spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
"หยินเย ซื่อเอ๋อ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นเล่าให้ข้าฟังอีกครั้งสิ." เพื่อยืนยันการตายของเจี้ยงเฉิน หลงเซ้าเฟิงพูดอีกครั้ง.
หลงหยินเยอธิบายสถานการณ์นั้นอีกครั้ง โดยมีหลงยู่ซื่อคอยเสริมรายละเอียดทั้งหมด.
"หึม ถ้าเป็นไปตามอย่างที่พวกเจ้าเล่ามา ไม่ต้องสงสัยเลย เจี้ยงเฉินตายไปนานแล้ว" แม้กระทั่งคนที่ใส่ใจและระมัดระวังอย่างหลงยี่ยังพยักหน้า. "นายท่าน ด้วยการตายของเจี้ยงเฉิน หลักประกันของตระกูลราชวงศ์ก็หมดไปพร้อมกัน จู่ ๆ พวกเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทำไมเราไม่ ... "
หลงเซ้าเฟิงยิ้มอย่างใจเย็น มันทำให้เขาเกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าเขาอยู่ในสถานะที่ดีกว่า.
"หยินเย เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเจี้ยงเฉินซุ่มโจมตีเจ้าในอุโมงค์ใต้ดินไร้พรมแดน? นี่เจี้ยงหานกำลังยั่วยุตระกูลมังกรทะยานของเรา ในฐานะที่เราเป็นขุนนางระดับสูง เราจะยอมให้ความดื้อดึงของขุนนางระดับล่างกว่า ทำกิริยาแบบนี้กับเราได้อย่างไร?
ที่เขากำลังพูดถึงเรื่องการซุ่มโจมตีเป็นสิ่งที่พวกเขาแต่งขึ้นเอง.
อย่างไรก็ตาม หลงหยินเยเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย และเขาเข้าใจความหมายของสิ่งที่บิดาของเขาพูดทันที นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อหาข้ออ้างที่จะเริ่มต่อว่าขุนนางแห่งเจี้ยงหาน และเป็นอีกขั้นหนึ่งในการการทดสอบว่าราชวงศ์จะมีความคิดเห็นอย่างไร!
ในเวลานี้ ความคิดเห็นของพระราชวงศ์มีความคลุมเครือ.
หากเจี้ยงเฉินตายไปแล้ว ขุนนางแห่งเจี้ยงหานมีค่าพอที่จะได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากองค์ราชาตงฟางลู่หรือไม่?
หลงเซ้าเฟิงต้องการทดสอบปฏิกิริยาขององค์ราชาตงฟางลู่ หลังจากที่เขาได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจี้ยงเฉิน. หากองค์ราชาตงฟางลู่ยังคงสนับสนุนตระกูลเจี้ยง หลงเซ้าเฟิงก็ยังสามารถเติมแต่งเรื่องเพิ่มขึ้นให้กับขุนนางทั้งหลายฟังทำให้เขาได้เปรียบองค์ราชาลู.
ตำแหน่งขุนนางระดับหนึ่งถูกแต่งตั้งโดยตระกูลราชวงศ์. ถ้าขุนนางที่มีตำแหน่งด้อยกว่า เขาได้ท้าทายขุนนางระดับหนึ่งแล้วเขาไม่ถูกลงโทษ กฎหมายของอาณาจักรที่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณจะมีจุดมุ่งหมายอย่างไร?
ถ้าหากองค์ราชาตงฟางลู่เลือกที่จะไม่สนับสนุนตระกูลเจี้ยง เขา หลงเซ้าเฟิง สามารถใช้โอกาสนี้ในการกำจัดตระกูลเจี้ยงให้พ้นทาง. ประโยชน์ที่เขาจะได้รับประการแรก เขาจะสามารถถอดหนึ่งในหลักประกันของราชวงศ์และประการที่สอง เขาสามารถหยามศักดิ์ศรีของราชวงศ์ได้. เขาจะยกตัวอย่างของขุนนางแห่งเจี้ยงหานเพื่อข่มขวัญบรรดาขุนนางคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ยอมมาศิโรราบต่ออำนาจของเขา!
ในฐานะทายาทขุนนางแห่งมังกรทะยาน หลงหยินเยเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสถานการณ์พลิกแพลงที่เกิดขึ้นในทันทีมันจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้.
ใบหน้าของเขาแสดงความยินดี "ท่านพ่อ เจี้ยงเฉินซุ่มโจมตีบุตรชายของท่าน เขาเป็นตัวแทนของขุนนางแห่งเจี้ยงหาน และเขาหมิ่นเกียรติยศของคฤหาสน์มังกรทะยานของเรา. บุตรชายของท่านจะนำกองกำลังที่เก่งที่สุดและเราจะไปเรียกร้องขอคำอธิบายจากตระกูลเจี้ยง! "
“อืม ตระกูลเจี้ยงเป็นตระกูลเล็ก ๆ ที่หลงระเริงไปกับความสำเร็จ. เขาเป็นคนยโสโอหัง เขาคงไม่ยอมเชื่อเราเราต้องมีคำอธิบาย หลงยี่ เจ้าจงติดตามหยินเยไปด้วย! "
หลงยี่คือที่หนึ่งในกลุ่มทหารประจำตระกูลหลง เขามีระดับสิบเอ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญฉีทั้งในความเป็นจริงและในนาม! ขนาดการฝึกของเขายังใกล้เคียงกับระดับของขุนนางแห่งมังกรทะยาน!
"ข้าน้อยจะปฏิบัติตามคำสั่ง!" หลงยี่โค้งคำนับขณะที่เขายอมรับคำสั่งของเจ้านาย.
ในขณะนั้น กลุ่มชนชั้นนำของตระกูลหลงได้เริ่มออกเดินทางภายใต้การนำของหลงหยินเยและหลงยู่ซื่อ. ทหารสามพันคนเหล่านี้ได้มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เจี้ยงหานด้วยท่าทางข่มขู่.
เมื่อเหล่าบรรดาขุนนางที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อตระกูลหลงได้ยินข่าวนี้ พวกเขาก็มีข้ออ้างที่คล้ายคลึงกันกับตระกูลหลง ขณะที่พวกเขาส่งกองทหารของพวกเขาไปเสริมกับกองกำลังอันเยี่ยมยอดของตระกูลหลง.
ในช่วงเวลาไม่นาน กองกำลังที่ก่อตัวขึ้นเพื่อประณามขุนนางแห่งเจี้ยงหาน มีจำนวนทหารเกินกว่า 20,000 คน !
ในเมืองหลวง,ใครจะกล้าที่จะขัดขวางทหาร 20,000 คน นอกเหนือจากราชวงศ์?
ดังนั้น เมื่อทหาร 20,000 คนปรากฏตัวขึ้นบนท้องถนน เมืองหลวงทั้งเมืองก็เข้าสู่ความสับสนอลหม่านไม่รู้จบเมื่อหัวใจของทุกคนอยู่ในภาวะระส่ำระส่าย.
ถึงแม้กองกำลังกลุ่มนี้กำลังยกธงประณามขุนนางแห่งเจี้ยงหาน ทุกคนรู้ดีว่าการยกกองกำลังจำนวนมากภายในเมืองหลวงนี้ เป็นผลมาจากการมีอำนาจเหนือระดับอย่างฉับพลัน.
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเคลื่อนไหวของขุนนางแห่งมังกรทะยานเป็นการท้าทายอำนาจการปกครองของราชวงศ์!
ภายในพระราชวัง องค์ราชาตงฟางลู่ก็รู้สึกว่าช่วงนี้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ.
ทายาทที่หายตัวไปในการทดสอบครั้งนี้มีมากกว่าสามในสิบส่วนโดยประมาณ. ถึงแม้ว่าองค์ราชาตงฟางลู่ตกใจมาก แต่เขาไม่รู้สึกท้อแท้มากนัก.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจี้ยงเฉินยังไม่กลับมา.
การที่เขายังไม่กลับมาในเวลานี้ มันหมายความว่าอะไร? นั่นหมายความว่าเจี้ยงเฉินคงจะถูกสังหารด้วยน้ำมือของพี่น้องตระกูลหลง!
"ตระกูลหลง!" สีหน้าขององค์ราชาตงฟางลู่เปลี่ยนไป เขาหดหู่และไม่รู้ว่าจะหันไปทางไหน. ภาวะฉุกเฉินซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มีเพียงหลักประกันเดียวที่เขามีคือ เจี้ยงเฉิน ซึ่งเขาได้อยู่ทำหน้าที่ระยะหนึ่ง.
แต่ตอนนี้ ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ เจี้ยงเฉินได้หายตัวไป และดูเหมือนว่าเขาจะตายไปแล้ว!
นั่นหมายความว่าแผนการทั้งหมดที่เขาวางไว้มาถึงทางตันอย่างกะทันหัน. เช่นเดียวกับโซ่ที่แตกไม่สามารถหมุนได้.
นอกจากนี้ ตอนนี้สถานการณ์ปัจจุบันในเมืองหลวง ทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างหวาดกลัว. ขุนนางหลายคนที่เดิมทีไม่เข้าข้างฝ่ายใด ต่างก็แห่กันไปเข้าร่วมกับขุนนางแห่งมังกรทะยานด้วยเหตุผลหลายประการ.
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา อิทธิพลของราชวงศ์ลดลงและพวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ.
เขาไม่เพียงแต่รู้สึกเสียเปรียบกับสิ่งที่จะเกิดในอนาคต แต่หัวใจขององค์ราชาตงฟางลู่ยังเจ็บปวดแทนบุตรสาวของเขา. หากเจี้ยงเฉินตาย เขาจะไปให้ใครมารักษาอาการป่วยของบุตรสาวเขาได้?
"เจี้ยงเฉิน เจี้ยงเฉิน. ทำไมเจ้าไม่รักษาชีวิตตัวเองให้อยู่นานกว่านี้? องค์ราชาตงฟางลู่รู้สึกลำบากใจมาก. ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลเหล่านี้ เขาจะไม่สนใจเรื่องความตายของเจี้ยงเฉินเลย.
แต่สถานการณ์ในเมืองหลวงต้องการเจี้ยงเฉินให้มาดูแล.
ถ้าเจี้ยงเฉินยังอยู่ อย่างน้อยก็มีใครบางคนที่จะดึงความสนใจจากขุนนางแห่งมังกรทะยาน และหาวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป.
เพราะเจี้ยงเฉินตายแล้วก็ไม่มีใครสามารถจะแก้ไขปัญหานี้ได้อีกแล้ว. ไม่มีอะไรที่จะหยุดความคิดของขุนนางแห่งมังกรทะยานให้หยุดสร้างปัญหา. บางทีเขาอาจจะเลื่อนสงครามไปหลังจากการทดสอบมังกรซ่อนเสร็จสิ้นลง!
องค์ราชาตงฟางลู่ค่อนข้างหดหู่. ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการที่จะปราบปรามขุนนางแห่งมังกรทะยาน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน เขาไม่ได้มีหลักประกันถึงความปลอดภัย หรือเวลาที่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น.
"ฝ่าบาท ปัญหาใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น!"
เช่นเดียวกับที่องค์ราชาตงฟางลู่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากความวิตกกังวล ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาหอบหายใจอย่างหนัก. "เราเพิ่งได้รับรายงานเร่งด่วนจากหัวหน้าเทียนดูว่า ขุนนางแห่งมังกรทะยานและผู้สมคบร่วมคนอื่น ๆ บางส่วนได้รวบรวมพลรบมา 20,000-30,000 คน และได้ล้อมรอบคฤหาสน์เจี้ยงหานไว้พวกเขาเรียกร้องที่จะลงโทษขุนนางแห่งเจี้ยงหาน! ”
"อะไรนะ?" องค์ราชาตงฟางลู่เป็นราชาของอาณาจักร แต่ก็ประหลาดใจเมื่อได้ยินข่าวนี้"
เขาเริ่มโจมตีแล้วรึ?
ในขณะนั้น เขาเกือบจะคิดว่าขุนนางแห่งมังกรทะยานได้เริ่มโจมตีและก่อกบฏไปแล้ว!
แต่ตรรกะบอกเขาว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับขุนนางแห่งมังกรทะยานที่จะก่อกบฏ.
"อะไรคือเหตุผลที่พวกเขานำกองทัพมาเรียกร้องให้มีการลงโทษขุนนางแห่งเจี้ยงหาน"
"เหตุผลของพวกเขาคือ เจี้ยงเฉินซุ่มโจมตีพี่น้องตระกูลหลงระหว่างการทดสอบในอุโมงค์ใต้ดินไร้พรมแดน. พวกเขากล่าวว่าขุนนางระดับล่างดูหมิ่นเกียรติยศขุนนางระดับหนึ่งที่มีตำแหน่งสูงกว่า. มันจะขัดต่อกฎหมายของอาณาจักร ถ้าเขาไม่ได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง " ขันทีรู้สึกกังวลมาก.
"เรารับรู้แล้วตอนนี้. เจ้าออกไปได้ "
ขันทีเหงื่อไหลท่วมตัวขณะที่เขาถอยห่างออกไป. องค์หญิงโจวหยู่วิ่งเข้ามาทันทีที่เขาจากไป.
"ท่านพี่ ตระกูลมังกรทะยานกำลังประกาศสงครามใช่หรือไม่?" ใบหน้าของของนางดูฉุนเฉียว เห็นได้ชัดว่านางกำลังเดือดดาล. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนรวมหรือเรื่องส่วนตัว นางไม่ต้องการให้เจี้ยงหานถูกทำร้าย.
"โจวหยู่ เข้ามาสิ ข้ากำลังมีมีปัญหาใหญ่" องค์ราชาตงฟางลู่สามารถเปิดเผยความกังวลในใจของเขาได้เฉพาะต่อหน้าน้องสาวของเขาเท่านั้น.
"ท่านพี่ ขุนนางแห่งมังกรทะยานไม่ได้รับอนุญาตให้ทำตัวเหมือนอย่างที่เขาต้องการเกี่ยวกับเรื่องนี้!" ความคิดเห็นขององค์หญิงโจวหยู่ค่อนข้างหนักแน่น.
"หึม โจวหยู่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องสำคัญที่สุด. ถึงแม้ความคิดเห็นขององค์ราชาตงฟางลู่จะคลุมเครือ แต่องค์หญิงโจวหยู่ยังคงมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง.
"ท่านพี่ ท่านจะเลิกสนับสนุนขุนนางแห่งเจี้ยงหานง่าย ๆ เช่นนี้หรือ?" องค์หญิงอุทาน นางตกใจมาก. "ท่านคิดว่าขุนนางคนอื่นที่จงรักภักดีต่อท่านจะรู้สึกยังไง ถ้าท่านเลิกสนับสนุนขุนนางที่ภักดีต่อท่าน เช่น ขุนนางแห่งเจี้ยงหาน?"
"อย่างไรก็ตาม โจวหยู่ เจ้าได้คิดเกี่ยวกับความจริงที่ว่าตระกูลหลงกำลังอ้างถึงกฎหมายของอาณาจักรอยู่ในขณะนี้. พวกเขามีข้ออ้างที่ฟังดูมีเหตุผลในการสร้างปัญหา. ถ้าเราปกป้องตระกูลเจี้ยง ขุนนางแห่งมังกรทะยานสามารถทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาและบีบบังคับข้า. ในที่สุด พวกเขาก็ยังสามารถใช้ข้ออ้างของกฎหมายมาจัดการ และทำให้ข้าต้องลงโทษตระกูลเจี้ยงด้วยตัวเอง. ถ้าเรื่องนี้เป็นไปอย่างที่ว่า มันจะไม่เป็นการเปิดเผยไพ่ตายของเราก่อนเวลาที่เหมาะสม และเราต้องต่อสู้กับตระกูลหลงเร็วขึ้นอีกไม่ใช่หรือ "
"แล้วยังไงล่ะไม่ว่าอย่างไรเราก็จะสู้. ท่านพี่ ท่านคิดมากเกินไป ถ้าเราปราบปรามพวกเขาได้ก่อนหน้านี้ แล้วหลงเซ้าเฟิงจะกล้าทำเหมือนที่ทำอยู่ในทุกวันนี้หรือไม่? " เสียงขององค์หญิงโจวหยู่รีบร้อนมาก.
องค์ราชาตงฟางลู่ส่งเสียงทางจมูก “สู้รบ? มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้าที่จะพูด. ท่านปู่ทวดกำลังทำสมาธิที่อยู่ในห้องลึกลับซึ่งปิดอยู่ในขณะนี้ และจะต้องใช้เวลาอีกสองเดือนเขาจึงจะปรากฏตัวออกมา ทำไมเราไม่นิ่งเงียบไว้อย่างนี้ ไม่ตอบโต้อะไรจนกว่าท่านปู่ทวดจะโผล่ออกมา เมื่อผู้ฝึกจิตวิญญาณปรากฏตัวขึ้นมา จะมีขุนนางคนไหนกล้าสร้างปัญหาอีก? ศิลปะสูงสุดของสงครามคือการปราบศัตรูโดยไม่ต้องต่อสู้ เพื่อยุติการสู้รบและปราบปรามขุนนางแห่งมังกรทะยานโดยไม่ก่อให้เกิดสงครามกลางเมือง. มันจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและอาณาจักรหรือ ถ้าเราไม่ใช้ทรัพยากรของอาณาจักร? "
องค์ราชาตงฟางลู่เป็นราชาปกครองประชาชน เขาต้องพิจารณาผลประโยชน์และความสูญเสียของอาณาจักรด้วย. ถ้าเขาสามารถหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองได้ ไม่ว่ามีวิธีการใดเขาก็จะทำ.
ในท้ายที่สุด เมื่อสงครามกลางเมืองเริ่มขึ้น ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนต้องเอาชีวิตมาทิ้ง และความเข้มแข็งของอาณาจักรจะได้รับผลกระทบอย่างมาก. แม้ว่าราชวงศ์จะชนะสงครามครั้งนี้ แต่ก็น่าจะเป็นการได้ชัยชนะโดยต้องเสียหายมากมาย!
ชัยชนะนี้จะต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง. ความแข็งแกร่งภายในของอาณาจักรจะลดลง และมั่นใจได้ว่าศัตรูที่มีเล่ห์เหลี่ยมจากอาณาจักรอื่น ๆ จะมองดูพวกเขาอย่างกระตือรือร้น.
การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยในส่วนหนึ่งอาจมีผลต่อสถานการณ์โดยรวม!
"ท่านพี่ ทหารเป็นเหมือนอาวุธในการสังหาร นักบุญหันไปหาพวกเขาเมื่อไม่มีทางเลือก. แต่วิธีของการเป็นราชา เป็นหนึ่งในวิธีที่จะไม่ใช้กองทัพที่อ่อนแอ และไม่หลีกเลี่ยงการต่อสู้ ถ้าท่านพิจารณาถึงความเข้มแข็งของอาณาจักร ถ้าท่านพิจารณาเรื่องนี้ และท่านตั้งใจที่จะไม่ต่อสู้ ข้าก็กลัวว่าเมื่อท่านต้องการที่จะสู้รบ ท่านจะค้นพบว่าไม่มีใครที่พร้อมจะต่อสู้ข้างท่านได้."
องค์หญิงโจวหยู่ไม่ได้พูดเกินจริง เพื่อที่จะทำให้องค์ราชาตงฟางลู่ตกใจกลัว. ขาดความกล้าหาญในการต่อสู้ในฐานะผู้ปกครองของอาณาจักร ท่านจะขอให้ประชาชนเหล่านี้ยึดมั่นในตัวท่านอย่างแน่วแน่ได้หรือ?
มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยไปทั่ว และในความเป็นจริงสถานการณ์เช่นนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้ว.
เหตุใดสถานการณ์จึงค่อย ๆ เอียงไปทางขุนนางแห่งมังกรทะยานอย่างไม่รู้จบช่วงหลังมานี้? ทัศนคติขององค์ราชาตงฟางลู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน. ในฐานะผู้ปกครองของอาณาจักร เขาล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการนำมาตรการที่เหมาะสมมาใช้ เพื่อต่อต้านอำนาจที่กดขี่ประชาชนของขุนนางแห่งมังกรทะยาน. ขุนนางคนอื่นและเหล่าไพร่พลจะมองเขาอย่างไร. ยิ่งกว่านั้น พวกเขาจะยอมจำนนต่อเขาได้หรือไม่?
องค์ราชาตงฟางลู่เงียบโดยไม่มีคำตอบ. องค์หญิงโจวหยู่เป็นน้องสาวของเขา และมีเพียงนางเท่านั้นที่กล้าจะพูดเรื่องจริงอย่างเปิดเผยกับเขา.
ยกเว้นเขายังคงคิดว่าถ้าไม่มีเจี้ยงเฉิน ตระกูลเจี้ยงไม่มีค่าคู่ควรพอที่จะให้เขาต้องสู้รบกับขุนนางแห่งมังกรทะยานในเวลานี้.
เขาต้องการเวลา เขาต้องรอจนกว่าท่านปู่ทวดจะออกมา!
สองเดือน เขาต้องรออีกสองเดือนเท่านั้น.
"ท่านพี่ ท่านไม่สามารถลังเลได้อีกต่อไป. ถ้าหากท่านยังคงลังเลใจ ... "
องค์ราชาตงฟางลู่เงยศีรษะขึ้น สายตาของเขาจ้องมองนางอย่างเฉียบขาด. "โจวหยู่ ข้ารู้ว่าเจ้าชื่นชมเจี้ยงเฉิน. แต่ตอนนี้เจี้ยงเฉินไม่อยู่แล้ว. ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของตระกูลเจี้ยงนั้นไม่มีผลอะไรเลยในขณะนี้. ข้าตัดสินใจไปแล้ว ข้าจะสั่งให้เทียนดูถอนกองกำลังของเขาออกจากคฤหาสน์เจี้ยงหาน. นี่เป็นความแค้นระหว่างขุนนางทั้งสอง และพวกเขาควรจะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง! "
องค์ราชาตงฟางลู่ได้ส่งกองทัพเทียนดูไปยังประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้อาณาเขตคฤหาสน์เจี้ยงหานเพื่อปกป้องพวกเขา.
คำสั่งนี้ให้ถอนกองกำลังหมายความว่าองค์ราชาลูกำลังถอนตัวจากการสนับสนุนตระกูลเจี้ยง.
หัวใจขององค์หญิงโจวหยู่รู้สึกเจ็บปวดอย่างเหลือล้นจนไม่สามารถบรรยายได้ ใบหน้าของนางมีสีขาวซีดเมื่อนางมองไปทางองค์ราชาตงฟางลู่ด้วยความผิดหวัง. "ท่านพี่ นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของท่าน? ท่านแน่ใจไหมว่าเจี้ยงเฉินเสียชีวิตจริง ๆ? "
"ไม่ว่าเขาจะตายหรือไม่ก็ไม่ เพียงเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น. ข้าต้องการเวลา. ข้าไม่ต้องการที่จะใช้กำลังของประชาชนเพื่อต่อสู้กับสงครามที่ดุเดือดในขณะนี้! โจวหยู่ เจ้ารู้ดีนี่ ทันทีที่ท่านปู่ทวดกลับมา ปัญหาทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข ... "
“พอได้แล้ว!” องค์หญิงโจวหยู่ไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป เนื่องจากใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางกลยเป็นสีแดง นางพูดอย่างโมโหว่า "ข้าจะไม่ฟังสิ่งที่ท่านจะพูดอีกแล้ว! ท่านพี่ ข้าทนฟังคำพูดเหล่านี้มากพอแล้ว. ท่านปู่ทวด ท่านปู่ทวด ท่านเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ถ้าหากท่านต้องพึ่งพาท่านปู่ทวดในทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะสำคัญอะไรที่ท่านต้องนั่งบัลลังก์! "
หลังจากพูดเสร็จ องค์หญิงโจวหยู่กระทืบเท้าของนางและเดินออกไปอย่างเสียใจ.
การแสดงออกขององค์ราชาตงฟางลู่ดูน่าเกลียด เมื่อเขาพยายามเปลี่ยนจากเขียวเป็นซีด เขาโง่จนหาที่เปรียบไม่ได้. เขาไม่ได้คาดคิดว่า แม้แต่น้องสาวที่เคารพนับถือและสนับสนุนเขามากที่สุด จะมีทัศนคติแบบนี้กับเขาในขณะนี้