spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
หากว่าพลังปราณจิตวิญญาณเกิดการปะทะกันจนระเบิด พลังปราณต้องกระจายไปทั่วทิศทางคงไม่เงียบสงบเช่นนี้ หากกระบวนท่าของฉูชิงหานถูกหยุดโดยอาศัยแรงปะทะโดยตรงรับรองว่าในรัศมีครึ่งลี้ต้องราบพนาสูร
แต่ทว่านี่มันเป็นการกลืนกินพลังปราณจิตวิญญาณของฉูชิงหานอย่างแยบยลโดยไม่หลงเหลือแม้แต่ระลอกการระเบิดแม้แต่น้อยนิด มันสลายหายไปราวกับโยนหินลงไปในอากาศโดยไร้ซึ่งผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น
ต่อให้เป็นหินก้อนธุลีสักเพียงไหน แต่หากหล่นลงสายธารายังคงต้องมีคลื่นกระเพื่อมอยู่บ้าง แม้คลื่นนั้นจะเล็กสักเพียงใดก็ตามเถิด
แต่ทว่า การปะทะครั้งนี้ทุกอย่างกลับเงียบสงบไม่หลงเหลือสิ่งใด นอกจากสายลมเท่านั้น
เรื่องนี้หมายความว่าอะไร? นั่นหมายความว่าผู้ที่เข้ามาแทรกแซงนั้นมีระดับฝีมือเหนือล้ำไปกว่าฉูชิงหานไม่ต่ำกว่า 10 เท่า!
ฉูชิงหานนั้นเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ มันเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกตนพบเจอยอดฝีมืออีกทั้งยังปลิดปลงชีวิตอริราชมามากมาย มีบ้างที่พบเจอผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจนทาบไม่ติด
แต่ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ฉูชิงหานบังเกิดสัญชาตญาณแห่งความหวาดกลัวเท่าครั้งนี้มาก่อน แม้จะเป็นอาจารย์ของมันชูหยู่ก็ตาม ...ตอนนี้มันกำลังมีข้อสงสัยว่า บุคคลลึกลับผู้นี้ย่อมไม่ใช่ยอดฝีมือภายใน 16 อาณาจักรอย่างแน่นอน
ส่วนทางด้านเจี้ยงเฉิน เขาก็ตกตะลึงไม่แพ้ฉูชิงหาน
เมื่อครู่เขาเตรียมใจไว้เต็มที่แล้วว่าจะต่อสู้แลกชีวิต แต่ใครจะคาดคิดกันเล่าเพียงกระพริบตาเดียว เรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้?
"เจ้าเป็นศิษย์นิกายตะวันม่วงใช่หรือไม่? พวกเจ้ากลับไปเสียเถิด ยามนี้เจี้ยงเฉินอยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้า!"
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในอากาศ หากให้คาดเดาจากน้ำเสียงคงต้องเป็นชายชราอย่างแน่นอน มันน่าแปลกที่น้ำเสียงนี้ฟังดูสุขุมนุ่มลึกทว่ากลับทรงอำนาจทำให้ผู้ฟังไม่อาจขัดขืน ได้แต่ยินยอมรับฟังถ้อยคำดังกล่าวและกระทำตามแต่โดยดี
"ผู้อาวุโส ..ท่านคือผู้ใดกัน?" ฉูชิงหานไม่ใช่คนใจร้อน เมื่อมันพบว่าสถานการณ์เกินกำลังของมันที่จะควบคุมได้ มันจึงเลือกที่จะประสานมือคารวะแล้วกล่าวถามออกมา
"เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าข้าเป็นผู้ใด"
เสียงทรงอำนาจกล่าวต่อไปอีกว่า "เจ้ากลับไปรายงานให้ทั้งอมตะจื่อสวี และ ชูหยู่ จากนิกายตะวันม่วงฟังเถิดว่า ความบาดหมางระหว่างเจี้ยงเฉินและหลงยู่ซื่อนั้นจะถูกจัดการโดยคนทั้งสองเท่านั้น หากมีผู้ใดจากนิกายตะวันม่วงกล้าสอดมือเข้ามาในเรื่องนี้ เราผู้ชราจะขอไปเดินเล่นที่นิกายตะวันม่วงสักครา"
ฉูชิงหานนั้นยอมเป็นบุคคลที่รู้ว่าจังหวะไหนควรรุกจังหวะไหนควรถอย มันย่อมรู้ดีว่าบุคคลที่ทรงพลังขนาดนี้ไม่ใช่ตัวตนที่เขาจะทำให้ขุ่นเคืองได้ เขาจึงได้แต่พยักหน้า "ขอบคุณอาวุโสที่เมตตา ผู้เยาว์จะนำคำกล่าวของท่านไปบอกกล่าวแก่อาจารย์โดยมิให้ตกหล่น"
การแสดงท่าทีเคารพและสุภาพนอบน้อมนั้นเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะรอดชีวิตจากการเผชิญหน้ากับตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ ฉูชิงหานย่อมไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ว่าเหตุผลหนึ่งเดียวที่ผู้อาวุโสท่านนี้ยอมปล่อยพวกเขาไปเพราะ ไม่อยากลดตัวลงมาจัดการกับพวกเขา
หากเขายังไม่รู้ดีชั่ว หัวรั้นไม่เลิกรา เพียงแค่ปลายนิ้วสะบัด ชีวิตเขาคงถูกปลิดปลงลงอย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ฉูชิงหานยังค่อนข้างซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือแค้นเคืองผู้อาวุโสท่านนี้ที่มาหยุดยั้งเรื่องราวในรูปแบบนี้ หากไม่โง่เขลาการยอมสยบให้ผู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ถือเป็นเรื่องสมควร
นอกจากนี้ด้วยความตั้งใจของเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้อยากเอาชีวิตเจี้ยงเฉินแต่อย่างใด
เรื่องราวความบาดหมางระหว่างเจี้ยงเฉินและหลงยู่ซื่อ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาแม้แต่น้อย ถ้าไม่เป็นเพราะคำสั่งของอาจารย์แล้วล่ะก็ เขาคงไม่คิดมาที่แบบนี้และยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวเช่นนี้ให้เสียเวลา
ความคิดของฉูชิงหานนั้นแตกต่างกับยูจิลิบลับ
ยูจินั้นต้องการสร้างภาพและสร้างความประทับใจให้แก่หลงยู่ซื่อ เพราะนางเป็นอัจฉริยะ การสร้างบุญคุณให้แก่อัจฉริยะ ย่อมมีผลกระทบที่ดีตามมาในภายหลัง
ฉูชิงหานเองก็นับว่าเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง เขาย่อมมีความภาคภูมิใจและทะนงในตนเอง เขาไม่คิดว่าตนเองจะด้อยกว่าหลงยู่ซื่อแต่อย่างใด ถึงแม้ในอนาคตนางจะแข็งแกร่งกว่าเขาหรือมีพรสวรรค์มากกว่าเขาก็ตาม โดยบุคลิกแล้วฉูชิงหานไม่ใช่คนที่ขี้อิจฉาหรือแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด
"ศิษย์น้องหลง วันนี้ศิษย์พี่ที่โง่เขลาของเจ้าได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว" ฉูชิงหานกล่าวกับหลงยู่ซื่อในขณะที่เขากลับลงมาบนพื้น
แม้หลงยู่ซื่อจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่นางย่อมรู้ดีว่าครั้งนี้ฉูชิงหานพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริง ๆ ใครจะไปคาดคิดว่าอยู่ ๆ จะมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งขนาดนี้สอดมือเข้ามากันล่ะ?
หลงยู่ซื่อเองก็เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด นางย่อมรับรู้ได้ว่าเหตุผลเดียวที่พวกนางสามารถจากไปในลักษณะนี้ได้ เพียงเพราะ ผู้เชี่ยวชาญลึกลับผู้นั้นไม่อยากรังแกเด็กน้อยอ่อนแอเช่นนาง
มิเช่นนั้นเพียงแค่การสะบัดมือ พวกนางคงต้องตกตายอย่างง่ายดายราวกับการปัดเศษฝุ่น
แม้ตัวยูจิจะไม่พอใจกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวอะไรให้มากความ เขาย่อมรู้ดียิ่งกว่าหลงยู่ซื่อเสียอีก ว่าตัวตนที่สามารถลบเลือนการโจมตีเกือบสุดกำลังของฉูชิงหานได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ น่าหวาดกลัวถึงเพียงไหน
"ไปกันเถอะ!" ฉูชิงหานเอ่ยขึ้นเบา ๆ มันไม่คิดจะรั้งอยู่สืบไป เขากระทืบเท้าส่งตัวเองลอยไปในอากาศพร้อมกับหลงยู่ซื่อ เมฆเหมันต์ครามปรากฏออกมาราวกับดอกบัวผลิบาน นำพาพวกเขาบินหายลับไปในอากาศ
เจี้ยงเฉินได้แต่ยืนดูคนทั้งหมดจากไป ถึงแม้ผลลัพธ์จะผิดจากที่เขาคาดไว้ไกลโข แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
เหตุการณ์พลิกผันเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้งหลายคราจนเขาเองก็ไม่อาจจะคิดคำนวณได้ทัน แต่การต่อสู้ครั้งนี้นับว่าเจี้ยงเฉินไม่ประสบผลสำเร็จเท่าไรนัก นี่เพราะว่าเขาเองก็ไม่มีหนทางจัดการหลงยู่ซื่อภายใต้การคุ้มครองของฉูชิงหานเช่นกัน
นอกจากนี้เจี้ยงเฉินก็นับว่าเป็นคนซื่อตรงคนหนึ่ง หากเขาต้องการจะฆ่าหลงยู่ซื่อ เขาต้องกระทำด้วยพลังอำนาจของตนเอง ไม่คิดยืมมือหรือหวังพึ่งกำลังจากคนอื่นเป็นอันขาด
เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ก่อนที่จะประสานมือแล้วกล่าวออกมา "ข้าขอทราบนามอันสูงส่งของผู้อาวุโสหน่อยจะได้หรือไม่? ข้าเจี้ยงเฉินจะไม่มีวันลืมความเมตตาในครั้งนี้ เหตุใดผู้อาวุโสไม่ทิ้งนามไว้ให้แก่ข้าเล่า? ข้าเพียงหวังว่าในอนาคตข้าจะมีโอกาสตอบแทนท่านบ้าง "
อย่างไรเจี้ยงเฉินก็ย่อมรู้ดีว่าตัวตนระดับนี้ย่อมไม่สนใจคำกล่าวของผู้ฝึกปราณระดับธรรมดาที่ไม่ได้มีเสน่ห์อะไร
แต่สำหรับเจี้ยงเฉินนั้น เขากล่าวออกมาจากใจจริง เพราะมันเชื่อมั่นว่าตนเองมีศักยภาพและพื้นฐานพอที่จะทำเช่นนั้น
"ชดเชยให้ข้า?" เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ ในอากาศ "เอาล่ะเจี้ยงเฉิน ชายชราผู้นี้จะจดจำคำกล่าวนี้ของเจ้าเอาไว้ หวังว่าจะมีวันที่เจ้าได้ชดเชยให้แก่ข้าได้บ้าง "
หลังจากกล่าวจบคำแล้วน้ำเสียงของอาวุโสผู้นี้ก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ ไกลออกไปราวกับเขากำลังคิดจะจากไปแล้ว
"ผู้อาวุโส โปรดรอก่อน!" เจี้ยงเฉินรีบกล่าวออกมา
แต่ทว่ากลับมีเพียงความเงียบงันตอบรับมัน ไม่มีการตอบรับใด ๆ อื่นอีก
เจี้ยงเฉินยังไม่เห็นแม้แต่หน้าตาของผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้เลย เขาได้แต่หัวเราะออกมาดังสนั่น เมื่อเขาสงบลงแล้วหันไปมองรอบ ๆ ที่มีแต่ซากศพมากมายกองไปทั่ว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
ถัดจากหุบเขาที่เขายืนอยู่อันเป็นหุบเขาบรรจบนั้น กองทัพนับล้านที่แข็งแกร่งยังคงหมอบอยู่กับพื้น ไม่มีใครกล้าที่จะเงยหัวขึ้นมา ผลกระทบจากการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่มันมากมายเหลือคณานับ มันทิ้งภาพที่น่าสะพรึงกลัวให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างมาก ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครคิดคร่ำครวญหรืออิดออดเรียกร้องอะไรออกมา
เจี้ยงเฉินรู้สึกเหนื่อยล้า นอกจากนี้เขายังรู้สึกผิดหวังที่ตัวการร้ายอย่างหลงยู่ซื่อยังไม่ได้ตกตาย เขามองไปที่กองทัพที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง พวกมันทั้งหมดเตรียมพร้อมรับคำสั่งแล้ว
เจี้ยงเฉินโดยธรรมชาติแล้วก็ไม่ได้อำมหิตอะไร เขาไม่คิดจะลงมือเข่นฆ่าใครอีก
ถึงแม้ว่าหลงยู่ซื่อจะยังไม่ตาย แต่ทว่าตอนนี้ตระกูลหลงของขุนนางมังกรทะยานก็ถือได้ว่าจบสิ้นลงไปแล้ว เหลือแค่งานเก็บกวาดผู้ที่ยังเหลือรอด แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะยุ่งเกี่ยวอะไร เพราะหน้าที่นี้ควรเป็นของตระกูลตงฟางที่จะเข้ามาจัดการ
เมื่อย้อนกลับไปยังหุบเขาบรรจบ ทุกคนที่รอคอยต่างมารายล้อมเจี้ยงเฉินและโค้งคำนับมันด้วยความเคารพ
เจี้ยงเฉินเหน็ดเหนื่อยทุกข์ทรมานกับการทำสงคราม แต่พวกเขาทำได้เพียงยืนดูอยู่บนยอดเขานี้เท่านั้น..
เจี้ยงเฉินโบกมือขึ้นก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า "นิกายตะวันม่วงคงไม่กล้ากลับมาสร้างปัญหาอะไรให้พวกเราอีกในภายภาคหน้า ทว่าเรื่องที่น่าเสียดายมีเพียงหลงยู่ซื่อยังไม่ตกตาย รับรองได้ว่านางต้องเป็นตัวปัญหาในอนาคตอย่างแน่นอน "
เขาผายมือไปทางองค์หญิงโจวหยู่ "ราชวงศ์ตะวันออกของเจ้าสามารถจัดการเก็บกวาดพวกที่ยังเหลือรอดของตระกูลมังกรทะยานด้วยตัวเองได้หรือไม่?"
เจี้ยงเฉินไม่ค่อยสนใจการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจระหว่างราชวงศ์ตะวันออกและตระกูลหลงสักเท่าไร ที่มันเข้ามาจัดการตระกูลหลงนั้นมีเหตุผลเพียงข้อเดียว คือขุนนางมังกรทะยานนั้นหาเรื่องเจี้ยงเฉินไม่รู้จักจบสิ้น มันข่มเหงรังแกและพยายามบ่อนทำลายตระกูลเจี้ยงหลายครั้งหลายครา
การสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ที่หุบเขาบรรจบ เจี้ยงเฉินนั้นสามารถได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดด้วยการดับฝันของตระกูลหลงจนหมดสิ้น...ส่งผลให้ตระกูลเจี้ยงได้รับชื่อเสียงอย่างล้นหลาม
อย่างไรก็ตามอาณาจักรตงฟางคงยังไม่ได้รับความสงบในเวลาอันสั้น นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างมากที่สายเลือดราชวงศ์ตะวันออกยังเหลือองค์หญิงโจวหยู่และตงฟางหลินที่เป็นรัชทายาทอยู่ ถือว่าสายเลือดราชวงศ์ยังไม่ได้สิ้นสูญไปจนหมด
องหญิงโจวหยู่ได้ทำการรวบรวมขุนนางที่ภักดีต่อราชวงศ์ตะวันออก ก่อนที่จะไล่กวาดล้างขุนนางชั่วที่ร่วมมือกับตระกูลหลงที่หวังล้มล้างราชวงศ์จนหมดสิ้นด้วยความเด็ดขาด
ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดกับตระกูลหลง ตัดหัวสถานเดียว
ผู้ที่ถูกบีบบังคับโดยหลงเซ้าเฟิง จะไม่ถูกดำเนินคดี
เหล่านี้เป็นกฎที่ตราไว้โดยองค์หญิงโจวหยู่
นอกจากนี้นางยังรู้อีกว่าหากสูญเสียขุนนางมากไปย่อมเกิดความวุ่นวายภายในอาณาจักร นางจึงสังหารเพียงผู้นำของตระกูลหลงและคนที่สมรู้ร่วมคิดกับขุนนางมังกรทะยานเพียงเท่านั้น และนอกจากนั้นนางยังต้องหาหนทางฟื้นฟูอำนาจของราชวงศ์ตะวันออกโดยด่วน
ปัจจุบันราชวงศ์ตะวันออกไม่อาจสูญเสียได้อีกแล้ว
แต่แน่นอนว่ากระบวนการนี้ย่อมไม่สามารถยุติได้ในเวลา 2-3 วัน
ส่วนทางตระกูลเจี้ยงก็ยังคงวางตัวเป็นกลางไม่ได้มีส่วนร่วมอะไร
อีกทั้งตอนนี้ทางราชวงศ์ก็ยังแต่ตั้งขุนนางจินฉ่างและขุนนางฮั่วปิ่น ที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลเจี้ยงไว้ในตำแหน่งสำคัญ นับว่าเป็นกำลังสำคัญที่ราชวงศ์หวังพึ่งพาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้ง
สำหรับตระกูลเจี้ยง ไม่ว่าจะเป็น เจี้ยงเฟิง ขุนนางเจี้ยงหาน หรือแม้แต่ตัวเจี้ยงเฉินเอง ที่แสดงความสามารถอันน่าทึ่งในการรบที่หุบเขาบรรจบ ยังคงอาศัยอยู่อย่างคนธรรมดา พวกเขายังคงอยู่เมืองระลอกคลื่น อีกทั้งยังอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน
ถึงแม้สงครามที่ผาบรรจบเจี้ยงเฉินจะสามารถเอาตัวรอดมาได้โดยสูญเสียเพียงเล็กน้อย แต่ทว่าเขาก็รู้สึกละอายอย่างมาก
ถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดอ่อนข้อให้ฉูชิงหาน แต่ความรู้สึกที่ว่าชะตากรรมของตนเองตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือคนอื่นนั้น ทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อย
เมื่อกลับมาในเขตเจี้ยงหาน สิ่งแรกที่เจี้ยงเฉินทำคือฝึกฝนนกหงส์ทองให้เข้าใจในการสร้างค่ายกลหมัดแปดปรมัตถ์ให้ได้อย่างน้อย เจ็ดถึงแปดส่วน ...หากทำสำเร็จพวกมันจะเป็นกำลังสำคัญอย่างมาก
นอกจากนี้เขายังรู้ดีว่าหากเร่งรีบเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองอย่างก้าวกระโดดแล้วล่ะก็ มันจะส่งผลเสียในภายหลัง การวากรากฐานไม่สามารถเร่งร้อนได้
ตอนนี้ความคาดหวังจึงตกไปอยู่ในเต๋าแห่งค่ายกล หากนกหงส์ทองหลายร้อยตัวสามารถเข้าใจ การก่อตั้งค่ายกลหมัดแปดปรมัตถ์ถึงแปดส่วนแล้วล่ะก็ พวกมันนับว่าเป็นกำลังรบที่สำคัญอย่างคาดไม่ถึง
นอกจากนี้ค่ายกลหมัดแปดปรมัตถ์ขนาดใหญ่ ยังสามารถโยกย้ายปรับเปลี่ยนให้เป็นค่ายกลหมัดแปดปรมัตถ์ขนาดกลาง อีกทั้งยังแยกย่อยได้เป็นค่ายกลหมัดแปดปรมัตถ์ขนาดเล็กได้อีกด้วย ค่ายกลขนาดต่าง ๆ สามารถปรับเปลี่ยนร่วมประสานก่อให้เกิดอานุภาพสุดจะหยั่ง
หากพวกมันเข้าใจวิถีของค่ายกลหมัดแปดปรมัตถ์ได้จึงแปดส่วน เขาจะสามารถควบคุมให้มันปรับเปลี่ยนขนาดค่ายกลได้ตามใจชอบ นี่นับว่ามีผลต่อการต่อสู้อย่างมาก
อย่างน้อยที่สุดมันจะไม่พ่ายแพ้เมื่อพบเจอคนระดับฉูชิงหานอีกครั้ง
นอกเหนือจากเจี้ยงเฉินแล้ว คนอื่น ๆ ก็พยายามล้างความอับอายจากศึกที่ผ่านมา ผู้พิทักษ์ส่วนตัวทั้ง 8 คนของเจี้ยงเฉินรู้สึกละอายอย่างมากที่พวกมันทำได้แค่เพียงยืนดูเท่านั้น นี่นับว่าเป็นความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิตอย่างแท้จริง
ทุก ๆ คนพยายามฝึกฝนอย่างเต็มที่โดยไม่คิดอิดออด
เวลาสองเดือนค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ ระดับบ่มเพาะของเจี้ยงเฉินมีความก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ตัดผ่านไปยัง ระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11
อย่างที่รู้กันมา เมื่อผู้ฝึกฝนบ่มเพาะจนมาถึงระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 พวกเขาจะรู้สึกว่าถึงขีดจำกัดของระดับปราณแท้จริงแล้ว
ในเวทีเต๋าแห่งการต่อสู้ของทั้ง 16 อาณาจักรนั้น เมื่อผู้บ่มเพาะสามารถตัดผ่านไปยังระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 พวกเขาจะสามารถเลือกที่จะตัดผ่านไปยังอาณาจักรวิญญาณหรือขอบเขตของปราณจิต ไม่ก็พยายามค้นหาจุดสูงสุดของระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 12 ที่มีอยู่ในตำนานไปตลอดชีวิต...
สำหรับผู้ที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 12 นั้น ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อนใน 16 อาณาจักร อย่างน้อยก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับการปรากฏตัวหรือมีใครได้ยินจากปากคนที่ตัดผ่านไปยังระดับนี้มาก่อน
นับตั้งแต่ยุครุ่งเรืองที่สุดที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะด้านเต๋าแห่งการต่อสู้มากมาย พวกมันต่างค้นหาหนทางตัดผ่านไปยังระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 12 แต่ทว่าทั้งหมดต่างล้มเหลวและพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการตัดผ่านไปยังอาณาจักรวิญญาณหรือขอบเขตแห่งปราณจิตแทบทั้งสิ้น สุดท้ายวันเวลาที่ดีที่สุดของพวกมันก็ล่วงเลยผ่านไป
...สุดท้ายแล้วเหล่าอัจฉริยะก็ราวกับจะร่วงหล่นจมหายไปในปฐพี
จากเหตุผลดังกล่าว เจี้ยงเฉินเองก็ควรเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่อาณาจักรวิญญาณหรือปราณจิตด้วยเช่นกัน
แต่ว่าเจี้ยงเฉินเองก็ไม่ได้คิดที่จะตัดผ่านไปยังระดับอาณาจักรวิญญาณหรือปราณจิตในทันที มันอยากซึมซับและทำความเข้าใจกับเต๋าแห่งการต่อสู้ของโลกใบนี้อย่างถ่องแท้ซะก่อน
และขั้นตอนต่อไปคือดูดซับความทรงจำหลังจากที่ขุดค้นลงไปในส่วนลึกของความทรงจำในชีวิตที่แล้ว
กล่าวได้ว่าระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 12 นั้น ก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านเล็ก ๆ ของมันเท่านั้น
วิธีและกระบวนการบ่มเพาะพลังนั้นเจี้ยงเฉินมีอยู่มากมาย..มันมีแม้กระทั่งวิธีฝึกฝนของเทพเจ้า..
ตอนนี้มันเพียงวางรากฐานและเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุดเพื่อรอวันออกจากรังไหม แล้วกลายเป็นผีเสื้อที่โผบินอย่างสง่างาม!