หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 114 เหล่าอาวุโสที่เห็นแก่ตัวของหอโอสถ

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

เหล่าอาวุโสและผู้มีอำนาจทั้งหลายในหอโอสถ รู้สึกปลาบปลื้มกับท่าทีของราชวงศ์ตะวันออกเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีการล้างบางเหล่าสวนโอสถสวรรค์จนสิ้นซาก นับว่าได้กำจัดเสี้ยนหนามของพวกมันไปอีก

ภายในโถงประชุมหลัก...เหล่าอาวุโสที่เหลือทั้ง 4 คนของหอโอสถได้เข้าร่วมประชุมกัน ถึงหนทางการดำเนินงานหอโอสถหลังจากนี้

หวังลี่กล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ  "ผู้นำหอสูงสุด เนื่องจากวิกฤติของทางราชวงศ์ได้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้ว บางทีนี่อาจเป็นโอกาสอันดีในรอบร้อยปีที่มาถึงหอโอสถเรามิใช่หรอกหรือ พวกเราควรใช้โอกาสนี้ในการเปิดตัวสาขาต่าง ๆ ของพวกเราเพื่อขยายกิจการให้แพร่หลายไปทั่วทั้งอาณาจักร ที่ใดก็ตามที่มีขุนนางของทางราชวงศ์ไปปกครองอยู่ ควรมีกิ่งก้านสาขาของหอโอสถเราด้วย  นี่ย่อมทำให้พวกเราสามารถควบคุมกิจการและเป็นผู้ค้ารายใหญ่ พวกท่านลองคิดดูถึงเม็ดเงินและความมั่งคั่งที่จะหลั่งไหลเข้ามาดูสิ "

ผู้ดูแลหอโอสถลำดับที่ 4 หวังลี่นั้น นับว่ามีอายุน้อยกว่าเฉียวไป่ชี่ อยู่ 2 ปี มันนับเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่มีโอกาสกลายมาเป็นผู้นำหอโอสถด้วยเช่นกัน สถานะของมันเดิมทีแล้วเทียบเท่ากับเฉียวไป๋ชี่เท่านั้น และตัวมันเองก็หวังที่จะเป็นผู้นำหอโอสถนี้ด้วยเช่นกัน

แต่ทว่าผลงานที่มหัศจรรย์ราวกับปาฏิหาริย์ของเฉียวไป่ชี่ ได้หยุดยั้งความทะเยอทะยานของหวังลี่ไว้หลายครั้งหลายครา ทำให้มันแทบมิมีโอกาสที่จะแสดงความสามารถอันใดออกมา

ทว่าบัดนี้ เฉียวไป่ชี่ได้จากหอโอสถและวังวนการแข่งขันชิงอำนาจไปแล้ว ย่อมเป็นที่รู้กันว่าตำแหน่งผู้นำหอโอสถต่อไปคงไม่พ้นตกอยู่ในมือหวังลี่ผู้นี้อย่างแน่นอน

ดังนั้นช่วงนี้หวังลี่จึงมักจะแสดงท่าทีอวดตนราวกับตอนนี้มันเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง

ผู้บริหารหลายคนในหอโอสถแห่งนี้ก็ได้ถูกหวังลี่ซื้อตัวให้อยู่ฝ่ายเดียวกับมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะทั้งทางลับหรือแจ้ง หวังลี่ล้วนเข้าหาพวกมันพร้อมกับเสนอส่วนแบ่งหรือแบ่งปันน้ำแกงตามแต่ความสามารถที่จะส่งเสริมมัน ดังนั้นทำให้ตอนนี้ไม่ว่ามันจะกระทำสิ่งใด ล้วนถือได้ว่ามีผู้ถือหางให้มันมิใช่น้อย

และเมื่อมันกล่าวจบก็มีเหล่าผู้อาวุโสต่าง ๆ กล่าวสนับสนุนคำพูดของมันออกมา ราวกับว่าหนทางที่มันเสนอย่อมประเสริฐที่สุด

“ข้าเห็นด้วยกับผู้ดูแลหวัง ว่าโอกาสครานี้ย่อมเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้หอโอสถเราในรอบหลายร้อยปีอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เราควรใช้โอกาสดีงามอันนี้เพื่อขยายกิจการของเราให้ก้าวไกลออกไป”

"ผู้ดูแลหวัง นับว่าแผนการและวิสัยทัศน์ของท่านนั้นช่างก้าวไกลและสูงส่งยิ่งนัก ข้าน้อยนับถือ" ผู้อาวุโสสิงชี่หลาน ผู้ที่คอยงัดข้อกับเฉียวไป่ชี่ตลอดเวลาก็กล่าวออกมาด้วยเช่นกัน และอาวุโสผู้นี้ นางยังเป็นคนพูดจาให้ร้ายเฉียวไป่ชี่ครั้งล่าสุดอีกด้วย

"เฮอะ! นี่ช่างแตกต่างจากคนบางคนที่ไร้ความเคารพต่อผู้อื่นมากนัก เพียงมีผลงานแค่เล็กน้อยกลับกล้าหยิ่งผยอง ไม่ฟังวาจาส่วนรวม อีกทั้งยังกล้าหลบหนีเอาตัวรอดทิ้งหอโอสถไปอย่างไม่สนใจใยดี ‘พวกมัน’ นับว่าขี้ขลาดไร้ความรับผิดชอบยิ่งนัก"

สิงชี่หลานยังคงปากร้ายนัก แม้เฉียวไป่ชี่จะไม่อยู่ในที่แห่งนี้แล้ว ทว่านางยังไม่วายจะกล่าวเสียดสีมัน นับว่าปากของนางนั้นช่างโหดร้ายไม่ผิดอะไรกับอุปนิสัยของนางนัก

และถึงแม้ว่าเฉียวไป่ชี่ผู้นั้นจะไม่อยู่ แต่ทว่าในโถงประชุมแห่งนี้ยังเหลือผู้สนับสนุนที่จงรักภัคดีกับมันอีกถึง 2 คน ซึ่งเจตนาการกล่าววาจาครั้งนี้ของสิงชี่หลาน จุดประสงค์คงไม่พ้นกระแทกแดกดัน 2 คนนี้นี่เอง

วาจาครั้งนี้นับว่าเป็นการตีวัวกระทบคราดที่เหนือชั้นนัก (*ว่าคนหนึ่ง ให้มันไปกระทบอีกคนหนึ่ง)

แม้แต่ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 ของหอโอสถ โหย่วขุย ก็กล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะและลูบเคราว่า “ผู้นำหอ นับว่าเป็นดั่งที่หวังลี่กล่าวมาไม่มีผิดเพี้ยน ยามนี้หอโอสถเรานับว่าถูกโชควาสนาหล่นทับเข้าให้แล้ว พวกเราควรคว้าโอกาสครั้งนี้และใช้มันให้ดี”

ทว่ายามนี้ใบหน้าของซ่งเทียนสิงยิ่งมายิ่งเลวร้าย มันนั่งฟังคำกล่าวยกเมฆลอยไปลอยมาอย่างนิ่งเฉย

แต่ทว่าในใจของมันนั้น มันกลับรู้สึกสิ้นหวังและอับจนหนทางอย่างมาก

มันไม่คิดเลยว่าความสัมพันธ์ของบุคคลเหล่านี้จักเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้ ตอนนี้มันไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใด เฉียวไป๋ชี่จึงถูกกลุ่มคนพวกนี้รุมต่อต้านและขัดขวางนัก

ทว่าเรื่องแปลกก็คือ คนพวกนี้กลับไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าหากพวกมันเติบโตและขยายอำนาจไปมากขึ้นแล้วจะเกิดผลลัพธ์อันใดตามมา

หากหอโอสถสามารถขยายกิจการ หรือสร้างสาขามากมายไปทั่วอาณาจักรแล้วเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจริง เหตุใดเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมานี้ พวกมันจึงไม่คิดกระทำ?  เหตุใดพวกมันจึงไม่ขยายตัวเล่า?

นี่เพราะสิ่งนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำ และนับว่าเป็นข้อห้ามที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง!!

เรื่องขุนนางมังกรทะยานพึ่งผ่านพ้นไปนานสักเท่าไรกัน? แต่กลุ่มคนพวกนี้กลับลืมหมดเสียสิ้นแล้ว?

ทางราชวงศ์จักยินยอมให้อำนาจใด ๆ ขยายขอบเขตของพวกมันโดยไม่จำกัดเช่นนั้นหรือ หรือจะยินยอมให้พวกมันขยายสาขาเพื่อแทรกซึมไปทุกส่วนของอาณาจักร วางอำนาจไปทั่วอะไรทำนองนั้นในอนาคต?

นี่มันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของคนรนหาที่ตายเท่านั้น

ถึงแม้หอโอสถจะไม่คิดสั่งสมกำลัง  เรื่องนี้ก็ต้องไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างเป็นอันขาด หากกิจการครอบคลุมไปทั่วเช่นนั้นอิทธิพลย่อมเพิ่มพูนเป็นเงาตามตัวอยู่แล้ว และสุดท้ายก็ไม่วาย ต้องมีเรื่องขัดแย้งกับทางราชวงศ์อยู่ดี

ขุนนางมังกรทะยานนับว่าเป็นตัวอย่างที่สำคัญ หลังจากนี้มันคงแปลกถ้าราชวงศ์ตะวันออกจะยังยินยอมให้กลุ่มคนหรือผู้ใดก็ตามมีอำนาจมากมายดั่งเช่นหลงเส้าเฟิงปรากฏตัวขึ้นมาอีก

เรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งคือ ตรรกะง่าย ๆ เช่นนี้ กลับไม่มีผู้ใดในหมู่อาวุโสเหล่านี้สำนึกรู้เพียงสักคน จิตใจของพวกมันยามนี้เต็มไปด้วยความโลภโมโทสัน และหวังขยายกิจการโดยไม่ฉุกคิดเรื่องนี้แม้แต่น้อย

เมื่อเห็นว่าซ่งเทียนสิงยังไม่กล่าวอะไรออกมา ผู้ดูแลหอโอสถลำดับที่ 2 โหย่วขุย ได้กล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะอีกครั้งว่า  "ท่านผู้นำตอนนี้ทุกคนล้วนแต่มีเป้าหมายเดียวกัน เหตุใดท่านไม่คิดกล่าวอันใดบ้างเล่า? "

สิ้นคำพูด ซ่งเทียนสิงก็เงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจขึ้นมา พร้อมทั้งกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า "ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้ากำลังจะทำสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องดีกับหอโอสถ แต่วันนี้เรื่องที่ข้าจะกล่าวมีเพียง 2 เรื่องเท่านั้น "

"ประการแรก ข้าขอกล่าวถามพวกเจ้าหน่อยว่า ในใต้หล้านี้ ขุนนางทะยานมังกรนั้นนับได้ว่าแข็งแกร่งเกรียงไกรที่สุด แต่ว่าเพราะเหตุใดมันถึงล่มสลาย และสิ้นสูญทั้งตระกูลกันเล่า?"

"ประการที่สอง ผู้ใดในที่นี้สามารถเติมเต็มช่องว่างจากการขาดเฉียวไป่ชี่ไปได้บ้าง? ในหมู่พวกเจ้าผู้ใดมีความสามารถที่จะหลอมสร้างโอสถ ทั้ง 3 ชนิดนั่น? ข้าจะขอพูดอย่างเป็นทางการและให้คำสัตย์ตรงนี้เลยว่า หากมีผู้ใดที่สามารถแทนที่เฉียวไป่ชี่ และสามารถรับผิดชอบในการสร้างโอสถ และสามารถแก้ปัญหายอดสั่งซื้อที่พวกเราไม่สามารถทำกระไรได้ในตอนนี้ ข้าจะให้มันกลายเป็นผู้นำหอโอสถแห่งนี้ทันที "

และซ่งเทียนสิงยังกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงธรรมดาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหลังจากที่มันกล่าวไปแล้วทุกคนล้วนไม่มีผู้ใดปริปากออกมา  "เหตุใดพวกเจ้าไม่มีผู้ใดตอบคำข้าเล่า?"

เมื่อสังเกตเห็นว่าท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจของซ่งเทียนสิงเริ่มลดน้อยลง บรรยากาศก็ค่อย ๆ กลับมาสงบอีกครั้ง

โหย่วขุยแค่นยิ้มก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า "สำหรับเรื่องที่ขุนนางมังกรทะยานนั้นถูกทำลาย ข้าว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ผู้ใดจะสามารถคาดเดาได้กันล่ะว่า เจี้ยงเฉินเพียงคนเดียวกลับสามารถจัดการกองทัพนับล้านของมันได้?"

“อันที่จริงแล้ว มันอาจจะเป็นเรื่องของโชควาสนา ขุนนางมังกรทะยานคงถูกสวรรค์ลิขิตมาแล้วว่าจักไม่มีวันยิ่งใหญ่ได้ "

“หากจะว่าไปเรื่องราวครั้งนี้ก็พลิกผันหลายครั้งหลายครานัก ข้าเคยคิดว่านี่เป็นบทสรุปอันยาวนานสำหรับตระกูลหลงที่จะมีชัยเหนืออาณาจักรนี้  ใครจะคาดคิดว่าผลสุดท้ายจะลงเอยเช่นนี้?”

"ฮ่าฮ่า ถูกแล้ว สุดท้ายเรื่องราวครานี้ก็ล้วนส่งผลดีต่อพวกเราทั้งสิ้น"

ผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนไม่ยี่หระอันใดทั้งสิ้น ยามกล่าวถึงเรื่องราวของตระกูลหลง ตอนที่ตระกูลหลงเรืองอำนาจ พวกเขาได้มาบังคับขู่เข็ญหอโอสถ พวกอาวุโสเหล่านี้ก็ยินดีส่งมอบเฉียวไป่ชี่ไปให้ โดยไร้ความสนใจในตัวเฉียวไป่ชี่แม้แต่น้อย ยามนี้พอตระกูลหลงหมดสิ้นอำนาจ พวกมันก็ยินดีที่จะเหยียบย่ำตระกูลหลงและหันไปหาราชวงศ์ ..ไม่ต่างอะไรกับนกสองหัว

แต่ทว่าคิ้วของซ่งเทียนสิงกลับขมวดเป็นปมเมื่อได้ยินคำตอบของพวกมัน

เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนที่จะหันไปมองผู้ดูแลหอลำดับที่ 4 แล้วกล่าวถามออกมา "อาวุโส 4 ไหนท่านลองลุกขึ้น แล้วกล่าวบอกข้อผิดพลาดที่ทำให้ขุนนางมังกรทะยานนั้นล้มเหลวจนถึงคราวจบสิ้นแก่ข้าฟังที ว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะสาเหตุใด? "

หวังลี่ย่อมรู้ดีว่า คำถามนี้เป็นบททดสอบของผู้นำหอโอสถ  มันไม่กล้าที่จะตอบออกมาอย่างส่งเดช มันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวตอบออกมาอย่างฉะฉาน "ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโชคชะตาของขุนนางมังกรทะยานผู้นี้ นับว่าไม่ได้กล้าแข็งไปกว่าโชคชะตาของราชวงศ์ตะวันออกมากนัก อีกทั้งราชวงศ์ตะวันออกก็สั่งสมบารมีมายาวนาน ทำให้โชคชะตาของพวกมันกล้าแข็งกว่าขุนนางมังกรทะยาน จะว่าไปเรื่องนี้นับว่าสอดคล้องกับการที่ผู้นำหอไม่ยินดีที่จะเข้าร่วมกับพวกมันคราก่อน นี่นับว่าท่านเฉียบขาดและมีความคิดรอบคอบยิ่งนัก "

หวังลี่กล่าววาจาในเชิงยกยอซ่งเทียนสิงออกมาแทบไม่แตกต่างอันใดกับการจูบก้นแม้แต่น้อย ตอนนั้นในขณะที่ทุกคนอยากส่งตัวเฉียวไป่ชี่ให้กับหลงเส้าเฟิง หรือตอนที่ต้องเลือกว่าจะยินยอมสยบแก่มันหรือไม่ ก็เป็นซ่งเทียนสิงผู้นี้ที่ล้วนไม่เห็นด้วยทั้งสิ้น  อีกทั้งมันยังอยากตบปากทุกคนที่กล่าวออกมาว่าจะยอมสยบแก่หลงเส้าเฟิงออกมาเสียด้วยซ้ำหลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากอาวุโสชุนผู้นั้น

ยามนี้ความจริงย่อมกระจ่างแจ้งแล้วว่า หากตอนนั้นหอโอสถเลือกที่จะปฏิเสธไม่เข้าร่วมกับหลงเส้าเส้าเฟิงนั้น นับว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรกระทำอย่างถึงที่สุด

มิเช่นนั้นแล้วยามนี้ทางหอโอสถคงไม่ต้องกังวลเรื่องความโปรดปรานจากทางราชวงศ์เลย อีกทั้งเฉียวไป่ชี่ก็ยังอยู่ไม่ได้จากไปในลักษณะนี้

หลังจากที่หวังลี่กล่าวตอบออกมา มันย่อมคิดว่าคำตอบของมันช่างเลิศเลอเสียนี่กระไร ...ส่วนทางด้านซ่งเทียนสิงนั้นเมื่อได้ยิน ถึงกลับส่ายหน้าออกมาอย่างละเหี่ยใจ หวังลี่ผู้นี้อย่าว่าแต่จะเอามันไปเปรียบเทียบกับเฉียวไป่ชี่เลย แค่คุณสมบัติที่จะมีสิทธิไปเปรียบเทียบกับเฉียวไป่ชี่ มันยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ

เขาอุตส่าห์ยกคำถามแรกขึ้นมา เพื่อให้พวกมันตระหนักถึงจุดจบและผลลัพธ์ความทะเยอทะยานของตระกูลหลงที่อยากจะขยายตัวและหวังจะก้าวหน้าแล้วแท้ ๆ พวกมันกลับไม่สำนึกได้เสียอย่างนั้น

ธุรกิจและการค้านั้นย่อมสามารถขยับขยายได้...แต่ทว่า อาณาเขตและอิทธิพลนั้น ย่อมไม่มีวันขยายตัวเติบโตได้อย่างแน่นอน

น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจความตั้งใจของมันแม้แต่น้อย

ทว่าทันใดนั้นเอง อาวุโสคนหนึ่งที่นั่งอยู่มุมขวาสุดของห้องประชุมก็ยกมือขึ้นมาพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างสุภาพว่า "ท่านผู้นำหอ ข้ามีวาจาจะกล่าว ขออนุญาตกล่าวออกมาได้หรือไม่?"

ผู้อาวุโสที่ยกมือขึ้นมาผู้นี้คือผู้อาวุโสหนิงและมันเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของเฉียวไป่ชี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ตอนนี้นั้นมันถูกอาวุโสอื่น ๆ รุมกดดันและบีบคั้นทุกทิศทาง นับว่ามันไม่เหลือโอกาสในการก้าวหน้าใด ๆ ในหอโอสถแห่งนี้แล้ว

คนอื่นนั้นเผยรอยยิ้มออกมาจาง ๆ เมื่อเห็นว่าผู้ใดกำลังจะพูด พวกมันทำท่าทางเหมือนรอคอยตัวตลกที่จะออกมาแสดงในโรงละคร

"อาวุโสหนิง ผู้นำหอมิได้กล่าวถามกระไรเจ้าแม้แต่น้อย แล้วเจ้าจะสอดปากคำอันใดอีกเล่า หรือเจ้าพยายามจะพูดกลับดำเป็นขาวอันใดในยามนี้อีก? "คำพูดเยาะเย้ยถากถางของอาวุโสสิงชี่หลานดังขึ้น

"อาวุโสสิงชี่หลานหากข้าจำมิผิด ตำแหน่งของเจ้าก็มิได้สูงส่งอันใดไปกว่าข้า ข้าคิดว่าท่านไม่น่าจะมีสิทธิ์ที่จะกำหนด รวมทั้งห้ามมิให้ข้าพูดหรือกระทำสิ่งใดหรอกนะ ท่านว่าจริงหรือไม่? "อาวุโสหนิงมองไปยังอาวุโสสิงชี่หลานด้วยแววตาแข็งกร้าวก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างไม่ยอมสยบ

"เจ้า ... เจ้า... เหอะ! ข้าก็หาได้อยากลดตัวลงไปเสวนากับเจ้าไม่" อาวุโสสิงชี่หลานกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่จะนั่งลงทันที

"อาวุโสหนิง ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร? โปรดกล่าวออกมาเถิด"

ซ่งเทียนสิงได้ตระหนักถึงมิตรภาพและความสำพันธ์ระหว่างอาวุโสผู้นี้กับเฉียวไป่ชี่ และเขาก็รับรู้ว่าอาวุโสผู้นี้เป็นผู้ที่สนับสนุนเฉียวไป่ชี่และอยู่ข้างมันจนถึงที่สุด  เมื่อเขามีความรู้สึกดี ๆ กับเฉียวไป่ชี่แล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะมีความรู้สึกดี ๆ กับผู้สนับสนุนของเฉียวไป๋ชี่ด้วย

"ท่านผู้นำหอ ตัวข้านั้นเป็นคนตรงไปตรงมาและอาจจะกล่าววาจาหยาบคายไปบ้าง ข้าขอให้ท่านอภัยให้กับคำกล่าวของข้าหลังจากนี้ด้วย" ดูเหมือนว่าอาวุโสหนิงผู้นี้มีวาจาจะกล่าวออกมาไม่น้อย

"ท่านพูดสิ่งที่ท่านคิดออกมาให้หมดเถิด พวกเรานับว่าเป็นคนกันเองทั้งนั้น แล้วท่านคิดว่าท่านจะมีความผิดอะไรเล่า? ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เพื่ออนาคตของหอโอสถนี้ทั้งสิ้น" ซ่งเทียนสิงกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด

"เอาล่ะเมื่อท่านยืนยันเช่นนี้ ข้าก็จะขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ข้ารู้สึกว่าคำตอบที่อาวุโสและท่านผู้ดูแลที่กล่าวออกมาทั้งหมดนั้น ยังไม่ใช่คำตอบที่ตรงประเด็นสักเท่าไรสำหรับคำถามของผู้นำหอ  ผู้นำหอ ท่านกล่าวถามว่าเหตุใด ขุนนางมังกรทะยานถึงจบสิ้นใช่หรือไม่? นี่ง่ายดายนัก ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะอิทธิพลและอำนาจของมันสามารถคุกคามเจ้านายของตนได้อย่างไรเล่า! "

“เหตุเพราะในปีนี้นั้น ตระกูลหลงได้พยายามรวบรวมกำลังและอิทธิพลต่าง ๆ พวกมันพยายามรวบรวมเหล่าขุนนางต่าง ๆ จนอำนาจและอิทธิพลของพวกมันแผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายพวกมันก็มีอำนาจที่มากพอที่จะโค่นล้มราชวงศ์ และนี่คือ สาเหตุของความหายนะทั้งหมด และพวกมันจุดประกายหายนะนี้ขึ้นมาด้วยตัวพวกมันเองทั้งสิ้น! "

อาวุโสหนิงหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าววาจาสืบต่อไป "ทุก ๆ ท่านกล่าวว่าจะใช้โอกาสอันดีราวกับฟ้าประทานนี้ แผ่ขยายสาขาของหอโอสถเพื่อความเจริญก้าวหน้า  ...เหอะ ข้าขอบอกไปเลยว่า ตัวข้าหาได้มองโลกในแง่ดีอย่างพวกท่านไม่ สำหรับข้า การกระทำนี้นับเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างถึงที่สุด และมันไม่ใช่แค่เพียงการกระทำที่ผิดพลาดธรรมดาเท่านั้น แต่พวกท่านกำลังนำหอโอสถแห่งนี้ไปสู่หนทางแห่งความล่มสลายอย่างแท้จริง!! "

แววตาของซ่งเทียนสิงถึงกับส่องประกายออกมาหลังจากที่ได้รับฟังคำกล่าวของอาวุโสหนิง ทีแรกตัวมันนั้นล้วนสิ้นหวังแล้ว ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจตื้นลึกหนาบางได้ถึงเพียงนี้

แต่ดูเหมือนว่าอาวุโสหนิงผู้นี้กลับอ่านสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก นับว่ามันเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง คำกล่าวที่ว่า[คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บันฑิตพาไปหาผล] นั้นนับว่าถูกต้องอย่างแท้จริง อาวุโสหนิงผู้นี้ติดตามเฉียวไป่ชี่มาเป็นระยะเวลานาน ตัวมันเองย่อมมีความคิดอ่านและมีความรู้อย่างแท้จริง

“หากพวกท่านขยายอิทธิพลของหอโอสถแห่งนี้ไปตามเมืองต่าง ๆ แล้วล่ะก็ ยามนั้นอิทธิพลของหอโอสถย่อมนับได้ว่ามีไม่น้อย และวันที่ราชวงศ์จะเกิดความเคลือบแคลงใจย่อมมาถึงอย่างแน่นอน ตระกูลหลงนับว่าเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดแล้วแท้ ๆ แต่พวกท่านกลับหาได้สำเหนียกไม่ หอโอสถของเรานับว่ามีชื่อเสียงมายาวนานนัก เหล่าบรรพบุรุษที่มีความรู้ความสามารถย่อมมีมากมาย เหตุใดพวกเขาถึงไม่แผ่ขยายอิทธิพลเล่า?”

“เหตุใดพวกเขาไม่ขยายสาขาไปทั่วเมืองต่าง ๆ เล่า?  พวกท่านมิสงสัยกันบ้างหรือว่า เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำเช่นนั้น? นี่เป็นเพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นคนฉลาด พวกเขารู้ว่าธุรกิจนั้นย่อมให้มันเป็นเพียงธุรกิจเท่านั้นถึงจะเป็นการดี พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอันใดที่ไม่จำเป็น พวกเขาจึงไม่เพิ่มพูนอิทธิพลหรือขยายตัวใด ๆ ที่จะก่อให้เกิดความกินแหนงแคลงใจกับทางราชวงศ์อย่างไรเล่า ... นี่ไม่ใช่การขยายตัวหรือเติบโตใด ๆ ทั้งสิ้น - นี่มันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!”

อาวุโสหนิงกล่าวจบก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา หลังจากนั้นมันก็สูดหายใจเข้าราวกับว่ามันได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่อัดอั้นออกมาในยามนี้จนหมดสิ้น

ก่อนที่มันจะนั่งลงอย่างหนักแน่น มันกล่าวทิ้งท้ายว่า "ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำที่ข้าคิดจะกล่าว หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินแล้ว"

นี่เห็นได้ชัดว่า อาวุโสหนิงผู้นี้ย่อมคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนอย่างดีแล้วก่อนที่จะกล่าวออกมา มันหาได้เกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไป เพราะอย่างไรเสีย ยามนี้มันก็ถูกลอยแพอยู่แล้ว เช่นนั้นมันจะกลัวอะไรอีก? ในเมื่อมันอยากจะพูดอะไรมันก็แค่พูดออกมา จะต้องไปรู้สึกผิดหรือคิดว่าไม่เหมาะไม่ควรไปเพื่ออะไรอีก?

มีคำกล่าวที่ว่า คำกล่าวของผู้รู้แจ้งไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาอธิบาย แม้แต่ผู้ที่กำลังหลงทางหรือหูหนวกตาบอดเช่นไรก็ตาม เมื่อได้ตระหนักถึงคำพูดดังกล่าวอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกมันก็จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ และถึงแม้พวกมันจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ถึงเพียงไร แต่ในใจของพวกมันย่อมได้คิดว่าผิดชอบชั่วดีเป็นอย่างไร

..ด้วยเหตุนี้เรื่องราวของขุนนางมังกรทะยานนั้น นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ในเรื่องของความมักใหญ่ใฝ่สูง

และคำกล่าวนี้ก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้หวังลี่ที่ได้ฟังนั้น สีหน้ามันพลันแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว นี่เพราะคำกล่าวนี้ของอาวุโสหนิงไม่ต่างอะไรกับการตบหน้ามันกลางตลาด

"เฮอะ อาวุโสหนิง ไม่คิดบ้างเหรอว่าคำกล่าวของท่านมันเกินจริงเกินไป เห็นหรือไม่ว่าท่านขู่ขวัญให้ผู้คนหวาดกลัวมากมายแล้ว" หวังลี่กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ

 

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.