spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
เมื่อเทียบกับเมืองชั้นนอกแล้ว ดูเหมือนเมืองชั้นในจะมีค่าครองชีพสูงกว่ามาก เพราะค่าที่พักหรือที่ดินก็ดูเหมือนจะแพงกว่าเป็น 10 เท่าแล้ว ค่าอาหารหรือสิ่งของต่างๆ ก็คงมีราคาแพงขึ้นตามๆกัน
“นายน้อยเจ้าคะ พวกเรากำลังจะเข้าเมืองชั้นในหรือเจ้าคะ?” เค่อเอ๋อมองไปยังหลิงเทียนด้วยแววตากลมโตที่ฉายออกมาถึงความสงสัย
ต้วนหลิงเทียนยิ้มก่อนที่จะกล่าวออกมา "เปล่า...ยังพอมีเวลา ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน พวกเรามากินอาหารก่อนเถิด จะอย่างไรก็ต้องกลับไปยังโรงเตี๊ยมก่อน"
เค่อเอ๋อพยักหน้าออกมา
ในขณะที่กลุ่มของพวกเขาออกจากเหลาอาหาร ต้วนหลิงเทียนก็วางแผนว่า ตอนหัวค่ำจะเข้าไปในเมืองชั้นในเพื่อหาโรงเตี๊ยมที่พักใหม่ ก่อนที่จะลองไปหาซื้อบ้านเดี่ยวที่มีลานบ้านกว้างๆสักหลัง เพื่อเป็นที่พักในขณะที่เขาร่ำเรียนที่สถาบันบ่มเพาะขุนพล ในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้
ในระหว่างที่กลับโรงเตี๊ยมหลิงเทียนเองก็คิดนู่นนี่นั่นมากมาย "ดูเหมือนว่าข้าต้องทำงานเพิ่มสักหน่อยแล้ว เพื่อหารายได้ไว้จับจ่ายใช้สอย"
แม้ตอนนี้เขาจะมีเงินถึง 10,000,000 เหรียญเงิน แต่เขารู้ดีเงินจำนวนนี้แค่ซื้อพวกบ้านอะไร ก็น่าจะหมดเกลี้ยงแล้ว หากค่าครองชีพมันสูงขนาดนั้น
เขตที่พักตระกูลหยูแห่งเมืองผานางแอ่นเหิน
ภายในห้องโถงหลัก ในขณะที่ประมุขตระกูลกำลังตรวจสอบข้อมูลประจำวัน สาวกคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ ม้าเร็วส่งข่าวก็รีบวิ่งเข้ามารายงาน หยูเตี่ยน ประมุขตระกูลหยู ด้วยความร้อนรน "ท่านประมุขขอรับ ดูเหมือน ผู้อาวุโสหลัก ,ท่านอาวุโสรอง แล้วก็นายน้อยหยูเซี่ยง อาจ...อาจจะพบกับภัยพิบัติแล้วขอรับ .."
“อะไรนะ! แล้วเหตุใดเจ้าถึงกล่าวว่า อาจจะ?" ใบหน้าของหยูเตี่ยนหมองลง เขากล่าวออกมาด้วยความเย็นชา "นี่เจ้าตรวจสอบและสืบดูดีแน่แล้วเช่นนั้นหรือ?"
"ท่านประมุขขอรับ จากการตรวจสอบอย่างละเอียด และการแกะรอยของข้า ข้าไม่พบร่องรอยของกลุ่มผู้อาวุโสแม้แต่นิดเดียว...ร่องรอยได้ขาดหายไปกลางทางขอรับ... แต่อย่างไรก็ตามเพื่อความแน่ใจ ข้าจึงทำการเดินทางและสืบหาร่องรอยไปจนถึงเมืองหลวง และข้าก็ได้ความว่า ดูเหมือนจะมีรถเกวียนคันหนึ่งที่ลากจูงไปด้วย อาชาเหงื่อโลหิต 3 ตัวขอรับ อีกทั้งตัวเกวียนยังมีสัญลักษณ์ของตระกูลลี่ด้วยขอรับ "
"สัญลักษณ์ของตระกูลลี่? ฮึ่ม! ดูเหมือนว่าจะเป็นเกวียนของไอเด็กบัดซบนั่น ดูเหมือนข้าจะดูแคลนมันมากเกินไป!" แววตาของหยูเตี่ยนอำมหิตขึ้น ก่อนที่จะกล่าวตะโกนสั่งออกมา "เจ้าไปเรียนเชิญผู้อาวุโสหลัก ทั้ง 3 ท่านมา!"
"ขอรับ" ม้าเร็วของตระกูลหยูรับคำสั่งแล้วก็รีบออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็ว หลังจากที่ออกจากห้องโถงได้แล้วสิ่งแรกที่มันทำคือถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นี่เพราะยามที่ประมุขบันดาลโทสะเมื่อครู่กลิ่นอายและแรงกดดันที่แผ่ออกมามันน่าอึดอัดจนทำให้มันหายใจไม่ออก
"น้องรอง หลานเซี่ยง ... อย่าได้กังวล ต่อให้ต้วนหลิงเทียนบัดซบนั่นจะไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ตาม ข้าก็จะเอาเลือดมันมาชโลมดาบสามฉื่อของข้า เพื่อเซ่นวิญญาณพวกเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ให้ได้!!" ตอนนี้ประมุขตระกูลหยูเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด นี่เพราะมันค่อนข้างแน่ใจว่า น้องชายกับหลานของมันตกตายไปแล้ว เพราะข่าวคราวของพวกมันทั้งหมดได้หายไปเป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้ว
ในโรงเตี๊ยมที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ในเมืองหลวงเขตนอก บังเกิดเสียงหนึ่งทำลายความสงบขึ้นมา
ปึง ปัง โครม เคร๊งงง!
...
เสียงปาข้าวของต่างๆดังสนั่นออกมาจากห้องพักที่มีราคาสูงที่สุด ไม่ต้องให้ผู้ใดบอกก็น่าจะเดาได้ว่าคนในห้องพักอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเทาไร จึงต้องระบายอารมณ์ด้วยการทำลายข้าวของเช่นนี้
ภายในห้องพัก ปรากฏร่างสตรีชุดแดงที่หน้าตาบิดเบี้ยวทั้งยังแลดูเต็มไปด้วยเพลิงโทสะกำลังขว้างปาทุกสิ่งทุกอย่างในห้องพักที่จับต้องได้!
หญิงสาวขว้างปาสิ่งของระบายโทสะอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาทิ้งตัวแผ่หลาลงบนเตียงเนื่องจากเหนื่อยล้ากับการออกแรงขว้างปาสิ่งของ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆพร้อมดวงตาที่แดงก่ำราวกับหลุดออกมาจากขุมนรก "ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ข้าถงลี่ ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้! ความอัปยศอดสูนี้ข้าจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต ข้าจะไม่เลิกราจนกว่ามันจะตายอย่างทรมาน! "
หญิงชราเพียงยืนนิ่งอยู่ด้านข้างไม่กล่าววาจาหรือส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว นี่เพราะนางรู้ดีเมื่อนายหญิงน้อยบันดาลโทสะ ต่อให้ผู้ว่าการมณฑลอยู่ที่นี่ก็จนปัญญาที่จะทำอะไรได้
"ยายหวังเมืองชั้นในจะเปิดแล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด! ข้าอยากพบลูกพี่ลูกน้องของข้า!" ถงลี่ยืนขึ้นก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แล้วเดินออกไป
"เจ้าค่ะ " หญิงชราทำได้เพียงขานรับและตามนางไป
แครก แครก กุบกับ กุบกับ!
หัวค่ำมาเยือนตัวเมืองชั้นในทำการเปิดประตูให้ผู้คนที่ต้องการเข้าไป เหล่าผู้คนต่างๆที่มารอกันอยู่บริเวณสะพานหินทั้งมีพาหนะและไม่มีพาหะนะ ล้วนทยอยกันเข้าเมืองอย่างเป็นระเบียบ นอกจากเข้าเมืองแล้ว ยังมีการแบ่งที่ทางไว้ให้แก่ผู้ที่จะออกมาจากเมืองชั้นในอีกด้วย
แม้จะมีเกวียนและผู้คนที่เข้าออกสวนไปสวนมาอย่างมาก แต่ทว่าเมื่อมีเสียงเกวียนหลังหนึ่งที่เคลื่อนที่มาด้วยเสียงดัง ยังอดไม่ได้ที่จะเรียกร้องความสนใจจนทำให้ผู้คนต้องหันไปชมดู และเมื่อพวกเขาพบว่าเป็นเกวียนหลังใหญ่โตที่ถูกลากมาด้วยอาชาเหงื่อโลหิตถึง 3 ตัว พวกเขาก็บังเกิดความกริ่งเกรงทันที แน่นอนว่าเจ้าของเกวียนหลังใหญ่และร่ำรวยถึงขนาดนำอาชาเหงื่อโลหิตมาลากเกวียนเช่นนี้ ต้องเป็นขุนนางหรือผู้มีพร้อมทั้งอำนาจและเงินตราอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่คนธรรมดาจะไปสร้างปัญหาได้
“ที่นี่คือเมืองชั้นในหรือเจ้าคะ? มีผู้คนเยอะแยะเลยเจ้าค่ะ” เค่อเอ๋อที่อยู่ในเกวียนไม่อาจระงับความตื่นเต้นได้เมื่อมองออกไปด้านนอกเกวียน
ภาพนอกตัวเกวียนที่นางเห็นนั้นมีแต่ทะเลของผู้คน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่หัวหงอกหัวดำละลานตาไปหมด ...
"ตอนแรกที่ข้าเห็นผู้คนที่ยืนกันเต็มสะพานหินเช่นนั้น ข้าก็คิดว่าพวกเราจกต้องรอกันเนิ่นนานเสียอีกกว่าจะได้เข้าเมือง ไม่คิดเลยว่าจะราบรื่นเช่นนี้" ใบหน้าที่งามล้ำดั่งเทพธิดาของลี่เฟยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ร่างกายที่เย้ายวนราวกับปีศาจของนางลุกขึ้นไปยืนอวดโฉมอยู่ตรงหน้าต่างของเกวียน
"แน่นอน! เจ้าอย่าได้ดูถูกพลังของอาชาเหงื่อโลหิตไป" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
นั่นเพราะต่อให้เป็นตระกูลของผู้ว่าการประจำมณฑล ก็คงไม่มีผู้ใดคิดใช้อาชาเหงื่อโลหิตมาลากเทียมเกวียนเช่นนี้ นี่ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาขาดแคลนเงินทองซื้อหาอาชาเหงื่อโลหิต แต่มันเป็นการนำมาใช้ผิดประเภทและฟุ่มเฟือยจนเกินไป!
อาชาเหงื่อโลหิตนั้นมีมูลค่าถึง 10,000 เหรียญทอง ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่จะเต็มใจนำมันมาลากจูงเกวียนเช่นนี้
(* 100 เหรียญเงิน = 1 เหรียญทอง)
ในขณะที่เกวียนของต้วนหลิงเทียนนั้นเดินทางเข้าเมืองชั้นในอย่างราบรื่นเพราะอิทธิพลความน่าเกรงขามของอาชาเหงื่อโลหิตที่ลากจูงอยู่ถึง 3 ตัว เกวียนหลังหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายๆกันทว่าม้า 3 ตัวที่ลากจูงมากลับเป็นม้าธรรมดาเท่านั้น ทำให้ผู้คนไม่ได้หลบออกข้างทางแต่อย่างไร จึงทำได้แค่เคลื่อนไหวไปตามระเบียบอย่างช้าๆ
"เหตุใดถึงได้ชักช้าเช่นนี้!" ภายในเกวียนสตรีในชุดแดงนั้นบ่นออกมา ทั้งใบหน้ายังเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
สตรีชุดแดงเลิกม่านเกวียนและตวาดคำใสสารถี "เฮ้! เจ้ารีบๆหน่อย!"
"นายหญิงน้อยขอรับ ข้าน้อยก็จนปัญญาแล้วขอรับ ข้างหน้ามีผู้คนเข้าแถวแน่นหนาเช่นนี้เข้าไม่อาจเร่งความเร็วเกวียน ให้มากไปกว่านี้แล้วขอรับ พวกเราต้องรอเท่านั้น" สารถีได้แต่กล่าวออกมาอย่างจนใจ
"ฮึ่ม!" สตรีชุดแดงสบถออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะทนไม่ไหวและเดินออกจากเกวียนไป และเมื่อมองทะเลผู้คนที่สวนไปสวนมาทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
พวกสามัญชนไร้ค่าเหล่านี้กล้าขวางทางเรานายหญิงน้อย!
เพียะ ปัง!!
สตรีชุดแดงหัวร้อนจัด จึงยกแส้ขึ้นมาตวัดฟาดไปกลางอากาศบังเกิดเสียงอากาศแตกระเบิดออก แต่ทว่าด้วยจำนวนผู้คนที่มากมายขนาดนี้เสียงแส้หวดอากาศมันถูกเสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กและเสียงฝีเท้ากลบจนมิดในเสี้ยวพริบตา ...
"พวกสามัญชนทั้งหลาย! ไสหัวออกไปบัดเดี๋ยวนี้!" สตรีชุดแดงทนไม่ไหว จึงกรีดร้องโวยวายด่าทอผู้คนออกมา
แน่นอนว่าเสียงดังลั่นของนางย่อมเข้าหูผู้คนรอบๆ และเรียกร้องความสนใจได้เป็นอย่างดี ผู้คนทั้งหลายจึงหันมามอง และพบว่าผู้ที่กล่าววาจาแถมวางท่าโอหัง กลับเป็นสตรีผู้หนึ่งหน้าอัปลักษณ์ บวมปูดผู้หนึ่ง และเมื่อทุกคนเหลือบไปมองเกวียนที่ถูกลากมาด้วยม้าธรรมดาทั้งแลดูไม่มีราคาอันใด ทุกคนจึงได้แต่มองนางอย่างดูแคลน
"นางคิดว่ารถเกวียนนางถูกลากจูงด้วยอาชาเหงื่อโลหิต เช่นคันข้างหน้าหรือไร?"
"บัดซบ แลม้าของนางซี่ แก่อมโรคซ้ำยังเป็นหมัด บัดซบ! มีแม้กระทั่งขี้เรื้อน นางยังกล้าวางท่ามีอำนาจเช่นนี้?"
"หากเจ้าอยากวางท่านัก เก่งจริงก็ไปซื้ออาชาเหงื่อโลหิตมาลากจูงเกวียนสัก 3 ตัว เหมือนเกวียนคันหน้านู่นซี่ ทีนี้พวกเราจะรีบหลบหลีกให้เจ้าโดย ไม่ต้องลำบากให้เจ้าออกมาโวยวายเช่นนี้แม้แต่คำเดียว"
"พี่น้องเจ้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร ดูสารรูปของนางแล้ว เจ้าคิดว่านางมีปัญญาซื้ออาชาเหงื่อโลหิตมาลากเกวียนหรือไร?"
"นั่นสิ จริงของเจ้า"
...
คำเย้ยหยันมากมายโถมกระหน่ำสาดซัดใส่ตัวนาง ทำให้ใบหน้าของนางเริ่มน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัง!
แส้สีดำในมือนางกำลังเหวี่ยงไปด้านหลังหวังจะฟาดทุบตีผู้ที่อยู่รอบๆให้ตกตาย ...
"นายหญิงน้อย!" หญิงชรารี[พุ่งร่างออกมาจากเกวียนและจับมือนายหญิงของนางไว้ได้ทันท่วงที
"ยายหวัง! ท่านมาห้ามข้าทำไมกัน? ข้าจะสั่งสอนสามัญชนต้อยต่ำพวกนี้ให้รู้สำนึกเสียบ้าง!" หน้าของสตรีชุดแดงเริ่มหมองคล้ำลง
“นายหญิงน้อย ตอนนี้ถ้าท่านทำร้ายประชาชนเช่นนี้เกรงว่าจะตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านได้นะเจ้าคะ สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ อยู่ในช่วงกำลังผลัดเปลี่ยนองราชา หากท่านก่อเรื่องที่นี่ใยมิใช่ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวจนส่งผลกระทบต่อองค์ชาย 5 ลุกพี่ลูกน้องท่านหรอกหรือเจ้าคะ?” หญิงชรากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ ในขณะที่อธิบายเหตุผล
สตรีสวมชุดแดงเองนับว่ายังพอรู้เรื่องราวอยู่บ้าง นางเพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกลับเข้าเกวียน "เรานายหญิงน้อย ขุ่นเคืองใจนักที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับสามัญชนที่พอมีเงินทองอยู่บ้างเช่นนี้ หากเรานายหญิงน้อยรับรู้ว่าเป็นผู้ใดที่ลากเกวียนด้วยอาชาเหงื่อโลหิต 3 ตัว จนทำให้เรานายหญิงน้อยต้องถูกนำมาเปรียบเทียบจนโดนเหยียดหยามเช่นนี้ เรานายหญิงน้อยจะไม่ปล่อยให้มันรอดไปแน่! "
สตรีชุดแดงนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นถงลี่บุตรตรีของผู้ว่าการมณฑลตะวันฉายนั่นเอง ...แต่ก็ไม่รู้ว่าท่าทางของถงลี่จะเป็นอย่างไร หากนางรับรู้ว่า คนที่ใช้อาชาเหงื่อโลหิตลากเกวียนที่นางอยากจัดการนั้น กลับเป็นต้วนหลิงเทียนที่ตบนางเสียจนหน้าบวมราวกับสุกรเช่นนี้
ณ โรงเตี๊ยมที่เงียบสงบหลังหนึ่งของเมืองชั้นใน
"เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสองคนอยู่ที่นี่กับท่านแม่ข้าก่อน ข้าจะออกไปทำธุระกับฉงเฉวียนสักครู่" ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับเค่อเอ๋อและลี่เฟย ก่อนที่จะเดินออกไปกับฉงเฉวียน
ภายในเมืองหลวงแห่งนี้ ธุรกิจการค้าเกี่ยวกับที่ดินและอาคารบ้านเรือนล้วนเป็นธุรกิจหลักของตระกูลราชวงษ์ของอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้
ตอนนี้เอง หลิงเทียนกับฉงเฉวียนก็เดินไปยังอาคารค้าที่ดินหลังหนึ่ง
"ท่านลูกค้า ไม่ทราบว่าอาคารบ้านพัก หรือที่ดิน แบบใดที่ท่านต้องการหรือเจ้าคะ?" สตรีที่สวยที่สุดในบรรดาสตรีทั้งหลายที่เป็นเจ้าหน้าที่ เดินมาต้อนรับต้วนหลิงเทียนกับฉงเฉวียน และนางก็นับว่าสายตาแหลมคมนักที่ล่วงรู้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงนี่เป็นเจ้านาย
บริเวณห้องรับรองนี่ถูกจัดไว้อย่างเรียบง่าย นอกจากบริเวณโต๊ะสำหรับพนักงานแล้ว ส่วนต่างๆ ก็จะมีแบบจำลองของบ้านพักหรืออาคารที่ทางร้านขายตั้งเรียงรายอยู่
‘ไม่คิดเลยแหะว่าโลกนี้จะมี โมเดลจำลองบ้านพักแบบโลกเก่าของข้าด้วย’ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หลังจากเห็นอะไรที่คุ้นเคย เมื่อหายตะลึงแล้วเขาก็ตอบคำถามเจ้าหน้าที่สตรีไปทันที “ข้าอยากได้เป็นบ้านเดี่ยว เอาที่มันมีลานว่างให้ฝึกซ้อมได้ เจ้ามีแบบใดแนะนำบ้าง?”
"ท่านลูกค้าเจ้าคะนี่คือบ้านเดี่ยวพร้อมล้านว่างที่ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของเจ้าค่ะ" เจ้าหน้าที่สตรีเดินนำหลิงเทียนไปยังส่วนของแบบจำลองบ้านเดี่ยวที่ยังมีไว้จำหน่าย
"โอ้ ดีเลย" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเลือกดูบ้านหลังเล็กๆอย่างระมัดระวังอยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มอายุประมาณ 19 ปี เดินเข้ามากับชายชรา
ชายหนุ่มคนนี้เผยความหยิ่งยโสออกมาอย่างชัดเจน บ่งบอกว่ามันเป็นบุตรหลานของตระกูลที่มั่งคั่ง
"ท่านลูกค้า ไมทราบว่าท่านต้องการอันใดหรือเจ้าคะ?" เจ้าหน้าที่สตรีที่ว่างอยู่เดินเข้ามารับรอง
"โง่เขลา เจ้าคิดว่าข้ามาเพื่อเจอเจ้าหรือไร? แน่นอนว่าข้านายน้อยผู้นี้ย่อมมาซื้อบ้าน เจ้าไปนำบ้านที่มีลานว่างใหญ่ๆมาให้ข้านายน้อยชมดูเดี๋ยวนี้" น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโอหังและเอาแต่ใจอย่างถึงขีดสุด ทำให้สีหน้าและท่าทางของเจ้าหน้าที่สตรีนั้นขุ่นเคืองและหงุดหงิดเล็กน้อย แต่นางก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะผู้ที่สามารถซื้อหาอาคารบ้านพัก ทั้งยังเป็นบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่างเช่นนี้ ไม่ใช่คนที่นางจะสามารถไปตอแยด้วยได้
ต้วนหลิงเทียนกวาดสายตาดูชายหนุ่มที่กล่าววาจาอย่างโอหังทั้งยังทำท่าหยิ่งยโสเล็กน้อย ก่อนที่จะเลิกสนใจตัวไร้ค่าเช่นมัน เขายังเดินดูแบบจำลองบ้านหลังเล็กๆ ต่อไปอย่างสนุกสนาน
"เอ๊ะ! สตรีผู้นี้หน้าตาไม่เลวนี่... เฮ่! เจ้าน่ะ นายน้อยผู้นี้ไม่อยากได้สตรีผู้นี้รับรอง แต่อยากได้เจ้ามาคอยจัดการเรื่องการซื้อขาย รีบออกมาดูแลนายน้อยผู้นี้เร็ว" ชายหนุ่มก้าวเดินไปข้างหน้าโดยเป็นทิศทางเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่ และยามนี้เขากำลังจับจ้องไปยังเจ้าหน้าที่สตรีที่กำลังดูแลหลิงเทียน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยราคะราวกับจะเปลืองผ้าผู้คนอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าหน้าที่สตรีคนนั้นข่มโทสะอารมณ์และความไม่พอใจ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ "ขอโทษเจ้าค่ะท่านลูกค้า แต่ยามนี้ข้ารับรองลูกค้าอีกท่านอยู่ คงไม่สะดวกดูแลท่านลูกค้าเจ้าค่ะ"
"เจ้าว่าอะไรนะ?" ชายหนุ่มฮึดฮัดก่อนที่จะกล่าวอวดเบ่งออกมา "บัดซบ! สาวน้อย เจ้าไม่รู้หรือไร ว่าข้านายน้อยผู้นี้เป็นใคร? นายน้อยผู้นี้เป็นสาวกของตระกูลต้วนสาขาเมืองหยกมณฑา! เจ้าไม่รู้หรือไรว่าตระกูลต้วนสาขาหลักเองก็ตั้งอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้! แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่านายน้อยผู้นี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลต้วนสาขาหลัก? เจ้าเคยได้ยินนาม ต้วนหลิงซิ่ง หรือไม่? อัจฉริยะแห่งตระกูลต้วนคนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายน้อยผู้นี้!" เมื่อได้ยินคำกล่าวของชายตรงหน้าเจ้าหน้าที่สตรีคนนี้บังเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด
ตระกูลต้วนแห่งเมืองหลวงนั้นหรือ? หนึ่งในไม่กี่ตระกูลมหาอำนาจแห่งเมืองหลวงนี้ กล่าวได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจไม่ได้ด้อยกว่าตระกูลราชวงศ์ของอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้มากซักเท่าไร
ต้วนหลิงซิ่ง?
ในใจของหลิงเทียนนั้นเมื่อได้ยินคำนี้พลันสั่นไหวขึ้นมาทันที เขาหันไปมองชายหนุ่มที่กล่าววาจาด้วยสายตาเย็นชา
ลูกพี่ลูกน้องของต้วนหลิงซิ่งเช่นนั้นหรือ?
"เจ้ามองข้าหาอะไร? ไอเด็กบัดซบ เจ้าอยากมีปัญหาหรือไร? ข้าต้วนหรง หาใช่คนที่เจ้าสามารถตอแยด้วยได้!" ชายหนุ่มคนนั้นสังเกตได้ว่าหลิงเทียนแหงนหน้าขึ้นมาจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง เขาจึงกล่าวออกไปอย่างยโสและดูแคลน