปกลับมีความหมายถึง ความเป็นไปได้ไร้ที่สิ้นสุดในจักรวาล
และ "หนึ่ง" ที่ว่า คือความต่างระหว่างหนทาง ไม่สำคัญ และสำคัญอย่างยิ่งยวด
ในความเป็นจริง "หนึ่ง" นั้นมิได้ขาดหายไปไหน แต่ทว่า "หนึ่ง" นั้นได้ผันแปรกลายเป็นความเป็นไปได้อันไร้จำกัด
นั่นหมายถึงความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุดและปรากฏการณ์ที่ไร้ขีดจำกัด เมื่อเทียบกับความแตกต่างในขอบเขตปราณแท้จริง และขอบเขตของปราณจิตวิญญาณนั่นเอง
บางคนนั้นใช้ทั้งชีวิตเพื่อตามหาและไขว่คว้า "หนึ่ง" นั้น แต่มันกลับล้มเหลว
บางคนเข้าใจว่า "หนึ่ง" นี้มีความหมายว่าอย่างไร มันก็จะแตกออกจากรังไหมแปรเปลี่ยนเป็นผีเสื้อที่งดงามและโผบินออกไปไร้จำกัด
"หนึ่ง" นี้นับว่าเป็นสะพานเชื่อมดินแดนปราณที่แท้จริงและปราณจิตวิญญาณ นั่นเอง
หามีผู้ใดที่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสสะพานนี้ได้
หากเจ้าอยากก้าวข้ามมันไป เจ้าเพียงต้องหยั่งเท้าลงในเต๋าอันไร้สิ้นสุดและท่องทะยานโลดแล่นรื่นรมย์ไปกับชีวิตอันไร้ขีดจำกัดเป็นเวลานับร้อยหรือนับพันปี
หากเจ้าไม่สามารถข้ามมันไปได้ สุดท้ายแล้ว เจ้ายังคงเป็นเพียงมนุษย์ที่ยังดิ้นรนและล้มเหลวอยู่ในโลกีย์วิสัย
“สมองนิ่มและน่าสงสารยิ่งนัก ผู้ฝึกตนบนโลกนี้ล้วนคิดว่าระดับปราณที่แท้จริงขั้นที่ 12 คือการค้นหาจุดปราณที่ 12... นี่นับว่าล้วนแต่เป็นข้อผิดพลาดและเป็นปัญหาที่เกิดจากการสื่อสารและอบรมโดยแท้ ปัญหาข้อนี้มันหาได้มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้วไม่ "
ถ้าไม่ได้รับความทรงจำมากมายจากชีวิตที่แล้วและถ้าเจี้ยนเฉินไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอำนาจในการเรียนรู้อันไร้ที่สิ้นสุดแล้วล่ะก็ เขาคงไม่มีวันเข้าใจประเด็นหลักนี้
ในความเป็นจริงเมื่อผู้ฝึกตนเข้าใจความหมายของ "หนึ่ง" สุดท้ายแล้ว นั่นก็ถือว่ามันได้ตัดผ่านไปยังระดับ "ปราณแท้จริงขั้นที่ 12" อย่างสมบูรณ์แล้วล่ะก็หมายความว่าเท้าของมันนั้นยืนอยู่บนสะพานแล้วนั่นเอง
คำ "หนึ่ง" นี้ไม่ควรพูดจำกัดความสั้น ๆ ว่า "ปราณแท้จริงขั้นที่ 12" แต่มันควรกล่าวจากมุมของของผู้แสวงหาเต๋าแห่งการต่อสู้มากกว่า ว่ามันเป็นเพียงสะพานหนึ่งของเต๋าแห่งการต่อสู้ เป็นเพียงหนึ่งความเข้าใจ ที่จะแบ่งแยกระหว่างดินแดนปราณแท้จริง และดินแดนแห่งปราณจิตวิญญาณ ที่ต่างกันราวกับสวรรค์และโลกเสียมากกว่า
สะพานนี้ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
แต่ละคนล้วนมีสะพานที่เป็นไปได้ไร้จำกัดของพวกมันทั้งสิ้น
เจี้ยงเฉินได้เกิดรู้แจ้งอย่างฉับพลัน เมื่อมันได้รู้แจ้งในความเป็นจริงข้อนี้ "หนึ่ง" นั้นมีไว้เพื่อหลอมสร้างจิตวิญญาณภายในของเขา อาจเป็นเส้นทางของเต๋าแห่งการต่อสู้เพื่อเป็นหนึ่งในโลกีย์วิสัยนี้ หรือเป็นเต๋าแห่งการต่อสู้เพื่อแสวงหาหนทางในการหลุดพ้น หรือเพื่อบอกลาเส้นทางเดิมในชีวิตที่ผ่านมาและก้าวสู่เส้นทางของชีวิตใหม่ที่เป็นนิรันดร์
หากจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ มันเป็นเพียงขั้นตอนที่มีไว้สำหรับทำความเข้าใจในหนทางแห่งเต๋าของตน ก่อนที่จะก้าวย่างเข้าสู่ระดับปราณจิตวิญญาณเท่านั้นเอง
และสุดท้ายไม่ว่าจะเป็นปราณแท้จริงระดับที่ 11 หรือบรรลุความเข้าใจจนเรียกได้ว่าสำเร็จในปราณแท้จริงระดับที่ 12 แล้ว มันก็นับเป็นกระบวนการหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงปราณแท้จริงให้กลายเป็นปราณจิตวิญญาณ และควบรวมปราณจิตวิญญาณทั้งหมด ไว้ใน “หนึ่ง” ตันเถียน หรือเรียกว่า “หนึ่ง” ห้วงมหรรณพวิญญาณ
และการสร้างทะเลวิญญาณไว้ในตันเถียนได้สำเร็จ ก็นับว่าเป็น ผู้ฝึกตนระดับปราณจิตวิญญาณแล้วนั่นเอง
เพราะเหตุนี้ถึงเหล่าบรรดาผู้ที่ตั้งใจค้นหาความหมายของ "ปราณแท้จริงระดับที่ 12" อาจจะล้มเหลวหรือคิดได้แต่สุดท้ายพวกมันก็สามารถตัดผ่านไปยังระดับปราณจิตวิญญาณได้อยู่ดี
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะทฤษฎีเรื่องระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 12 นั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงแค่ความหมายที่แท้จริงของการแสวงหาเต๋าแห่งการต่อสู้ และเส้นทางของเต๋าที่ผู้ฝึกฝนนั้นต้องการจะก้าวไปเสียมากกว่า