หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 132 ข้าต้วนหลิงเทียน รังเกียจนัก!!

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

"โอ๊ย!" อาการเจ็บปวดที่รุนแรงบริเวณเนื้อด้านในของขา ทำให้หยูเซี่ยงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด และตอนนี้เขาก็ได้รับรู้แล้ว...ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้า มันเป็นเรื่องจริง หาใช่ความฝันแต่อย่างใด ...

"หยูเซี่ยง!" มีเหรอที่คนอย่างต้วนหลิงเทียนจะ ดูไม่ออกหรือไม่รู้ว่า การกระทำเมื่อครูของหยูเซี่ยงมันเป็นเพราะอะไร? ตอนนี้ที่มุมปากของหลิงเทียนปรากฏยิ้มแสยะขึ้นมา "เอาล่ะ ไหนตอนนี้เจ้าบอกข้าทีสินายน้อยหยูผู้ยิ่งใหญ่ ว่าเจ้าคิดอย่างไร ถ้าเกิดข้าจะค่อยๆแล่เนื้อของเจ้าออกมาทีละชิ้นๆ โดยให้เจ้ามองดูมันแต่ไม่สามารถทำกระไรเพื่อหยุดมันได้ รวมทั้งข้าจะแล่มันให้บางที่สุดอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆย่างให้เจ้ากิน จนกว่าเจ้าจะรู้สึกว่าตกตายไปเสียจะประเสริฐกว่า เจ้าคิดอย่างไรเล่า ... เอ...หรือว่าข้าควรสงสาร และฆ่าเจ้าให้ตายอย่างรวดเร็วดี? "

และพริบตาต่อมาการกระทำของหยูเซี่ยงก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงอย่างถึงที่สุด

ตุบๆ!

หยูเซี่ยงพลันคุกเข่าลงบนพื้นดินและเริ่มทำการโขกศีรษะรัวถี่ยิบ! จนศีรษะของมันแตกออกโลหิตหลั่งออกมาชโลมใบหน้า อีกทั้งยังกล่าวอ้อนวอนออกมาอย่างน่าสมเพช "ต้วนหลิงเทียน ได้โปรด เจ้าปล่อยข้าไปเถอะนะ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ... ข้ายังไม่อยากตาย! ได้โปรดข้ายังไม่อยากตายตอนนี้จริงๆ"

เมื่อความตายย่างกรายเข้ามาใกล้ หยูเซี่ยงก็โยนเกียรติยศศักดิศรีและความหยิ่งยโสต่างๆ ทิ้งไปทันที ...

"ปล่อยเจ้าไปน่ะรึ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยหยันออกมา "ปล่อยให้เจ้ากลับไป? เพื่อที่เจ้าจะได้ไปฟ้องคนที่ตระกูลหยู รวมทั้งพาคนอื่นๆมาล้างแค้นข้าอีกน่ะหรือ?"

หยูเซี่ยงรีบส่ายหัว เขากลาวออกมาพร้อมร่างกายที่เริ่มสันระริก "ข้าจะไม่นำใครมาเพื่อล้างแค้นเจ้า ข้าสาบาน! ข้าจะไม่ไปพาใครมาล้างแค้นเจ้าทั้งสิ้น!... "

"อะไร พ่อและพี่ชายของเจ้าล้วนตกตายด้วยมือของข้า เจ้าแน่ใจงั้นหรือที่จะไม่ไปพาผู้ใดมาล้างแค้นหรือคิดแก้แค้นข้าอีก?" หลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

"จริงๆ ข้าไม่กระทำแล้วจริงๆ!" หยูเซี่ยงรีบมองไปยังหลิงเทียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนทันที

อย่างไรก็ตามหลิงเทียนย่อมสังเกตได้ถึงประกายตาคิดไม่ซื่อแว่บออกมาครู่หนึ่งในเสี้ยวพริบตา ...แต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยอยูเซี่ยงไปอยู่ดี

หากวัชพืชไม่ถูกกำจัดด้วยการถอนรากถอนโคน เมื่อยามสายลมฤดูใบไม้ผลิหวนพัดโชยมาอีกครั้ง พวกมันก็จะงอกเงยฟื้นคืน!

ต้วนหลิงเทียนนั้น แน่นอนว่าเจอคนที่เสแสร้งอย่างหยูเซี่ยงมามากมาย เขาย่อมรู้ว่ายามนี้ในใจของมันคิดอะไรอยู่

"หยูเซี่ยงข้ายังจดจำทีท่าหยิ่งยโสโอหัง วางตัวสูงส่งไม่เห็นหัวผู้อื่นของเจ้า ในตอนที่พวกเราพบกันครั้งแรกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งตอนนั้นดูเหมือนเจ้าจะมองข้าด้วยสายตาดูแคลนและหยามหยันอีกด้วย ในตอนแรกข้าเองก็ไม่คิดที่จะใส่ใจอะไรกับเจ้านักหรอก แต่เจ้ากลับไปวางแผนการณ์อุบาทว์กับพี่ชายของเจ้า เพื่อหาคนมาเอาชีวิตข้า นี่จะกล่าวไป การตายของสหายพี่ชายเจ้า ,ตัวพี่ชายเจ้าเอง ทั้งยังบิดาของเจ้า ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากเจ้าทั้งสิ้น ! " ต้วนหลิงเทียนกวาดสายตาไปมองหยูเซี่ยง

“เจ้า ... การที่นายกองไป่เฟิ่งหายตัวไป หรือว่าจะเป็นฝีมือเจ้า?" ท่าทางของหยูเซี่ยงพลันแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว เพราะเขานึกถึงสหายที่ดีคนหนึ่งของพี่ชาย ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ตอนนี้หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวของหลิงเทียน เขาย่อมปะติดปะต่อเรื่องราวได้ลางๆ

หลิงเทียนพยักหน้าและเปิดเผยออกมา "แน่นอน ข้าเป็นผู้ลงมือสังหารมันเอง ก็ใช้จารึกอาคมแบบเดียวกันกับที่ใช้สังหารพี่ชายเจ้านั่นล่ะ ข้าสังหารมันตั้งแต่ค่ำคืนแรกในขุนเขาซ่อนอรุณแล้ว"

สีหน้าของหยูเซี่ยงเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขาไม่คาดเคยคาดคิดสักนิด ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หลิงเทียนไม่ได้กลัวหรือกังวลการล้างแค้นของเขาแม้แต่น้อย ... และหลังจากที่ได้ฟังคำกล่าวแล้วคิดตาม...ดูเหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเกิดจากการกระทำของเขาจริงๆ!

"ต้วนหลิงเทียน ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าสามารถให้คำมั่นสัญญากับเจ้าได้ ข้ายินดีเป็นสุนัขรับใช้เจ้า ไม่ว่าเจ้าสั่งอะไรข้าล้วนกระทำทั้งหมด เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง" ในแววตาของหยูเซี่ยงยามนี้เต็มไปด้วยความต้องการในการรอดชีวิต มันกลัวตายอย่างหนัก เพราะจะอย่างไรปีนี้มันพึ่งมีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้นมันไม่อยากตายในที่แบบนี้

"เป็นสุนัขรับใช้ข้านะเหรอ?" ต้วนหลิงเทียนอดไม่ที่จะตกตะลึง เข้าไม่คิดเลยว่า ตอนนี้เพื่อรอดชีวิตหยูเซี่ยงจะไม่สนความภูมิใจหรือหลงเหลือความหยิ่งอะไรแม้แต่น้อย เพื่อให้รอดสืบไปมันยินยอมแม้กระทั่งเป็นหมา! ดูเหมือน หยูเซี่ยงคนปัจจุบัน กับหยูเซี่ยงคนเก่าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสในตอนแรกนั้น จะเหมือนกันเพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้นแต่นิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

ถ้าหยูเซี่ยงยังคงความหยิ่งยโสหรือโอหังอย่างตอนแรกๆไว้สักหน่อย หลิงเทียนอาจจะยังพอนึกถึงมันบ้างสักเล็กน้อย ... แต่ตอนนี้แม้แต่จะลงมือสังหารมัน เขาก็ไม่อยากลดตัวไปกระทำ

"ฉงเฉวียน!" ต้วนกลิงเทียนกล่าวออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย็นชา

"ขอรับนายท่าน!" ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ออกคำสั่งให้กระจ่าง แต่แน่นอนล่ะว่าฉงเฉวียนนั้นเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนหมายถึงอะไร หลากจากที่เขาเองก็ติดตามต้วนหลิงเทียนคนนี้มา 2-3 เดือนแล้ว

"ไม่นะ อย่าฆ่าข้าเลย!" หยูเซี่ยงรีบหันหลังกลับและวิ่งหนีออกไปทันทีที่มันเห็นฉงเฉวียนเดินมาหา มันสัมผัสได้ว่ามันกำลังจะเผชิญกับอันตรายที่ถึงแก่ความตาย แต่อาศัยความเร็วที่ต้อยต่ำถึงเพียงนี้ยังกล้าคิดหนีฉงเฉวียน? ลมหายใจยังไม่ทันพ่นออกจนหมด หยูเซี่ยงก็ถูกจับได้เสียแล้ว สุดท้ายมันก็ถูกดาบของฉงเฉวียนผ่าออกเป็น 2 ส่วนอีกคน ภาพสมองและเลือดเนื้อเลอะเลือนค่อยๆไหลออกมารวมกับดินโคลนนั้นแลไปก็ดูสวยงามไม่น้อย

ภายใต้คำสั่งของหลิงเทียนฉงเฉวียนก็ลงมือค้นร่างศพทั้ง 3 ของตระกูลเซี่ยง เข้าพบเงินจำนวนหนึ่ง รวมถึงแหวนมิติของผู้อาวุโสหลัก หยูหุ่ย

"นายท่าน!" ฉงเฉวียนยืนมันให้แก่หลิงเทียนด้วยความเคารพ

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าก่อนที่จะเหลือบมองอาวุธวิญญาณระดับ 8 ดาบปีกนกที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้ถึง 20% ก่อนที่จะหันไปมองอาชาเหงื่อโลหิตทั้ง 3 "เอาล่ะ อาวุธวิญญาณของมันนี่โยนทิ้งไปเลยก็ได้ เพราะอีกไม่นานเมื่อข้ามีระดับบ่มเพาะถึง ข้าจะสร้างมันอีกกี่เล่มก็ได้ ส่วนอาชาเหงื่อโลหิตทั้ง 3 นั้น เอาไปลากจูงเกวียนของพวกเรา และขาย ม้า 5 ตัวแรกไปเมื่อถึงเมืองข้างหน้า"

ฉงเฉวียนจับจ้องไปยังหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวถามออกมาว่า "นายท่าน ... เอ่อ ...ท่านเป็นผู้หลอมศาสตราด้วยหรือ?"

"อะไร มันแปลกมากหรือ? ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะจุดเปลวเพลิงหลอมโอสถและเปลวเพลิงหลอมศาสตราออกมาพร้อมเพรียงกันหน้าตาเฉย และซัดพวกมันไปเผาศพพวกตระกูลหยูทั้ง 3 คน

ในขณะเดียวกันเขาก็ทำสัญญากับแหวนมิติของหยูหุ่ย ก่อนที่จะสำรวจสิ่งของด้านใน "หืม! โอ้โห มีเงินตั้ง 2,000,000 เหรียญเงินเลยหรือนี่ หยูหุ่ยนี่นับว่าไม่เลวนัก ถือว่าร่ำรวยกว่าไอเหอซื่อเต่าจากเมืองหมอกธาราอะไรนั่นตั้งเยอะ... "

ฉงเฉวียนจูงอาชาเหงื่อโลหิตทั้ง 3 ตัวตามหลังต้วนหลิงเทียนที่เดินนำออกไป เขารู้สึกว่าความรู้และความสามารถของหลิงเทียนนั้นเหนือล้ำมากกว่าคนธรรมดาไปไกลโข

นี่ไม่ใช่เรื่องตลกสักนิด! คนปกติทั่วไปในวัยเท่านี้จะไปมีความรู้และความเข้าใจสูงส่งขนาดนี้ได้ยังไง! อีกทั้งดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้เสียด้วย

ฉงเฉวียนยังคิดไปว่าบางที ต่อให้เป็นชนชั้นระดับผู้นำในนิกายไร้สิ้นสุดเองยังไม่มีความรู้ความสามารถเทียบเท่ากับนายท่านตัวน้อยนี่ได้ด้วยซ้ำ

"บางทีการที่ข้ามีโอกาสได้ติดตามนายท่านผู้นี้เป็นความโชคดีประการหนึ่งของข้า ... ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ที่สูงส่งถึงเพียงนี้ของนายท่าน ไม่นานคงทะยานไปเหนืออาณาจักรพณาคราม ข้ารู้สึกว่าทั้งชีวิตของข้าได้เปลี่ยนไปเมื่อได้ติดตามนายท่านผู้นี้ ... " ความคิดเหล่านี้ค่อยๆเกิดขึ้นในใจของฉงเฉวียน ทั้งความคิดเหล่านี้ยังเหมือนกับเมล็ดพันธ์ ที่สามารถงอกเงยเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ...

หลายปีต่อมาเมื่อฉงเฉวียนมองย้อนกลับมา เขาย่อมพบว่าความคิดในช่วงเวลานี้ของเขานั้นเป็นเรื่องถูกต้องที่สุดอย่างแท้จริง

หลังจากที่เดินเข้ามาในเกวียนหลิงเทียนก็พบว่า ทั้งลี่หลัว ลี่เฟย และเค่อเอ๋อ กำลังจับจ้องเขาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

"เอ๋ อ้าว นี่ตื่นกันหมดเลยหรือ?" ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเริ่มปรากฏรอยยิ้ม

"นายน้อยเกิดอะไรขึ้นเหรอเจ้าคะ?" เค่vเอ๋อกล่าวถามออกมาด้วยดวงตากลมโตน่าเอ็นดู

"ไม่มีอะไรหรอก แค่พวกโจรไม่กี่คน" ต้วนหลิงเทียนส่ายศีรษะเบาๆ แล้วกล่าวตอบออกมาเพื่อไม่ให้แม่ของเขาเป็นกังวล

“แล้วนี่มันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่พวกโจรหันมาควบขี่อาชาเหงื่อโลหิตออกปล้นชิงเช่นนี้?” ลี่หลัวเลิกม่านเกวียนขึ้น ก่อนที่จะมองไปยังอาชาเหงื่อโลหิตทั้ง 3 ตัวที่ฉงเฉวียนกำลังผูกไว้ด้านหลังเกวียนแล้วหันมายิ้มให้หลิงเทียนแล้วกล่าวถามออกมา

ต้วนหลิงเทียนทำได้เพียงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

"มันเป็นอาชาเหงื่อโลหิตจริงๆด้วย เพ้ย! ทั้งยังมีถึง 3 ตัว!" แน่นอนว่าลี่เฟยย่อมให้ความสนใจแก่อาชาเหงื่อโลหิต ดวงตาของนางเบิกกว้างเป็นประกายแลดูน่ารักนัก

"ม้าอะไรหรือ โหช่างสวยงามนัก...ม้าพวกนี้เรียกว่าอาชาเหงื่อโลหิตหรือเจ้าคะ? พี่หญิงเฟยเฟยเจ้าคะ อาชาเหงื่อโลหิตนี่มันพิเศษอย่างไรหรือเจ้าคะ?" เค่อเอ๋อเองก็ถูกดึงดูดความสนใจจากอาชาเหงื่อโลหิตเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งและพละกำลังของขา หรือลักษณะพิเศษของม้า อาชาเหงื่อโลหิตนับว่าเหนือล้ำที่สุดในหมู่อาชาด้วยกัน

"เค่อเอ๋อ ความเร็วของอาชาเหงื่อโลหิตเรียกได้ว่าเหนือกว่าม้าธรรมดาหลายเท่า นอกจากนี้มันยังสามารถเดินทางได้วันละเป็นพันๆลี้ อีกทั้งเจ้าอาชาเหงื่อโลหิตที่ว่า ยังมีราคาสูงถึงตัวละ 1,000,000 เหรียญเงิน" ลี่เฟยอธิบาย

"เอ๊ะ!" เค่อเอ๋อตกตะลึงอย่างมาก แค่ม้าตัวเดียวกลับมีราคาสูงถึง 1,000,000 เหรียญเงิน?

หลังจากนั้นไม่นานสายตาของสตรีทั้ง 3 ก็จับจ้องไปยังหลิงเทียอย่างคาดคั้น ... หลิงเทียนบังเกิดความรู้สึกราวกับจะถูกสอบปากคำ ประกายตาของเขาเรืองวูบขึ้นมาแว่บหนึ่ง

"ฉงเฉวียน หากถึงเมืองถัดไปแล้วปลุกข้าด้วย ข้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ว่าจะนอนหลับก่อนสักงีบ " หลิงเทียนรีบออกคำสั่งฉงเฉวียนก่อนที่จะหันมายิ้มตาหยีๆ แล้วค่อยๆเอนตัวนอนลงบนเตียงและแกล้งหลับไป

"ตัวเลวร้าย" ลี่เฟยบ่นออกมา

ลี่หลัวได้แต่ส่ายหัวยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี จะอย่างไรนางก็ไม่ได้อยากคาดคั้นหรืออะไรมากนัก สุดท้ายนางก็หลับตาที่งดงามราวกับมณีของนางลงและเริ่มต้นบ่มเพาะพลังต่อไป

หลังจากผ่านไปไม่นานหลิงเทียนก็แอบเปิดตามองมารดาของเขาเล็กน้อย และเมื่อเห็นว่านางกำลังจมอยู่ในภวังค์ระหว่างการบ่มเพาะพลัง เขาก็ยื่นมือไปหาลี่เฟย "เสี่ยวเฟย เอานี่ไปสิ"

ลี่เฟยที่ยังสงสัยและงงๆอยู่ก็เบิกตากว้างออกมาเมื่อในฝ่ามือที่ยื่นออกมาของหลิงเทียนมีแหวนหนึ่งวงปรากฏขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า แน่นอนว่านี่เป็นแหวนมิติของอาวุโสหลักของตระกูลหยู หยูหุ่ย

"นี่มัน... " ลี่เฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ แน่นอนว่านางย่อมเดาได้ว่ามันคืออะไร ทำให้ตอนนี้ใจนางเต้นระรัว

"อะไร เจ้าไม่ได้น้อยใจหรืออยากได้แหวนมิติอย่างเค่อเอ๋อบ้างหรือไง?" ในขณะที่หลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเขาก็ยกเลิกความเป็นเจ้าของแล้วส่งให้ลี่เฟย

"มันเป็นแหวนมิติจริงๆหรือ?" หลังจากที่ลี่เฟยทดลองหยดโลหิตลงไปบนตัวแหวน และกลายเป็นเจ้าของแหวนมิติวงนี้ นางก็สำรวจดูและพบว่ามันเป็นแหวนมิติจริงๆ นางก็ค่อยๆโน้มตัวลงไปแล้วจูบหลิงเทียน หลังจากนั้นเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเค่อเอ๋อกำลังมองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มเขินอาย ทำให้ต่อมความอายของนางเองก็เริ่มทำงานขึ้นมา สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นแดงแจ๋และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอยู่นาน

"เสี่ยวเฟยของข้ายังขี้อายจริงๆ" ต้วนหลิงเทียนยื่นมือออกไปโอบร่างของลี่เฟยมาซุกในอ้อมกอด มืออีกข้างเองก็เอื้อมไปคว้าร่างเค่อเอ๋อและดึงมาอยู่ในอ้อมกอดเช่นกัน เขากอดพวกนางทั้งสองคนไว้ในอ้อมอก ก่อนที่จะค่อยๆหลับไป

ไม่นานนักฉงเฉวียนก็ขับขี่เกวียนมาถึงเมืองเล็กๆ

หลังจากที่จัดการอาชา 5 ตัวในตอนแรกเรียบร้อยแล้ว ฉงเฉวียนก็ไปแก้มัดอาชาเหงื่อโลหิตที่ด้านหลังเกวียนแล้วนำมาเทียมเกวียนทั้ง 3 ตัว และเมื่อเขาใช้พวกมันลากเกวียนออกไป ทุกสายตาในเมืองล้วนจับจ้องมาทันทีที่เกวียนวิ่งผ่าน มีแม้กระทั่งบางคนที่พยายามวิ่งตามหลังเกวียนมาชมดู และหยุดวิ่งลงเมื่อไล่ไม่ทัน ได้แค่เฝ้าดูเกวียนของพวกเขาหายลับไป

"โอ้สวรรค์นั่นคือ อาชาเหงื่อโลหิตใช่หรือไม่?"

"อาชาเหงื่อโลหิต 3 ตัวนั่น มูลค่ามันสูงถึง 3,000,000 เหรียญเงินเลยนะ ... "

"ใช้อาชาเหงื่อโลหิต เพื่อลากเกวียนงั้นหรือ ช่างฟุ่มเฟือยอะไรเช่นนี้!"

...

เหล่าผู้คนในเมืองเล็กๆที่ได้รับชม ต่างสลักภาพนี้ลงไปในใจของพวกเขาทั้งสิ้น และกล่าวออกมาได้อย่างเต็มปากเลยว่า นี่เป็นการกระทำที่ฟุ่มเฟือยที่สุดที่พวกมันได้เห็นตั้งแต่เกิดมา

หลังจากที่เปลี่ยนไปใช้อาชาเหงื่อโลหิต ลากเกวียน 3 ตัวแล้ว ความเร็วของเกวียนก็เพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนมหาศาล มันรวดเร็วขึ้นราวกับสายลม!

ตามแผนเก่าของหลิงเทียนนั้น เขาคิดว่ากว่าจะเดินทางไปถึงเมืองหลวงต้องใช้เวลา เกือบ 1 ปี แต่ตอนนี้เนื่องจากพวกเขาเปลี่ยนมาใช้อาชาเหงื่อโลหิต เช่นนั้นพวกเขาก็จะเดินทางถึงเมืองหลวงก่อนกำหนดการณ์เดิมเป็นเวลาถึง 3 เดือน ...

"เมืองหลวงอยู่แค่ตรงหน้าแล้ว" สายตาของลี่หลัวฉายแววซับซ้อนออกมาในขณะที่มองออกไปยังเมืองใหญ่ ที่อยู่ห่างไกล ขนาดของมันครอบคลุมพื้นที่ไปกว้างไกลอย่างมาก

ในปีนั้นนางได้กระเตงบุตรชายที่ยังเล็กเกินกว่าจะรู้ความออกจากเมืองแห่งนี้ นางไม่คิดเลยว่าหลังจากกาลเวลาผันผ่านไปหลายปีนางจะต้องกลับมาเหยียบพื้นดินที่นี่อีกครั้ง

และดูเหมือนตอนนี้นางได้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในวันเก่าครั้งที่ต้วนหรูเฟิงยังอยู่กับนาง ... และถึงแม้ว่าสามีของนางจะหายตัวไปหลายปีแล้ว แต่ความรู้สึกของนางก็บ่งบอกว่าสามีของนางยังมีชีวิตอยู่

“ลูกเทียน” ลี่หลัวหันกลับไปจ้องหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมา "เมื่อพวกเราไปถึงเมืองหลวงแล้ว แม้หวังว่าเจ้าจะไปเยี่ยมตระกูลต้วนด้วยกันกับแม่ เพื่อที่เจ้าจะได้รับรู้ชาติกำเนิด และกราบกรานบรรพชนของเจ้า...และ หวนคืนกลับสู่ตระกูลของเจ้า"

ในปีนั้นเป็นนางที่หวาดกลัวทุกอย่างจึง ได้แอบนำต้วนหลิงเทียน ที่มีเลือดของตระกูลต้วนครึ่งหนึ่งไหลเวียนอยู่หลบหนีออกมา...จะอย่างไรหลิงเทียนก็นับว่าเป็นคนตระกูลต้วน

"กลับเข้าตระกูล รับรู้ชาติกำเนิด รวมทั้งกราบบรรพชนเช่นนั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วออกมา "ท่านแม่ ข้าไม่อยากไป!"

"ลูกเทียน" นำเสียงของลี่หลัวพลันหนักแน่นและจริงจังขึ้นมาอย่างมาก นางเองก็เป็นบุคคลที่มีความจงรักภัคดีต่อตระกูลสูง และมีอารมณ์ที่อ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องชาติกำเนิด นางจึงไม่อาจทนเห็นลูกชายแสดงออกก้าวร้าวและไม่เข้าใจเรื่องราวสำคัญเช่นนี้ได้

"ท่านแม่!" ดวงตาของหลิงเทียนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เขาค่อยๆกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำว่า "ตระกูลต้วนนั้น เคยเหลียวแลและใสใจในความเป็นอยู่ของพวกเรา 2 แม่ลูกหรือไม่ พวกมันเคยสนใจว่าพวกเราจะเป็นตายร้ายดีหรือจะอยู่จะกินอย่างไรบ้างหรือไม่ นอกจากนี้ในตอนที่ต้วนหลิงซิ่งเกือบลงมือสังหารข้าจนตกตาย คนที่ท่านเรียกว่าพี่ 4 และเรียกได้ว่าเป็นลุง 4 ของข้า ได้ให้ความเป็นธรรมแก่ข้าบ้างหรือไม่? "

"ข้าต้วนหลิงเทียน รังเกียจตระกูลเช่นนี้นัก!"

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.