หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 113 อาจารย์ชูหยู่

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

'นิกายตะวันม่วง'  ชื่อนี้นับว่าเป็นการดำรงอยู่ของนิกายระดับตำนานของ 16 อาณาจักร

นิกายนี้นับว่าเป็นนิกายที่ลึกลับและซ่อนเร้นสำหรับบุคคลทั่วไปอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์ที่ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนอยากเข้ามาเป็นศิษย์ หากผู้ฝึกตนคนไหนมีความสามารถเข้าตาหรือดึงดูดอาวุโสสักคนในนิกายได้แล้วล่ะก็ หนทางผู้ฝึกตนของมันจะรุ่งโรจน์โชติช่วงอย่างแน่นอน การก้าวเดินไปยังหนทางผู้อมตะคงไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝัน

ภายในกลุ่มพันธมิตร 16 อาณาจักรนั้น นับว่ามีนิกายอยู่มากมายหลากหลายนิกาย แต่นิกายตะวันม่วงนี้ เป็นถึง 1 ใน 4 นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้ง 16 อาณาจักร

แสดงแดดทอประกายส่องสว่างสะท้อนสายธารา... ณ  บริเวณตำหนักกลางนทีของนิกายตะวันม่วง

ผิวน้ำราบเรียบไม่ต่างอะไรกับกระจกเงา ทอประกายระยิบระยับราวกับดวงดารานับล้าน ทุกคราที่สายลมพัดผ่านก่อให้เกิดคลื่นน้ำเบา ๆ จะบังเกิดแสงพร่างพราวราวประกายเพชรส่องสะท้อนระยิบระยับวับวาวไปมา

ทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบส่วนตัวของชูหยู่ ในทะเลสาบมีเกาะเล็ก ๆ ยิบย่อยมากเรียงรายกันราวกับกระดานหมากรุก  และนี่เป็นสถานที่พักส่วนตัวที่ชูหยู่มักใช้พักอาศัย

ทะเลสาบของชูหยู่นี้ นับว่ามีบรรยากาศดีนัก ยามเช้าแสงแดดอ่อน ๆ จะส่องทะลุผ่านไอม่านหมอกเหนือผิวน้ำก่อให้เกิดภาพงดงาม สร้างความสบายตาให้แก่ผู้ได้รับชม

ภายในห้องโถงที่ประดับประดาไว้ด้วยเพชรนิลจินดาอัญมณีงดงามล้ำค่ามากมาย ที่ตั้งอยู่ในเกาะส่วนลึกที่สุดหรือบริเวณใจกลางหมู่เกาะ อันเป็นห้องทำงานของอาจารย์ชูหยู่

แผ่นโลหะที่ทำมาจากเหล็กเย็นดูแข็งแกร่งราวกับจะไม่มีวันพังทลายถูกแขวนไว้เหนือประตู ตัวอักษร ‘ชูหยู่’ ถูกสลักเอาไว้ด้วยตัวอักษรที่ดูคล้ายอักขระจีนโบราณที่มีไว้สำหรับเขียนอาคมจารึกต่าง ๆ มันตั้งตระหง่านอยู่อย่างทรงพลังและทำให้ผู้ที่ได้มองรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าของห้องแห่งนี้

ในห้องโถง ฉูชิงหานยืนอยู่ด้านหน้าในขณะที่ ยูจิและหลงยู่ซื่อ ยืนอยู่เยื้องไปทางด้านหลังทางขวาของฉูชิงหาน พวกเขายืนกันอย่างสำรวมต่างคนก้มศีรษะ ทำตัวสุภาพเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

ร่างสตรีนางหนึ่งที่ดูสูงส่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์ดอกบัว นางดูมีอายุราว ๆ 30 ปี ท่าทางสูงศักดิ์ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวนางแฝงไว้ด้วยความหรูหราราวกับราชินี

แต่ทว่าเมื่อนางเปิดตาออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับสายตาของนางราวกับมีมนต์สะกด อีกทั้งยังทรงอำนาจ จนสะกดข่มขวัญผู้คน จนยากที่จะหาผู้ใดกล้าสบตากับนาง

"ชิงหาน ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องราวอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ อย่าได้พลาดหรือข้ามไปสักหนึ่งส่วน  ยูจิ หลงยู่ซื่อ เจ้าทั้งสองก็ตั้งใจฟังด้วยเช่นกัน หากชิงหานพลาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป พวกเจ้าก็บอกข้ามา "

เห็นได้ชัดว่าสตรีที่ดูทรงอำนาจผู้นี้ คืออาจารย์ชูหยู่นั่นเอง

ฉูชิงหานพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการรับคำ เขาสงบสติและนึกย้อนทวนเหตุการณ์ในใจอย่างละเอียด ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบที่หุบเขาบรรจบตั้งแต่ต้นจนจบออกมาโดยไม่ได้ปิดบังอะไรแม้แต่น้อย 

ฉูชิงหานได้บอกกล่าวคำพูดของบุคคลลึกลับผู้นั้นที่ได้ขัดขวางเขาเอาไว้ออกมา โดยไม่ตกหล่นแม้แต่ครึ่งคำ เขาพยายามเล่าทุกอย่างให้ครบถ้วนโดยไม่ให้พลาดอะไรสักอย่าง

เมื่อได้ฟังฉูชิงหานเล่าจนจบ ชูหยู่ก็หันไปมองยูจิและหลงยู่ซื่อ ราวกับนางต้องการคำยืนยันว่าเรื่องราวทั้งหมดมีเท่าที่ชิงหานเล่ามาหรือไม่

"ท่านอาจารย์ สิ่งที่ศิษย์พี่ชิงหานเล่ามานั้น นับว่าละเอียดมากขอรับ นั่นเป็นคำพูดที่บุคคลลึกลับผู้นั้นกล่าวเอาไว้ ... ไอ้เด็กเจี้ยงเฉินนั่น หยิ่งยโสและจองหองนัก มันไม่ให้เกียรติท่านอาจารย์ชูหยู่แม้แต่นิด " ยูจิถึงกับฟันดังกรอดด้วยความโกรธ เมื่อนึกถึงการปะทะของเขากับเจี้ยงเฉิน

"เฮอะ เรื่องไร้สาระเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง" ชูหยู่แค่นเสียงหัวเราะออกมา นางรู้สึกว่า ยูจินี่ไม่ค่อยได้ความสักเท่าไร

หากเพียงยูจิสามารถจัดการเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ฉูชิงหานอาจไม่ต้องลงมือ เรื่องราวคงไม่ยืดเยื้อจนมีเวลาให้บุคคลลึกลับผู้นั้นโผล่ออกมาช่วยเจี้ยงเฉินได้ทันเวลา

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

แต่โดยรวมแล้ว ชูหยู่เองก็รู้สึกไม่พอใจกับความไม่เอาไหนของยูจิเช่นกัน

แต่ทว่าเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ชูหยู่นั่นค่อนข้างลำเอียงมากนัก นางนั้นไม่ใส่ใจเรื่องราวความผิดพลาดหรือสิ่งที่หลงยู่ซื่อกระทำ  แม้นางจะรู้ว่าความบาดหมางระหว่างเจี้ยงเฉินและหลงยู่ซื่อว่าเป็นอย่างไร แต่นางก็เลือกที่จะเข้าข้างหลงยู่ซื่ออยู่ดี

และถึงแม้ฉูชิงหานพยายามบอกเรื่องความน่าหวาดกลัวของบุคคลลึกลับที่สอดมือเข้ามาสักเท่าไร  แต่ชูหยู่ที่ภาคภูมิและทระนงตนอย่างมาก นางอาศัยลำแข้งของตนไต่เต้าจนมาถึงจุดนี้ นางจะหวาดกลัวผู้อื่นได้อย่างไร?

จะให้นางหวาดกลัวผู้อื่นและยินยอมรับฟังคำพูดของผู้ใดก็ไม่รู้ ที่ข่มขู่ลูกศิษย์ของนางเช่นนั้นหรือ?

"ซื่อเอ๋อ ยามเจ้าเกิดนั้นได้เกิดปรากฏการณ์ผันผวนของพลังฟ้าดินอย่างมาก สิ่งนี้คืออะไร เจ้ารู้หรือไม่? นั่นหมายความเจ้าเป็นอัจฉริยะที่สามารถสะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้อย่างไรเล่า สุดท้ายเจ้าก็จะอยู่เหนือคนผู้อื่น จะอย่างไรเสีย อีกไม่นานเจ้าก็ต้องตัดความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวอยู่ดี อีกทั้งหากเจ้ามีศัตรูที่เจ้าแค้นเคือง อาจารย์ผู้นี้ย่อมไม่คิดสอดแทรกลงมือ แต่มันผู้นั้นจะต้องถูกเจ้าสังหารด้วยมือของตัวเจ้าเอง เพื่อไม่ให้มีจุดด่างพร้อยในใจ ที่จะเป็นตัวขัดขวางความก้าวหน้าของเจ้าได้ ส่วนเรื่องที่เจ้าไม่เหลือผู้ใดนั้นอย่าได้กังวล "

หลงยู่ซื่อรับรู้ได้ว่าอาจารย์นั้นกล่าวปลอบใจนาง นางสะอื้นเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวออกมาราวกับน้อยใจ "ซื่อเอ๋อไม่มีผู้ใดคอยดูแลอีกแล้ว ยามนี้ซื่อเอ๋อเหลือเพียงอาจารย์ที่สง่างามและสูงส่งให้พึ่งพิงเท่านั้น"

อาจารย์ชูหยู่นั้นแม้จะอยู่มานานและแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ก็ทุกคนในนิกายก็รู้ดีว่านางนั้นบ้ายอถึงเพียงใด

"เจี้ยงเฉินผู้นี้เป็นใครกันแน่ มันสามารถบังคับให้เหล่านกหงส์ร่วมประสาน ก่อตั้งค่ายกลโดยไม่หวาดกลัวแม้กระทั่งความตายได้อย่างไร?"

แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างชูหยู่เองก็ไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ ต้องรู้ก่อนว่าความสามารถในการบังคับสัตว์อสูรนั้นค่อนข้างหายากและลึกลับเป็นอย่างมาก

บางนิกายก็มีอยู่บ้างที่มีผู้มีความสามารถเกี่ยวกับการควบคุมหรือบังคับจิตสัตว์อสูร แต่ทว่าก็มีจำนวนน้อยเพียงหยิบมือ

บางคนก็ใช้ยันต์ควบคุม บางคนใช้อักขระอาคมหรือวิชาลับอื่น ๆ และแน่นอนว่าย่อมมีผู้ที่ใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ส่วนตัวในการควบคุมบังคับจิตวิญญาณของสัตว์อสูร

แต่ไม่ว่าอะไรส่วนมากมันจะเป็นความลับในนิกายนั้น ๆ และไม่แพร่งพรายออกไป

แม้แต่ในนิกายตะวันม่วงเอง ผู้ที่มีความสามารถนี้นับว่าน้อยนิดนัก กล่าวตรง ๆ นิกายตะวันม่วงแห่งนี้แทบจะปราศจากผู้ที่มีความสามารถเกี่ยวกับการควบคุมสัตว์อสูรเลยก็ว่าได้

ดังนั้นอาจารย์ชูหยู่จึงอยากรู้เรื่องราวของเจี้ยงเฉินผู้นี้พอสมควร

แต่ไม่ว่านางจะอยากรู้เกี่ยวกับเจี้ยงเฉินมากเท่าไรก็ตาม แต่ชูหยู่ยังคงให้ความสนใจอัจฉริยะที่หาได้ยากอย่างหลงยู่ซื่อมากกว่า สายเลือดของฟินิกส์เหมันต์นั้นไม่ใช่จะเป็นอะไรที่พบกันได้ง่าย ๆ แม้แต่ในนิกายตะวันม่วงที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานก็พบได้น้อยครั้งมาก

การเกิดมาแล้วมีสายเลือดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?

นั่นหมายความว่าการตัดผ่านไปยังระดับปราณจิตหรืออาณาจักรวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น พวกมันจะไร้ซึ่งคอขวดใด ๆ ทั้งสิ้น และหนทางการฝึกฝนบ่มเพาะหลังจากเข้าสู่อาณาจักรวิญญาณไปแล้วนั้น จะราบรื่นง่ายดายกว่าผู้อื่นมากมายหลายเท่านัก อีกทั้งความก้าวหน้าและความรวดเร็วในการบ่มเพาะยังเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกฝนทั่วไปอย่างทาบไม่ติด

"ชิงหาน อาจารย์มีภารกิจให้เจ้าไปกระทำ เจ้าจงไปสืบค้นชาติกำเนิดและเรื่องราวของเจี้ยงเฉินผู้นี้มาอย่างละเอียด แต่ว่าเจ้าไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายอันใดกับมัน "

อาจารย์ชูหยู่มอบหมายหน้าที่ให้แก่ชิงหาน แม้นางจะเป็นคนที่ค่อนข้างลำเอียง แต่ทว่านางก็ห่วงใยศิษย์ทั้งสองคนด้วยเช่นกัน ถึงแม้นางจะชื่นชอบหลงยู่ซื่อมากกว่าก็เถิด แต่นางก็ไม่ได้ยินดีที่จะส่งชิงหานไปสู่เส้นทางสายมรณะ

เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ฉูชิงหานยังคงเป็นหนึ่งในศิษย์อัจฉริยะสามอันดับแรก เนื่องจากบุคคลลึกลับผู้นั้นกล่าวเตือนไว้แล้วว่าห้ามยุ่งวุ่นวายกับเจียงเฉิน นางก็ไม่คิดจะเสี่ยงให้ฉูชิงหานไปจัดการมัน

แต่ทว่าการไปตรวจสอบนั้นผิดกัน เพราะนี่ไม่ได้เป็นการไปยุ่งวุ่นวายอะไรมันโดยตรงเสียหน่อย

"ซื่อเอ๋อ" ชูหยู่หันไปมองหลงยู่ซื่ออีกครั้ง "แม้แม้ว่าเจี้ยงเฉินผู้นี้จะมีความสามารถประหลาดอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเวลาผ่านไป จะอย่างไรความสามารถของเจ้าย่อมเหนือล้ำกว่ามันมากขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่มีอะไรเทียบกับสายเลือดของเจ้าได้ อีกไม่เกิน 8 – 10 ปี รับรองว่าเจ้าได้กำจัดมันด้วยมือของเจ้าอย่างแน่นอน "

คำพูดของชูหยู่นั้นมีความนัยแฝงอยู่เล็กน้อย สิ่งที่นางต้องการจะสื่อกับหลงยู่ซื่อจริง ๆ แล้วก็คือ "ไม่ต้องกังวล จะอย่างไร อาจารย์ของเจ้าผู้นี้ก็จะช่วยเหลือเจ้าจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าฆ่ามันได้"

อย่างไรก็ตามในฐานะที่นางเองก็เป็นอาจารย์คนหนึ่งในนิกาย นางไม่อาจเสี่ยงส่งศิษย์ในนิกายไปลงมือกับเจี้ยงเฉินได้ หากบุคคลลึกลับผู้นั้นอยู่คุ้มครองเจี้ยงเฉินจริง คนที่ส่งไปอาจจะต้องตายเปล่า และอาจนำความเดือดร้อนมาสู่นิกายได้

หลงยู่ซื่อเป็นคนฉลาด นางย่อมเข้าใจ "ท่านอาจารย์อย่าได้กังวล แม้ความบาดหมางของข้ากับเจี้ยงเฉินยากที่จะลงรอยกันได้ แต่ข้ามีท่านอาจารย์คอยดูแลเช่นนี้ มันย่อมไม่สามารถทำอะไรข้าได้ อีกทั้งด้วยการอบรมสั่งสอนของผู้ที่แข็งแกร่งและปราดเปรื่องเช่นท่าน ข้าเชื่อว่าอีกไม่นาน มันต้องไม่มีแม้ปัญญาจะตอบโต้ข้าได้  เมื่อข้าเจอมันอีกครั้งในภายหน้า ตอนนั้นการฆ่ามันคงไม่ต่างอะไรกับการกำจัดสุนัขสักเท่าไร "

อาจารย์ชูหยู่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "เจ้ามีสายเลือดที่แข็งแกร่งและทรงพลังตั้งแต่กำเนิด ศักยภาพและสำนึกรู้ของเจ้าก็ไม่ใช่ธรรมดา   ซื่อเอ๋อ หากเจ้าไม่ได้ฆ่าเจี้ยงเฉินด้วยมือตัวเอง หรือใช้ผู้อื่นไปเข่นฆ่ามัน มันจะเป็นจุดด่างพร้อยในเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเจ้า จุดด่างพร้อยนี้อาจส่งผลต่อเจ้าในยามที่เจ้าตัดผ่านไปยังระดับสูงขึ้นในเส้นทางการบ่มเพาะเต๋าแห่งการต่อสู้ในอนาคต ...ตัวเจ้านั้นมีสายเลือดโบราณที่แข็งแกร่ง แม้แต่ข้าที่เป็นอาจารย์ของเจ้ายังนับว่าด้อยกว่าเจ้าในเรื่องนี้ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า การที่จะแข็งแกร่งอยู่เหนือผู้ใดในนิกายตะวันม่วงแห่งนี้ เพียงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น การเป็นศิษย์สายตรงที่แข็งแกร่งที่สุดของข้ายังไม่คู่ควรให้กล่าวถึงด้วยซ้ำ"

หลงยู่ซื่อที่ถูกกล่าวชมก็มีขัดเขินอยู่บ้างเล็กน้อย นางกัดริมฝีปาเบา ๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา "ซื่อเอ๋อจะตั้งใจฝึกฝนตามที่ท่านอาจารย์สอนสั่ง และเมื่อวันนั้นมาถึง ซื่อเอ๋อจะนำชื่อเสียงมาให้อาจารย์ชูหยู่ในฐานะศิษย์สายตรงของท่านเจ้าค่ะ"

หลงยู่ซื่อนี้นับว่าเฉลียวฉลาดและล่วงรู้จิตใจผู้คนมากนัก นางสามารถบอกได้ทันทีว่าอาจารย์ชูหยู่ผู้นี้หวังเอาไว้กับศิษย์สายตรงของนางมากแค่ไหน และนางปรารถนาให้ศิษย์สายตรงของนางโดดเด่นสร้างชื่อเสียงให้ประจักษ์ในนิกายมากถึงเพียงใด

และอย่างที่คาดเอาไว้ ชูหยู่นั้นรู้สึกดีใจอย่างมากที่ได้ฟังคำกล่าวนี้ของหลงยู่ซื่อ "ประเสริฐยิ่ง! การที่ข้าเดินทางไปยังราชวงศ์ตะวันออกที่ห่างไกลนับพันลี้เพื่อรับเจ้าเป็นศิษย์ในยามนั้น เป็นการกระทำที่ถูกต้องและน่ายินดีที่สุดในชีวิตของข้า ตั้งแต่วันนี้ข้าจะทุ่มเทฝึกฝนเจ้าอย่างเต็มที่"

ยูจิที่ฟังอยู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา มันรู้สึกน้อยใจและอิจฉาอย่างมาก ต้องรู้ก่อนว่าถึงแม้มันจะเป็น 1 ใน 10 ศิษย์สายตรงของชูหยู่ แต่ทว่ามันมีโอกาสน้อยนิดนักที่จะได้รับคำแนะนำหรือการสั่งสอนโดยตรงจากอาจารย์ชูหยู่ที่มันเคารพ มันทำได้เพียงฝึกฝนด้วยตนเองแล้วรอให้อาจารย์ของมันเข้ามาแนะนำบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่ยูจิได้มีโอกาสรับการฝึกฝนแนะนำจากตัวอาจารย์ที่มันเคารพ และทุกครั้งตัวมันนั้นจะตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับไปเป็นเวลา 2 – 3 วันเลยทีเดียว...

สายเลือดของหลงยู่ซื่อนับได้ว่าพิเศษและแข็งแกร่งอย่างแท้จริง อาจารย์ถึงกับต้องการนำนางไปฝึกฝนเป็นการส่วนตัวเช่นนี้  การกระทำนี้นับว่าสร้างความน้อยใจให้กับฉูชิงหานอยู่ไม่น้อย

ฉูชิงหานอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกว่า ยามนี้ที่แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีเขาอยู่... เขาควรจากไปได้แล้ว

ยังมีเรื่องราวมากมายอีกหลายเรื่องที่รอให้เขาไปกระทำที่ราชวงศ์ตะวันออก

ผ่านมานานหลายเดือน ความวุ่นวายหลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่หุบเขาบรรจบและสงครามกลางเมืองก็ค่อย ๆ สงบลง ด้วยความสามารถขององค์หญิงโจวหยู่และความร่วมมืออย่างดีของขุนนางสำคัญหลาย ๆ ฝ่าย

แม้ตงฟางลู่ได้ถูกสังหารด้วยน้ำมือของกบฏตระกูลหลง แต่ลูกชายคนเดียวของเขาตงฟางหลินก็ได้รับการช่วยเหลือจากเจี้ยงเฉิน และด้วยเป็นโอรสขององค์ราชา ทำให้ตงฟางหลินนั้นมีสิทธิ์ในการนั่งบัลลังก์อย่างชอบธรรม...หลังจากนั้นราชวงศ์ตะวันออกก็ได้ราชาองค์ใหม่

สถานการณ์ความวุ่นวายในเมืองหลวงค่อย ๆ ถูกคลี่คลายลงอย่างช้า ๆ บรรดาขุนนางที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ของขุนนางมังกรทะยานที่สมควรประหารก็ล้วนถูกประหารทั้งสิ้น ส่วนผู้อื่นที่ทำผิดเล็กน้อยเพียงถูกเนรเทศออกไปอยู่ตามชายแดนเท่านั้น

สำหรับสวนโอสถสวรรค์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงและเป็นผู้สนับสนุนขุนนางมังกรทะยานนั้น สมาชิกทุกคนล้วนถูกจับมาประหารตัดหัวประจานต่อหน้าผู้คนในเมือง

สำหรับทางด้านหอโอสถนั้น ตอนแรกพวกมันก็คอยขัดขาขุนนางมังกรทะยานและมีเรื่องราวปะทะกับพวกมันอยู่แล้ว มาตอนนี้เมื่อสถานการณ์พลิกผันกลับมาอีกครั้ง สถานะของหอโอสถจึงเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ  ราวกับคำว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ตอนนี้พวกมันเป็นสถานที่จำหน่ายโอสถรายใหญ่ที่สุดในอาณาจักร ยาจิตวิญญาณต่าง ๆ ขายดีราวกับเทน้ำเทท่า เสมือนว่าตอนนี้เส้นทางความเจริญรุ่งเรืองของพวกมันจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ  หลังสงครามครั้งนี้สถานะภาพและอำนาจของพวกมันนับว่าแข็งแกร่งมั่นคงขึ้นไปอีกขั้น

ขวัญและกำลังใจทั้งหมดของผู้คนทั้งหมดในหอโอสถแห่งนี้นับว่าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

แต่ทว่าผู้นำหออย่างซ่งเทียนสิงนั้นไม่ได้มีความรู้สึกยินดีอะไรแม้แต่น้อย

เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้นำหอคนอื่น ๆ ล้วนเห็นด้วยกับมติและคำสั่งของขุนนางมังกรทะยาน ทว่าเฉียวไป่ชี่ไม่สามารถยอมรับได้ มันจึงเลือกที่จะลาออกและจากหอโอสถแห่งนี้ไป

เมื่อไร้ซึ่งเฉียวไป๋ชี่ ก็ไม่มีโอสถที่ราวกับต่อต้านสวรรค์ทั้ง 3 ชนิดนั้นอีกต่อไป หากให้เทียบอัตราการสั่งซื้อเม็ดยาทั้ง 3 ชนิดนั้นแล้วล่ะก็ อัตราการสั่งซื้อเม็ดยาชนิดอื่นกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไปเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถยกเลิกคำสั่งซื้อและส่งเงินมัดจำกลับคืนไป แต่ทว่าหอโอสถก็ต้องเผชิญกับสภาวะสูญเสียชื่อเสียงและสูญเสียความน่าเชื่อถือไปอย่างยิ่ง และนี่จะเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งหอโอสถแห่งนี้ขึ้นมา

ด้วยสาเหตุนี้ ซ่งเทียนสิงไม่มีทางมีความสุขได้เลย

และดูเหมือนตอนนี้ทางราชวงศ์เองก็อยากสานสัมพันธ์อันดีกับหอโอสถ แต่ทว่านั่นเป็นเพราะทางราชวงศ์นั้นกลัวจะเกิดความวุ่นวายและการสูญเสียอีกครั้ง ตอนนี้ราชวงศ์เลยต้องการกำลังของหอโอสถ

แต่พูดก็พูดเถอะ หากหอโอสถอยากจะกลับมายิ่งใหญ่และเติบโตมากไปกว่านี้ พวกมันจำเป็นต้องมีโอสถที่สั่นสะเทือนสวรรค์ 3 ชนิด ดั่งเช่นก่อนหน้านี้ถึงจะฝันไปไกลเช่นนั้นได้

หากไม่มีโอสถวิเศษ ทั้ง 3 ชนิดจากเฉียวไป๋ชี่นั้น ก็เลิกฝันเช่นนั้นไปได้เลย

ตอนนี้ซ่งเทียนสิงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตัวเองในคืนนั้น นอกจากผู้ช่วยส่วนตัวของเฉียวไป๋ชี่แล้ว ผู้นำหอทั้งหมดล้วนแล้วแต่กล่าวโทษแล้วกล่าวบีบคั้นเขา ให้เขายินยอมรับข้อเสนอของทางขุนนางมังกรทยานด้วยกันทั้งสิ้น ข้อเสนอที่จะมอบอำนาจของหอให้กับขุนนางมังกรทะยาน

ซ่งเทียนสิงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่คืนนั้นมันไม่ยืนหยัดข้างเฉียวไป๋ชี่ให้ถึงที่สุด

เดินหมากผิดเพียงหนึ่งก้าวล้มเหลวทั้งกระดาน

 

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.