หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 76 ทำให้พวกเขาเจ็บช้ำน้ำใจ

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

"ฮะ ฮ่า คารวะองค์หญิง การประลองระหว่างทายาทไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมใด ๆ. องค์หญิงมีสถานะที่สูงส่ง และมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ยังมีอีกหลายเรื่องทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กกำลังรอให้ท่านไปสะสาง แล้วทำไมท่านต้องมาใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ล่ะ? " หลงหยินเยยิ้มบาง ๆ และพูดอย่างกล้าหาญและมั่นใจต่อหน้าองค์หญิงโจวหยู่.

"....เหอ ? เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกตาบอด คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่? นับตั้งแต่เจี้ยงเฉินปรากฏตัว ทุกคนได้เยาะเย้ยและกระทบกระเทียบเขา ทุกคนนินทาเขาลับหลัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเจ้าพยายามทำให้เขาอับอายขายหน้า. คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นขุนนางระดับหนึ่งของอาณาจักรคิดกันแบบนี้หรอ? กลัวการแข่งขันที่ถูกกำหนดไว้อย่างถูกต้อง และด้วยเหตุนี้ต้องใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อกดขี่ข่มเหงให้เขาต้องออกจากการแข่งขัน? " องค์หญิงโจวหยู่ได้โอกาสโต้แย้งถึงประเด็น

คำพูดของนางทำให้รอยยิ้มของหงเทียนทงบิดเบี้ยว.

"สรุปได้ว่าองค์หญิงแอบฟังอยู่นานแล้ว. ฉะนั้นองค์หญิงควรจะได้ยินอย่างชัดเจนแล้วว่าเจี้ยงเฉินคือคนที่ประกาศท้าทายไม่ใช่พวกเรา" หลงหยินเยยักไหล่ของเขา.

"ใช่ ข้ายังจำได้ว่าเจี้ยงเฉินคือคนที่เสนอแนวคิดการประลองเป็นคนแรก. เขากล่าวว่ามันคือการให้ความบันเทิงแก่ทุกคน"

หงเทียนทงใช้คำถึงที่แสดงถึงอำนาจเล็กน้อย เนื่องจากเขามีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง "องค์หญิงขอรับ ไม่ใช่ว่าข้าต้องการจะสร้างความวุ่นวาย แต่เจี้ยงเฉินเป็นคนที่ชอบเกะกะระรานผู้อื่นจริง ๆ พวกเราแค่เพียงหยอกล้อเขา แต่คำแรกที่ออกจากปากของเขาก็คือการประลอง อย่างกับว่าตระกูลของเขายิ่งใหญ่มาก.

เหล่าขุนนางที่เรียกตัวเองว่าผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนที่ไร้ยางอายเสียจริง. พวกเขาเป็นคนแรกที่ยั่วยุผู้อื่น แต่การยั่วยุกลายเป็นเรื่องหยอกล้อ ในทางกลับกันเจี้ยงเฉินกลายเป็นคนที่ริเริ่มการประลอง!

องค์หญิงโจวหยู่ถึงกับไร้ซึ่งคำพูด และนางก็มองไปที่เจี้ยงเฉิน.

เจียงเฉินลูบจมูกของเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม "อย่ามองมาที่ข้า องค์หญิง. ข้าไม่ชอบการโต้เถียง. เมื่อหงเทียนทงกล่าวว่าข้าเกะกะระราน งั้นข้าก็จะเกะกะระราน ทุกคนมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมเกะกะระรานเมื่อพวกเขายังหนุ่ม. ท่านสามารถคิดในทางที่ดีได้ "

"ยอดเยี่ยม คำพูดง่ายๆและตรงไปตรงมา ข้าชอบ!" หลงหยินเยรู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นว่าเจี้ยงเฉินเป็นคนดื้อรั้นและไม่เต็มใจที่จะรับความพ่ายแพ้. เขากังวลอย่างมากที่เจี้ยงเฉินใช้สถานการณ์นี้ฉวยโอกาสเพื่อหาทางออกและหลีกเลี่ยงการแข่งขัน.

เมื่อเห้นว่าเจี้ยงเฉินกำลังหาเรื่องใส่ตัว หลงหยินเยก็เพิ่มเชื้อเพลิงลงในเปลวไฟ "องค์หญิงขอรับ ทั้งสองฝ่ายยินดี. หวังว่าองค์หญิงจะไม่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ "

องค์หญิงโจวหยู่ใช้สายตาเตือนเจี้ยงเฉิน และเห็นว่าเขาส่งยิ้มให้นางอย่างสนุกสนาน. นางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย นางกำลังคิดว่า ข้าได้ลดศักดิ์ศรีขององค์หญิงเพื่อช่วยเหลือเจ้าจากอันธพาลที่ล้อมรอบ แต่เจ้ายังคงหลงกลของพวกเขา. เจ้าไม่รู้หรือว่านี่เป็นกับดัก?

"ประลอง ประลอง!"

ฝูงชนที่ล้อมรอบ พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อรอชมการแสดงที่น่าตื่นเต้น พวกเขาเริ่มส่งเสียงดัง.

ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน คนที่เฝ้าดูการแสดงที่น่าตื่นเต้นก็ไม่กลัวว่าจะเกิดสถานการณ์ที่ควบคุมไม่อยู่. พวกเขาไม่สนใจว่าจะมีใครได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด พวกเขาอาจสอบไม่ผ่านในภายหลัง.

สิ่งเหล่านี้จะมีความสำคัญอะไรกับผู้ที่อยู่ที่นี่เพื่อการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ? ยิ่งมีสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น พวกเขาก็จะได้ดูการแสดงที่มีความน่าสนใจมากขึ้น!

"พวกเจ้าทั้งหมดพร้อมรึยัง? มีใครบางคนกำลังดูหมิ่นผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลของสี่ขุนนางที่ยิ่งใหญ่. เมื่อพวกเจ้าเข้าไปประลองก็อย่าทำให้ข้าต้องขายหน้า! "

หงเทียนทงตั้งใจสั่งสอนด้วยเสียงอันดัง.

เจียงเฉินยิ้มบาง ๆ "พวกเจ้าได้ยินไหม ? นั่นคือเสียงที่ต้องการทำให้พวกเจ้าเจ็บช้ำน้ำใจ. ข้าไม่ควรจะพูดให้มากความว่าพวกเจ้าต้องทำอะไรบ้าง? "

หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง,ผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลเหล่านี้คุ้นเคยกับบุคลิกของเจี้ยงเฉินเป็นอย่างดี. ยิ่งรอยยิ้มของเขาสงบมากเท่าใด ความร้อนแรงของเปลวเพลิงแห่งความโกรธของเขาจะเผาไหม้มากขึ้นเท่านั้น.

นี่ยังไม่รวมถึงตอนที่หงเทียนทงดูถูกเหยียดหยามกุยจิน. นี่เท่ากับเป็นการดูถูกกลุ่มผู้พิทักษ์ส่วนตัว และเป็นการหมิ่นเกียรติเจ้านายของพวกเขา.

เมื่อเจ้านายถูกทำให้อับอาย ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็สมควรตาย. พวกเขารู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อสิ่งใดบ้าง!

"เมื่อเราอยู่ในสนามประลอง อย่าออกจากตำแหน่ง กุยจิน เจ้าต้องควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองให้ได้ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรก็ตาม " หยูตงคนที่สงบปากสงบคำอยู่ตลอดเวลาได้พูดขึ้นมา.

"หยูตง เจ้าเป็นคนที่ใจเย็นที่สุด เจ้าควรจะเป็นผู้นำในการต่อสู้ครั้งนี้ " กิมมูเสนอ.

"ข้าเห็นด้วยกับกิมมู" เชินยี่ฟานกล่าว.

"ข้าก็เห็นด้วย" เว่ยซูฉีพูดเบา ๆ.

พี่น้องตระกูลเซี่ยวไม่ได้ใส่ใจในเรื่องใดแม้กระทั่งเรื่องการเป็นผู้นำ. พวกเขาเพียงต้องการที่จะรีบจัดการใครบางคนเพื่อระบายความรู้สึกโกรธแค้นของพวกเขา.

ในสายตาพวกเขา คนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาเป็นคนชั่วร้ายทั้งหมด. ขุนนางน้อยได้มอบชีวิตใหม่แก่พวกเขาด้วยความเมตตา และคนเหล่านี้ก็กล้าที่จะทำให้เขาโกรธ. พวกเขาคือคนชั่วช้าจริง ๆ?

"พี่เฉิน ไปกันเถอะ! เราจะจะฆ่าเจ้าสารเลวพวกนี้ให้ตายให้หมด! " เซี่ยวชานโห่ร้อง ขณะที่ขวานขนาดมหึมาของเขากวัดแกว่งไปมา ก้าวเข้าสู่สนามประลอง.

เซี่ยวชวนลากแท่งทองแดงของเขาขณะที่เขาเดินตามหลังพี่ชายของเขามาติด ๆ.

กุยจินและเว่ยซูฉีเดินตามมาหลังจากนั้นไม่นาน.

การเข้ามาอย่างไม่เป็นระเบียบและดูยุ่งเหยิง จริง ๆ แล้วห้อมล้อมความลึกลับของทักษะ "หมัดแปดปรมัตถ์" เว้นแต่ว่า ในสายตาของผู้ที่ไม่เข้าใจรูปแบบนี้ เหล่าผู้พิทักษ์ทั้งแปดคนปรากฏตัวขึ้นโดยปราศจากความร่วมมือและไม่ได้ดูเหมือนการทำงานเป็นทีมที่ดี. มันดูคล้ายกับกลุ่มทหารที่ไม่มีระเบียบวินัย.

หงเทียนทงหัวเราะ. เจี้ยงเฉินกล้าที่จะออกรับแทนกลุ่มคนเหล่านี้ได้อย่างไรกัน. เขาควรใช้โอกาสนี้ในการเอาชนะเจี้ยงเฉินให้อยู่หมัด ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการเอาชนะคนพวกนี้จนกว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปทั่วร่างกาย ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้.

ถ้าเจี้ยงเฉินไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ นั่นหมายความว่าเขาล้มเหลวที่จะไปถึงเป้าหมายของตำแหน่งขุนนางระดับหนึ่ง.

นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะตระกูลเจี้ยง.

ถ้าเขาสามารถเอาชนะพวกเขาได้ด้วยวิธีนี้แล้ว ตระกูลขุนนางแห่งมังกรทะยานจะต้องมองหงเทียนทงด้วยสายตาอันปลาบปลื้ม!

หงเทียนทงรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นขณะที่เขาคิดและได้เหลือบมองไปที่ผุ้พิทักษ์ส่วนบุคคลทั้งแปด. เหล่าผู้พิทักษ์แปดคนก้าวเข้าไปในสนามประลองราวกับสุนัขหมาป่าและพยัคฆ์ แผ่กระจายออกไปและล้อมรอบผู้พิทักษ์ของเจี้ยงเฉิน.

ในขณะนี้หลงยู่ซื่อดูเหมือนจะคิดถึงเรื่องอื่น. นางชำเลืองมองเจี้ยงเฉินอย่างคาดไม่ถึงและเดินไปข้างหน้าหงเทียนทง นางกระซิบกับเขาว่า "อย่าดูถูกศัตรูของเจ้า. เจี้ยงเฉินคนนี้รู้ถึงกลโกงทุกประเภท เจ้าจำเป็นต้องระวังตัวให้ดี!”

ความรู้สึกอบอุ่นได้ห้อมล้อมหัวใจของหงเทียนทงเมื่อได้รับคำเตือนที่กินใจข้าง ๆ หูของเขา. เขาอยากที่จะพัดและเผาเปลวไฟของความกระตือรือร้นของเขา และต่อสู้เพื่อหลงยู่ซื่อไปจนตาย!

ในช่วงเวลาสั้น ๆ สิบวันที่ผ่านมา ผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลของเจี้ยงเฉินเข้าใจเพียง สองถึงสามในสิบส่วนของทักษะ "หมัดแปดปรมัตถ์"

แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความลึกลับของการพัฒนาประมาณสองถึงสามในสิบส่วนก็เพียงพอแล้ว.

ไม่ว่าอย่างไร หากเข้าใจกระบวนการของทักษะ หกถึงเจ็ดในสิบส่วนจะช่วยให้พวกเขาสามารถต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉีได้.

เข้าใจเพียงสองถึงสามในสิบส่วนและแปดคนทำหน้าที่เป็นหนึ่งเดียว จะช่วยให้พวกเขาสามารถจัดการผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉีได้. ความสามารถในการสู้รบร่วมกันของผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลของหงเทียนทงแทบจะเทียบอะไรไม่ได้เลยกับผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉี.

ระดับต่ำสุดของการฝึกฝนสำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยเขาต้องมีสิบเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี.

ระดับสูงสุดของผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลของหงเทียนทงคือระดับแปดเส้นชีพจร.

แน่นอนว่า โดยทั่วไปไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูดสำหรับการต่อสู้แบบกลุ่มเช่นนี้. ใครจะชนะก็ขึ้นอยู่กับการตอบโต้อย่างทรงพลัง.

ในมุมมองของเจี้ยงเฉิน ความสงบของหยูตงที่ผสานกับการรวมตัวของพี่น้องตระกูลเซี่ยวทำให้เกิดการโจมตีที่รุนแรง. แม้ว่ารูปแบบการเชื่อมต่อจะยังไม่คล่องเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาประหม่า.

สำหรับคนที่ประสานงานร่วมกันเป็นครั้งแรก การไม่แตกแยกกันก็เท่ากับว่าประสบความสำเร็จ.

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ระดับสูงเช่นนี้ - ถ้าทำตามลำดับของกระบวนท่าและสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามระส่ำระสายได้ก็จะถือว่าเป็นความสำเร็จที่สูงสุด.

แม้ว่าทางฝ่ายของหงเทียนทงจะได้เปรียบเพราะเขามีผู้พิทักษ์ที่มีระดับแปดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี แต่นอกเหนือจากนั้นทีมของเขาไม่มีข้อดีเลย.

สามคนที่มีระดับเจ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี?

ไร้ค่า !

ผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลของเจี้ยงเฉินทั้งหมดอยู่ในระดับเจ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี.

ด้วยวิธีนี้ ผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลของหงเทียนทงเริ่มขาดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นในขณะที่พวกเขาต่อสู้. ผู้ฝึกฝนพลังลมปราณฉีที่มีระดับแปดเส้นชีพจรได้รับการยกย่องในช่วงแรกเริ่ม เขาโจมตีสุดพละกำลัง จู่โจมในทุกทิศทาง.

แต่เขาก็ได้ค้นพบอย่างน่าอนาจว่า หลังจากคู่ต่อสู้สองคนรวมตัวกันเป็นทีมเล็ก ๆ หลังจากการสื่อสารอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนได้ต้านการโจมตีของเขา.

และการรวมตัวของพวกเขาที่ดูเหมือนจะยุ่งเหยิงและไม่เป็นระเบียบ ผลักดันให้สองหรือสามคนสามารถสร้างทีมเล็ก ๆ ได้ตลอดเวลา. พวกเขาสามารถโจมตีได้หากพวกเขาก้าวไปข้างหน้า และสามารถป้องกันได้ถ้าพวกเขาถอยกลับ.

ทักษะ "หมัดแปดปรมัตถ์" ได้รวบรวมพลังอำนาจของแปดคนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะดึงลมหายใจของทั้งแปดให้ไปในทิศทางเดียวกัน. พลังนี้อาจแตกหักและอาจเป็นปึกแผ่นได้ มันจะเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด.

บรรดาผู้ชุมนุมคิดว่าพวกเขาจะได้เห็นเหตุการณ์ที่กลุ่มของหงเทียนทงบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม ใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนอย่างไม่คาดคิดหลังจากการประลองไม่กี่ยก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผู้พิทักษ์ที่มีระดับแปดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี เขาบ่นกระปอดกระแปดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นและจนบัดนี้ก็ยังไม่หยุด.

พี่น้องตระกูลเซี่ยวและกุยจิน คนสามคนที่มีพลังโจมตีสูงมาก ได้จัดตั้งทีมโจมตีขึ้นและได้มุ่งความสนใจไปที่เขาอย่างบ้าคลั่ง.

อีกสามคนที่มีระดับเจ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีถูกโจมตีด้วยสามผู้ใช้ดาบเว่ยซูฉี กิมมูและไป๋หยุน.

หอกของเชินยี่ฟานจวกแทงทุกคนที่เคลื่อนไหว เขาร่วมมือกับหยูตง และพวกเขาสามารถจัดการอีกสี่คนที่มีระดับหกเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีได้อย่างง่ายดาย.

และส่วนที่แยบยลที่สุดในขบวนการนี้ก็คือ ทีมเล็ก ๆ ที่ไม่ได้แยกจากกัน. พวกเขาใช้พลังร่วมกันในทุกขั้นตอนและการเคลื่อนไหวหรือเร่งรุดเพื่อช่วยกันและกัน.

ในช่วงแรก คนที่ไม่รู้จักความลับของรูปแบบนั้นไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของมันได้. พวกเขาคิดว่าทั้งแปดคนร่วมมือกันเป็นอย่างดี. ในขณะที่การสู้รบยึดเวลาออกไป คนที่มีความรู้กว้างขวางอาจดูเหมือนจะอ่านอะไรบางอย่างออกจากสถานการณ์นี้.

ยกเว้นความลึกลับของการรวมตัวนี้ซับซ้อนมากเหลือเกิน พวกเขาจะเข้าใจได้เพียงแค่การมองดูไม่กี่ครั้งอย่างนั้นหรือ?

ทันใดนั้น คนที่มีระดับแปดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีได้ร้องแผดร้องอย่างน่ากลัว เมื่อแท่งทองแดงของเซี่ยวชวนกระแทกลงบนหลังอย่างรุนแรง. เลือดสดไหลออกมาจากปากของเขา เนื่องจากกระดูกสันหลังของเขาแตกออกเป็นหลายชิ้น และเขากระเด็นออกไปกลับเหมือนว่าวที่สายป่านหลุดลอยไป

จิตวิญญาณการต่อสู้ของคนอื่น ๆ เหือดหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นผู้ฝึกฝนที่มีระดับแปดเส้นชีพจรล้มอย่างไม่เป็นท่า. เปลวไฟของความโกรธในหัวใจของกุยจินยังไม่ได้รับการปัดเป่า. แสงได้ส่องประกายผ่านใบมีดของเขาขณะที่เขาตัดแขนขวาของฝ่ายศัตรูที่มีระดับเจ็ดเส้นชีพจร.

เซี่ยวชานไม่รอช้าขณะที่เขาโบกขวานอันมหึมาของเขาและสับไปยังเอวของฝ่ายศัตรู. เขาอ้วนไม่มาก เคลื่อนไหวค่อนข้างช้า ระดับเจ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี ขณะนี้เอวของเขาถูกสับออกเป็นสองท่อน เลือดและเนื้อกระจายไปทั่วทุกทิศทาง.

กลุ่มของหงเทียนทงสลายตัวในชั่วพริบตา ขณะที่พวกเขาส่งเสียงร้องของความทุกข์ทรมาน.

"หยุด ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแพ้ในการประลองครั้งนี้.!" เมื่อหงเทียนทงโต้ตอบ เสียงแห่งความเจ็บปวดแผ่ร้องออกมา.

.เขามองอีกครั้งไปยังสถานที่เกิดเหตุ. สองคนเสียชีวิตในสนามประลอง อีกสองคนได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส และอีกคนแขนขาด. ที่เหลืออีกสามคนได้รับบาดเจ็บและมีใบหน้าที่ซีดขาว

ถ้าหงเทียนทงตัดสินใจช้าไปกว่านี้ การประลองต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงด้วยการทำลายล้างกองกำลังของเขาทั้งหมดอย่างสมบูรณ์.

เซี่ยวชานยิ้มกว้างและพาดขวานขนาดใหญ่ของเขาลงบนไหล่ พลางหัวเราะ "ความสุข ความสุขที่ยิ่งใหญ่ ! ยังมีใครอีกที่อยากลองดี? มาซิ,จะได้เล่นสนุกกัน "

กุยจินยกใบมีดขึ้นชี้ไปยังหงเทียนทงพลางพูดว่า "เจ้ากับสกุลหง พวกเจ้าดูถูกพ่อของข้า. แม้ว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในสี่ขุนนางที่ยิ่งใหญ่ที่สุด,ข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้าเป็นการล้างแค้นให้พ่อของข้าไม่ช้าก็เร็ว "

"เจ้า ... เจี้ยงเฉิน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้ากล้าที่จะทำเรื่องโหดเหี้ยมในการประลองการต่อสู้ครั้งนี้!" หงเทียนทงอึ้งพูดไม่ออก. เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้.

เจี้ยงเฉินกระซิบว่า "ถ้าข้าจำไม่ผิด ใครกันที่บอกว่าเราควรยอมรับชะตากรรมที่โหดร้ายของตัวเองหากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น?"

หงเทียนทงหน้าซีดเผือด และหัวใจของเขาเจ็บมากราวกับว่ามีเลือดไหลออกมา เมื่อเขานึกถึงความจริงที่ว่าผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลที่แข็งแกร่งครึ่งหนึ่งถูกทำลายไป แสดงให้เห็นว่าเขาไม่สามารถผ่านการทดสอบเพื่อชิงตำแหน่งขุนนางระดับหนึ่งได้.

เมื่อเขานึกถึงหายนะที่เกิดขึ้นนี้ ดวงตาของหงเทียนทงก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด เขากำลังคลุ้มคลั่ง. "เจี้ยงเฉิน เจ้าทำลายความฝันของข้า เจ้าจะต้องชดใช้สำหรับการกระทำครั้งนี้!"

หลงหยินเยตบหน้าหงเทียนทงก่อนที่หงเทียนทงกำลังจะทำอะไรบางอย่าง "คนโง่เง่าที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ถอยไป !"

แรงตบของฝ่ามือที่กระแทกลงบนใบหน้าของหงเทียนทงโดยตรงทำให้เขากระเด็นห่างออกไปหลายเชียะ

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.