หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 73 ตำนานของการพัฒนา

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

เจี้ยงเฉินขยับตัวและกล่าวว่า "ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีใด,เจ้าจะต้องทะลวงให้ถึงเจ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีให้ได้ภายในสิบวัน"

เจี้ยงเฉินได้ออกคำสั่งที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองได้ และได้สร้างความรีบเร่งให้กับผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลจำนวนแปดคน.

ตั้งแต่ที่เจี้ยงเฉินเลือกภารกิจที่สองของเขาจนถึงบัดนี้ เวลาผ่านไปเพียง 5-6 วันเท่านั้น. เขายังคงมีเวลาเหลืออยู่มาก.

หลังจากการคำนวณบางอย่างแล้ว เขาได้ตัดสินใจที่จะตั้งระยะเวลาที่เหมาะสมเป็นเวลา 10 วัน. มันทำให้รู้สึกรีบเร่งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้รีบร้อนจนเกินไป มันจะเป็นช่วงเวลาที่จะเพียงพอที่จะกระตุ้นศักยภาพของพวกเขา.

เจี้ยงเฉินได้วางแผนไว้ว่าจะใช้เวลา 10 วันนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด.

ประการแรก การเปลี่ยนแปลงในดินแดนเผ่าจื่อจิงของอาณาเขตเจี้ยงหานจำเป็นต้องใช้เวลาในการดูแลอย่างเต็มที่.

ประการที่สอง เจี้ยงเฉินไม่อยากปล่อยให้เวลาหมดไปโดยเปล่าประโยชน์. เขาต้องการที่จะฝึกซ้อมอย่างจริงจังในอาณาเขตเจี้ยงหาน.

เวลาเป็นเงินเป็นทอง ในทุกลมหายใจนั้นล้ำค่ามากสำหรับเขา นับตั้งแต่ที่เขากลับชาติมาเกิด.

ในอีก 10 วันข้างหน้า เจี้ยงเฉินยึดมั่นอย่างต่อเนื่องในการจัดตารางการทำงานที่มีการควบคุมอย่างดีทุกวัน. อย่างไรก็ตาม เขามักจะใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อจัดการเรื่องบางส่วนของอาณาเขตและได้ตรวจสอบข้อมูลที่ส่งกลับมาจากดินแดนเผ่าจื่อจิง.

เขาสร้างความวุ่นวายนี้ขึ้นมาดังนั้นเขาจึงควรหาทางแก้ไข,เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อภาพรวมที่ยิ่งใหญ่กว่า และสั่นคลอนรากฐานทางการเมืองของตระกูลเจี้ยง. นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เจี้ยงเฉินไม่ต้องการเห็น.

เป็นสิ่งที่ดีที่ตระกูลจิงปกครองอย่างกดขี่และเผด็จการมาตลอด มันทำให้ประชาชนไม่มีใครเห็นใจพวกเขาเลย. หลังจากการถอนรากถอนโคนตระกูลจิง เหตุการณ์ตามสถานที่ต่าง ๆ ในอาณาเขตเจี้ยงหานก็สงบมาก โดยไม่มีสถานการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น.

"เซี่ยวยู ข้าหวังว่าเจ้าจะได้ใช้โอกาสนี้ในการเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น" เจี้ยงเฉินตั้งความหวังไว้ลึก ๆ ภายในใจ. เขารู้ดียิ่งกว่าคนอื่นว่า ถ้าอาณาเขตเจี้ยงหานอยู่ในการควบคุมของคนในตระกูลเจี้ยง ในอนาคตเจี้ยงยูจะต้องเป็นขุนนางในอนาคตแห่งเจี้ยงหาน.

เขา เจี้ยงเฉินมีความทะเยอทะยานและความปรารถนาอันแรงกล้า. เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมสละการฝึกศิลปะการต่อสู้ให้กับการเป็นผู้ปกครองอาณาเขต.

สิบวันเวลาผ่านไปอย่างสงบ.

"เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว. สิบวันได้ผ่านไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว. แม้ว่าข้ายังไม่ได้พัฒนาไปถึงเก้าเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี,แต่ข้ามีคุณสมบัติในการทะลวงสู่ระดับนั้นอยู่แล้ว. ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าทั้งแปดคนเป็นอย่างไรบ้าง? "

อันที่จริง ไม่มีใครในแปดคนที่ทำให้เขาต้องผิดหวัง. พวกเขาทั้งหมดประสบความสำเร็จหลังจากได้คร่ำเคร่งฝึกฝนกันอย่างหนักถึงสิบวัน.

หยูตงเป็นคนแรกที่สามารถพัฒนาระดับเส้นชีพจรได้ในวันที่สี่.

เว่ยซูฉีและกุยจินใช้เวลาหกวัน.

พี่น้องเซี่ยวทำสำเร็จในวันที่เจ็ด.

ส่วนที่เหลืออีกสามคนสามารถพัฒนาระดับได้ในในวันที่แปดและเก้า!

"ดีมาก พวกเจ้าไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง" เจี้ยงเฉินพยักหน้า. "ภารกิจของข้าไม่ได้เป็นเพียงการรับสมัครผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลแปดคน การทดสอบนี้ยังเกี่ยวข้องกับศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋า. ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีระดับเจ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี และด้วยเหตุผลดังกล่าวควรไม่มีปัญหาในการจัดการทดสอบ อย่างไรก็ตาม หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ข้าจะถ่ายทอดทักษะการต่อสู้ตามลักษณะเด่นของแต่ละคน. นอกจากนี้ข้าจะถ่ายทอดทักษะการโจมตีและการป้องกันอีกชุดหนึ่ง เพราะเมื่อพวกเจ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรู พวกเจ้าจะไม่ต้องต่อสู้เพียงลำพังและจะสามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการต่อสู้กลุ่มที่น่าอัศจรรย์ได้ "

เจี้ยงเฉินใช้เวลาและครุ่นคิดหาวิธีการให้กับแปดผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลในช่วงเวลานี้.

แน่นอนว่า เจี้ยงเฉินจะไม่ใช้วิธีการที่รุนแรงมากนักในขั้นตอนนี้ และถ่ายทอดวิธีการที่ท้าทายธรรมชาติบางอย่าง. ทักษะที่เขาเลือกทั้งหมดเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละคน. เขาเลือกคนที่มีวิธีการแสดงออกได้ดีท่ามกลางหมู่ชนชั้นสูงในอาณาจักรตะวันออก แต่ดูเหมือนว่าทุกคนมีความสามารถที่ไม่ว่าใครในอาณาจักรตะวันออกก็จะไม่ปฏิเสธ.

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์ส่วนตัวของเขา เจี้ยงเฉินยังคงไม่ประสงค์ที่จะทำลายความฝันของพวกเขาด้วยความกระตือรือร้นที่มากเกินไป. ประการแรก เนื่องจากไม่มีใครสามารถเอื้อมไปถึงท้องฟ้าได้เพียงแค่การฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋าเพียงครั้งเดียว และประการที่สอง เขากำลังปกป้องพวกเขาโดยการไม่ถ่ายทอดพลังเหนือธรรมชาติให้กับพวกเขาในทันที.

แน่นอน เจี้ยงเฉินมีทางเลือกมากมายในการเลือกรูปแบบการต่อสู้

เจี้ยงเฉินได้เลือกวิธีการที่ลึกกว่าเดิมเพื่อรวมทั้งแปดคนเข้าด้วยกัน.

"นี่คือทักษะวิธีการ 'หมัดแปดปรมัตถ์' (1) เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่สามารถใช้ในการโจมตีและป้องกันได้ในเวลาเดียวกัน. เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู มันจะเปลี่ยนแปลงไปในหลายรูปแบบ. กระบวนท่ายังมีความยากที่จะคาดเดาเมื่อโจมตีและป้องกัน. หากพวกเจ้าสามารถทำความเข้าใจได้ถึงหกหรือเจ็ดในสิบส่วน ด้วยความสามารถในปัจจุบันของพวกเจ้า แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉีที่แท้จริงบางคนก็ยังไม่อาจต่อกรกับเจ้าได้. เมื่อฝ่ายตรงข้ามอยู่ในระดับเดียวกับพวกเจ้า พวกเจ้าจะสามารถรับมือกับกับศัตรูนับร้อยได้อย่างง่ายดาย. "

"ผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉี? แปดคนสู้กับร้อยคน? " ดวงตาอันใหญ่โตของเซี่ยวชานกระพริบ และประหลาดใจอีกครั้ง.

"เซี่ยวชาน หยุดแสดงออกด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นจนเกินไป. ขุนนางน้อยต้องมีเหตุผลในการพูดเช่นนั้น " ผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลทั้งแปดคนได้ทำความคุ้นเคยกับความแข็งแกร่งและความลึกลับของเจี้ยงเฉินอย่างละเอียดหลังจากที่ได้ค้นพบจุดชีพจรแล้ว.

"ฮ่า ฮ่า เขากำลังตะลึง. มีความสามารถในการต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉีที่แท้จริงก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เลือดของคนอื่นเดือดได้ "

"นี่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พวกเจ้าต้องทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิธีการหกถึงเจ็ดในสิบส่วน ถ้าพวกเจ้าสามารถทำความเข้าใจได้แปดในสิบส่วนแล้วละก็จะไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะฆ่าผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉี. หากพวกเจ้าสามารถทำความเข้าใจได้เก้าในสิบส่วน การสังหารผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉีจะเป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการฆ่าสุนัข. "

เจี้ยงเฉินเป็นคนคนที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเมื่อพูดแบบนี้.

"แล้ว .. ถ้าเราทำความเข้าใจได้ทั้งหมด ?" เซี่ยวชานถามอย่างลังเล.

ทั้งหมด ? เจี้ยงเฉินยิ้ม. "เอาแบบนี้ ถ้าพวกเจ้าทั้งแปดคนสามารถทำความเข้าใจได้ทั้งหมด พวกเจ้าก็จะไม่พ่ายแพ้แก่ผู้ใดในอาณาจักรตะวันออก พวกเจ้าจะสามารถเอาชนะได้ทุกคนยกเว้นผู้ฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณเต๋า. ถ้าพวกเจ้าสามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉีได้ในภายภาคหน้า แม้กระทั่งผู้ที่เพิ่งย่างเท้าเข้าไปในวิญญาณแห่งเต๋าจะต้องรักษาระยะห่างจากตัวพวกเจ้า! "

"ผู้ฝึกฝนพลังจิตวิญญาณแห่งเต๋าต้องรักษาระยะห่างของพวกเขาจากเรา ?" ลิ้นของเซี่ยวชานกำลังจะผูกกันเป็นปมในขณะที่แสงส่องประกายในดวงตาของเขา. เขาเริ่มอดใจรอไม่ไหวที่จะฝึกฝนวิธีการนี้และตามหาผู้ฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อทดสอบและยืนยันเรื่องนี้!

"เซี่ยวชาน ทำไมเจ้าไม่สงบสติอารมณ์ของเจ้าซะบ้าง. ขุนนางน้อยกำลังบอกว่าพวกเราทุกคนต้องเข้าร่วมกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉี และเข้าใจการก่อตัวของทักษะนี้อย่างถี่ถ้วนก่อนที่เราจะมีคุณสมบัติในการสู้รบกับผู้ฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณแห่งเต๋า " กุยจินยกถังน้ำเย็นและราดใส่ตัวเขาได้ทันเวลา.

"ฮ่า ฮ่า, ผู้เชี่ยวชาญพลังลมปราณฉี แน่นอนว่าพวกเราต้องสามารถพัฒนาพลังของเราได้! แต่ยังไม่มีใครเคยเห็นบรรดาคนในตำนานแห่งการฝึกจิตวิญญาณ. ตำแหน่งของลุงข้าสูงมากและเขาเตร็ดเตร่อยู่รอบเมืองหลวงเป็นเวลาหลายปีแล้ว - ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่เคยได้เห็นนักฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณเต๋าเลยล่ะ "

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเซี่ยวชานรู้สึกตื่นเต้นมาก. สำหรับอาณาจักรสามัญทั่วไป การดำรงอยู่ของผู้ฝึกฝนพลังจิตวิญญาณแห่งเต๋านั้นมีพื้นฐานอยู่ในระดับเดียวกับตำนานของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในเทพนิยายโบราณ –ในตำนานเท่านั้น.

แม้ว่าจะมีข่าวลือว่าอาณาจักรตะวันออกมีผู้ฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณ ไม่ใช่ว่าทุกคนในอาณาจักรตะวันออกจะมีความสามารถในการสังเกตเห็นว่าใครคือผู้ฝึกฝนหลังแห่งจิตวิญญาณเต๋า.

ดังนั้นในหัวใจของหนุ่มสาวทั้งหมดในอาณาจักรตะวันออกที่ใฝ่หาศิลปะการต่อสู่แห่งเต๋า,การดำรงอยู่ของผู้ฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณเต๋าคือตำนาน,ราวกับสัญลักษณ์ของเสาเทพยดา.

มาลองคิดกันดูดี ๆ แล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ การได้ต่อสู้กับผู้ฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณเต๋าเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ? จะมีเกียรติแค่ไหน ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเซี่ยวชานถึงสติแตกได้อย่างนี้.

ผู้ฝึกฝนพลังแห่งจิตวิญญาณเต๋าเปรียบเสมือนเทพสำหรับผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ทั่ว ๆ ไป.

"การพัฒนาและการฝึกฝนมันไม่ได้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน. เรื่องเร่งด่วนสำหรับพวกเจ้าในขณะนี้คือการฝึกฝนพลังลมปราณฉีและทักษะของศิลปะการต่อสู้. กุยจิน,เจ้าจงตั้งสมาธิเพ่งความสนใจไปยังพลังของใบมีด. พี่น้องเซี่ยวคนหนึ่งฝึกฝนการใช้ขวาน ส่วนอีกคนให้ทำความคุ้นเคยกับแท่งทองเหลือง. ทั้งสองเป็นอาวุธหนักที่สามารถแสดงพละกำลังของพวกเจ้าได้อย่างเต็มที่. เว่ยซูฉี กิมมู และไป๋หยุน พวกเจ้าทั้งสามคนต่างใช้ดาบ แต่พลังของดาบนั้นกว้างขวางและลึกซึ้ง. แต่ละคนจะเดินตามเส้นทางที่แตกต่างออกไปของตัวเอง. เชินยี่ฟาน เจ้าใช้หอก. มันสามารถชี้เป้าได้อย่างแม่นยำในเส้นทางที่ยากและรุนแรง. หยูตง เจ้าแตกต่างจากพวกเขา เนื่องจากทักษะของเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดไว้ในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง.”

หยูตงแสดงออกด้วยอาการเศร้า. แม้ว่าเขาจะเป็นลูกพี่ลูกน้องคนเล็กของขุนนางน้อย เขาสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็กและอาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลทางฝ่ายแม่ของเขา. เขาถูกข่มขู่โดยลูกพี่ลูกน้องคนโตของเขาตั้งแต่เด็กและเขาต้องพยายามเอาตัวรอดกับชีวิตที่แตกร้าว. การฝึกฝนพลังลมปราณฉีจนถึงระดับหกเส้นชีพจรสำหรับเขาเป็นเรื่องยากมากเลยทีเดียว.

สำหรับทักษะของศิลปะการต่อสู้ ตระกูลหลานจากเผ่าหยิงหลานไม่เคยให้ความคิดใด ๆ ในการเตรียมตัวให้กับเขาเลย. อาจจะกล่าวได้ว่าพวกตระกูลหลานตั้งใจกดขี่หยูตง เนื่องจากมันไม่ดูเหมือนเรื่องบังเอิญเลยซักนิด.

พวกเขาไม่ต้องการให้หยูตงกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงและโดดเด่นกว่าลูกหลานของตระกูลหลาน. อย่างไรก็ตาม หยูตงเป็นญาติของตระกูลขุนนาง. จะเกิดอะไรขึ้นถ้าศักยภาพของเขาแข็งแกร่งเกินไปส่งผลให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งในคฤหาสน์ของขุนนาง? มันจะก่อให้เกิดผลเสียกับตระกูลหลานในอนาคตหรือไม่?

ด้วยเหตุผลเหล่านี้,หยูตงจึงมีชีวิตที่ยากลำบากอยู่ในตระกูลหลาน. ดังนั้น,เขาจึงฝึกฝนทักษะการต่อสู้แบบง่าย ๆ และไม่มีลักษณะเฉพาะ.

"หยูตง,เจ้าชอบอะไร? เจ้าคิดว่าอาวุธใดที่เหมาะกับเจ้ามากที่สุด? "

"ข้าชอบอาวุธที่ซ่อนเร้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนูและลูกศร"

"คันธนูและลูกศร ?" เจี้ยงเฉินใช้ความคิด. ตอนนี้เขาขาดแคลนคนที่มีฝีมือในการโจมตีที่แปลกออกไปจากทั้งแปดคนนี้. หยูตงมีศักยภาพสูงกว่าคนอื่น ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีถ้าเขามุ่งมั่นที่จะฝึกซ้อมการซุ่มโจมตี.

"เอาล่ะ เมื่อเรากลับไปที่เมืองหลวง ข้าจะซื้อคันธนูที่ดีที่สุดให้กับเจ้าในโอกาสนี้. เจ้าจะเริ่มฝึกการใช้ธนูและลูกศรตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป "

"ไป๋หยุน, ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับยาพิษ. เจ้าสามารถใช้ความพยายามมากขึ้นและค้นคว้าในเรื่องนี้ได้. เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ส่วนตัวของข้าดังนั้นจึงควรฝึกฝนให้มีความสามารถในทุกทักษะอย่างกว้างขวาง. ทักษะเพิ่มเติมไม่ถือว่าเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นต่อร่างกาย. ยิ่งเจ้ามีทักษะหลายรูปแบบและมีประสบการณ์มากขึ้น เจ้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต "

ผู้พิทักษ์ทั้งแปดคนพยักหน้าเนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าขุนนางน้อยพูดถูกทุกอย่าง.

บนเส้นทางของการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋า ทักษะและพรสวรรค์ที่มากขึ้นหมายถึงการรับประกันที่เพิ่มขึ้น. ท้ายที่สุดโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ได้เต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอมและการทุจริต. หลายครั้ง คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่ใช่คนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่.

ขณะที่เจี้ยงเฉินกำลังฝึกผู้พิทักษ์ส่วนบุคคลทั้งแปด เจี้ยงตงเข้ามาเยี่ยมและเขาดูรีบร้อนมาก.

ลุงสาม มีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านต้องรีบร้อนขนาดนี้?

"เฉินเอ๋อ มีข้อความเร่งด่วนเพิ่งมาจากดินแดนของเผ่าจื่อจิงมีขนนกสามเส้นติดอยู่. นี่แสดงให้เห็นถึงข้อมูลลับอันเร่งด่วนในระดับสูงสุด "

"อะไรคือข้อมูลลับ?"

"จดหมายพูดเพียงว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นในพื้นที่ของเผ่าจื่อจิง และขอให้ขุนนางน้อยรีบไปควบคุมสถานการณ์!"

"เป็นไปได้ไหมว่าจดหมายฉบับนี้อาจจะเป็นกับดัก?" เจี้ยงเฉินถาม.

มันไม่น่าจะใช่กับดัก. ตัวอักษรมีรหัสลับของตระกูลเจียงและดูจากการเขียนก็เหมือนกับลายมือของเซี่ยวยู "

มีบางสิ่งเกิดขึ้น แต่จดหมายก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใด ๆ.

การก่อกบฏจากกองกำลังของเขา? มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น. เราได้กำจัดผู้สมรู้ร่วมคิดและพันธมิตรทั้งหมดของเผ่าจื่อจิงไปหมดแล้ว. เผ่าอื่น ๆ ไม่สามารถหาข้ออ้างเพื่อที่จะก่อกบฏได้.

นอกจากนี้หากชนเผ่าอื่นก่อกบฏ จดหมายลับอันเร่งด่วนก็ไม่น่าจะถูกส่งมาจากดินแดนเผ่าจื่อจิง.

หรือจะเป็นการบุกรุกของศัตรูที่แข็งแกร่ง?

มันก็ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น. หากศัตรูที่เข้มแข็งบุกรุกจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดปังเรื่องนี้ในจดหมาย.

"หากเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะออกเดินทางทันที. ถ้าเราขี่ม้าไปอย่างเร็วที่สุดเราคงไปถึงที่นั่นก่อนเที่ยง "

เจียงเฉินไม่ใช่คนที่ชักช้าและลังเล. เขารีบเรียกกองกำลังของเขาพร้อมกับเตรียมม้าที่รวดเร็วสำหรับการเดินทาง.

เจี้ยงเฉินไม่กลัวการกบฏที่กำลังเกิดขึ้นในอาณาเขตเจี้ยงหาน. พิจารณาจากจดหมาย ต้องเป็นไปได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นในดินแดนของเผ่าจื่อจิง และการเปลี่ยนแปลงที่ว่าต้องเก็บเป็นความลับ.

มิฉะนั้น เจี้ยงยูจะสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนในจดหมาย.

พวกเขาควบม้าไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาวิ่งไปตามทาง. เจี้ยงเฉินและกลุ่มผู้ติดตามของเขาเข้าไปยังดินแดนของเผ่าจื่อจิงก่อนเที่ยง.

"พี่เฉิน ท่านมาถึงแล้ว" ราวกับว่าเจียงยูได้เห็นผู้ช่วยชีวิตเมื่อเขามองไปยังเจี้ยงเฉิน และเขาก็เดินนำเจี้ยงเฉินเข้าไปในห้องลับ.

"เซี่ยวยู เกิดอะไรขึ้น?" เจียงเฉินขมวดคิ้วขึ้น.

"พี่เฉิน มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น. สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด. ข้าได้สั่งให้ปิดข่าวนี้เป็นความลับแล้ว. นอกจากผู้อาวุโสซี่ ผู้อาวุโสของตระกูลคนอื่นก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้. ข้าไม่กล้าประกาศให้ใครรู้ "

"โอ้ ?" เมื่อเห็นว่าเจี้ยงยูเคร่งขรึมมาก ต่อมความสนใจของเจี้ยงเฉินก็พองโตขึ้นมาทันที.

"พี่เฉิน เมื่อวานนี้หมอหลวงของเราได้เดินทางไปยังดินแดนหลักที่มีการเพาะปลูกในการรดน้ำสวนยาของเขาตามปกติในช่วงพลบค่ำ แต่โอสถจิตวิญญาณในท้องทุ่งก็ได้เติบโตอย่างเต็มที่ด้วยตัวของมันเอง!"

.......................

(1) ปาจี๋เฉวียนหรือหมัดแปดปรมัตถ์ เป็นวิชามวยอันทรงพลัง เคลื่อนกำลังจากพื้น ส่งแรงด้วยการกระแทกเท้า ยามใช้รวดเร็วฉับพลัน ใช้หลักอิงแอบประชิด ป้อง ประคอง เกาะติด จู่โจมด้วยการอัด พุ่ง กระแทก งัด และชน มุ่งฝึกอวัยวะทั้งแปดส่วน ศีรษะ ไหล่ ศอก มือ เอว สะโพก เข่า เท้า แสดงพลังราวกับระเบิดออกไปทั้งแปดทิศ ดูภายนอกท่าร่างแข็งกร้าว แต่ภายในอ่อนไหว ลื่นไหลเชื่อมโยงส่งแรงซับซ้อน กระบวนท่าเรียบง่ายแต่เด็ดขาดรุนแรง

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.