spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
การเดินทางนับพันลี้ ต้องเริ่มต้นทีละก้าว
คนคนหนึ่งต้องเดินไปตามเส้นทางของการฝึกซ้อม ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหน โดยเฉพาะการก้าวไปข้างหน้าก็มีหวังว่าจะต่อสู้ในยุทธ์ภพแห่งเต๋าที่ไม่มีที่สิ้นสุด
"มีดบินทะลวงจันทรา" และความสามารถทั้งสี่ทักษะที่มาพร้อมกัน มันไม่ใช้การฝึกซ้อมเพียงชั่วข้ามคืน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีคนเรียนรู้ แต่หนึ่งในหมื่นคนก็ยังได้รับเเค่เศษความรู้ที่ไม่มีการพัฒนา มันก็น่าจะเป็นเกราะป้องกันอย่างดีสำหรับเจียงเฉินคนปัจจุบัน
จากความสามารถที่มาพร้อมกันสี่ทักษะ "ญาณทิพย์" อาจถูกพักไว้ก่อนชั่วคราว ก่อนที่จิตสำนึกจิตวิญญาณจะได้รับการพัฒนาขึ้นสำหรับทวารทั้งเจ็ดของศีรษะ สำหรับเจี้ยงเฉินการฝึกทักษะนี้จะเหมือนกับการพยายามจับปลาในต้นไม้โดยไม่มีหวังถึงความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม
"นัยน์ตาของพระเจ้า", "หูของเทพแห่งลมประจิม" และ "หัวใจดั่งศิลา" ในทางกลับกัน ทักษะทั้งสามนี้สามารถฝึกฝนได้ ณ เวลานี้
เจี้ยงเฉินศึกษาอย่างขยันขันแข็ง และหมกมุ่นอยู่กับความเข้าใจและการฝึกความสามารถของทั้งสามทักษะ แม้ว่าจะทำได้เพียงแค่ "ความสำเร็จเล็กน้อย" แต่ก็ยังคงเป็นความพยายามครึ่งหนึ่งที่มีผลสองเท่าเมื่อฝึก "มีดบินทะลวงจันทรา"
เมื่อเทคนิคการใช้งานของทักษะการขว้างมีดบินได้รับการฝึกซ้อมอย่างมากที่สุด ลำดับต่อมาก็จะเป็นการฝึกการใช้สายตา ประสาทการได้ยิน และความสามารถทางจิต!
วันนี้คู่ซ้อมในคฤหาสน์เจี้ยงหานต่างมีงานยุ่งกันทุกคน
เพื่อที่จะฝึกฝนการใช้สายตา เจี้ยงเฉินสั่งให้คู่ซ้อมของเขาปล่อยแมลงขนาดเล็กออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ยุงและแมลงวัน และมองหาแมลงขนาดเล็กตัวก่อนที่เขาทำเครื่องหมายไว้ก่อนหน้านี้ ตามความเร็วในการบิน ทางโคจร และพฤติกรรมของแมลงวันและยุงเหล่านี้
ต้องยอมรับว่า วิธีการฝึกซ้อมประเภทนี้ใกล้เคียงกับระดับการซ้อมขั้นสูงสุด
ในตอนแรก เจี้ยงเฉินล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า. แม้ว่าดวงตาของเขาจ้องมองอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ยังยุ่งอยู่กับการการบินวนไปวนมาของแมลงและยุงหลายร้อยตัว
อย่างไรก็ตาม หลังจากความเพียรพยายามเป็นเวลาสองวัน เจี้ยงเฉินสามารถทำให้ความน่าจะเป็นไปได้ของหนึ่งในสิบเป็นรูปเป็นร่างขึ้นโดยใช้เพียงประสาทการมองเห็นอย่างเดียว
ถ้าขึ้นอยู่กับการได้ยิน มันก็จะมีความน่าจะเป็นไปได้ของหนึ่งในยี่สิบ
การฝึกซ้อมความสามารถทางจิตของเขาเป็นเรื่องที่ยากที่สุด - มีความน่าจะเป็นไปได้ที่น้อยกว่าหนึ่งในห้าสิบ
สามวันต่อมา..... สี่วันต่อมา ...
การพัฒนาของเจี้ยงเฉินมีความชัดเจนมาก ในวันที่ห้า เจี้ยงเฉินสามารถบรรลุความสำเร็จได้ถึงห้าในสิบส่วนในด้านทักษะการใช้สายตาเพียงอย่างเดียว
การได้ยินก็ก้าวหน้าขึ้นถึงสามในสิบส่วน
ความสามารถทางจิตไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก แต่เจี้ยงเฉินก็ไม่ย่อท้อ. เขารู้ว่าการฝึกซ้อมความสามารถทางจิตจะยากที่สุด และจะต้องมีความอดทนมากที่สุด
การใช้สายตาและการได้ยินอาจเป็นเหตุให้มีเวลาเพียงพอ. แต่ความสามารถทางจิตต้องมีความเงียบสงบ ต้องมีความอดทนที่เสมอต้นเสมอปลายโดยห้ามหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย.
เช่นเดียวกับการใช้สายตาและการได้ยินของเขาได้ก้าวหน้าขึ้นมากการฝึกซ้อม ดังนั้นการฝึกซ้อม "มีดบินทะลวงจันทรา" จึงเริ่มต้นด้วยวิธีการที่เป็นระเบียบ
ด้วยความร่วมมือของประสาทตาและประสาทการได้ยินที่แข็งแกร่ง เจี้ยงเฉินแสดงศักยภาพและวิธีการใช้มีดบินที่น่าประหลาดใจ
ขั้นตอนเริ่มต้นของ "มีดบินทะลวงจันทรา" ได้รับการควบคุมโดยเจี้ยงเฉินโดยแทบจะไม่มีความยากลำบากเลย และเขาก็ได้ฝึกการใช้มีดบินอย่างรวดเร็วให้เข้ากับวรยุทธ์ของเขาเพื่อความสมบูรณ์แบบมากที่สุด
"ดูเหมือนประสาทตาและประสาทการได้ยินที่แข็งแกร่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ใหญ่ที่สุดในการฝึกซ้อมการปามีดบิน. บังเอิญความสามารถทางจิตที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ทักษะเฉพาะของการปามีดบินเป็นไปตามความประสงค์ของตน "
เจี้ยงเฉินมีสายตาที่ดีและความการได้ยินที่ยอดเยี่ยม ต้องขอบคุณการฝึกซ้อมประสาทตาและประสาทการได้ยินของเขาและแม้ว่าการฝึกซ้อมความสามารถทางจิตของเขาจะก้าวหน้าไปอย่างช้า ๆ แต่ก็ทำให้เขามีความหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวและยังมีความมั่นใจและผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงครึ่งเดือน มีสิ่งใหม่ได้เปลี่ยนแปลงในร่างกายของเจี้ยงเฉินอีกครั้ง. เมื่อการฝึกซ้อมของเขาก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ เขารับรู้ถึงความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ในแต่ละวัน.
และเมื่อเวลาผ่านไป การสอบครั้งสุดท้ายของการทดสอบมังกรซ่อนก็มาถึงในที่สุด.
ในวันนี้ ทายาททั้ง 108 คนเดินทางมาถึงลานหน้าสนามเพื่อเข้าสู่สนามการทดสอบมังกรซ่อน.
เจี้ยงเฉินไม่มีข้อยกเว้น เขาได้เตรียมการมากมายสำหรับการทดสอบมังกรซ่อนซึ่งเขาจะไม่มีทางพลาดโอกาสสำคัญนี้ได้
นี่อาจเป็นความท้าทายแรกที่มีความหมายตั้งแต่ที่เขาได้กลับชาติมาเกิด
การทดสอบมังกรซ่อนเป็นขั้นตอนแรกที่เจี้ยงเฉินจะพิสูจน์ตัวเอง. เขาไม่อยากแพ้ !
ทายาทแต่ละคนต่างดูถูกกันและกันและยังเริ่มโต้เถียงกันเอง.
ทุกคนต้องการที่จะขัดขวางฝ่ายตรงข้ามด้วยการแสดงพลังในโอกาสนี้ ไม่มีใครต้องการที่จะขวัญเสียก่อนที่สิ่งต่าง ๆ จะเริ่มขึ้น
ดังนั้นทุกคนจึงโต้ตอบกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน นี่เป็นภาพที่สามารถมองเห็นได้ในฉากนี้
เจี้ยงเฉินทักทายเจ้าอ้วนซวนและหูปิงเย่ว. ระดับหกเส้นชีพจรของอ้วนซวนค่อนข้างเสถียร. เขาบอกว่าจะใช้เวลาไม่เกินสองเดือนที่เขาจะก้าวไปถึงเจ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี.
สำหรับหูปิงเย่ว,เขาอยู่ในระดับแปดเส้นชีพจรแล้ว หูปิงเย่วพัฒนาระดับขั้นหลังจากที่เขาทะลวงผ่านเส้นชีพจรซึ่งเขาไม่ได้ฝึกซ้อมมาเพื่อแข่งขันในระดับเส้นชีพจรของเขา.
อย่างไรก็ตาม แปดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีคือระดับของสิบขุนนางชั้นนำ !
ถ้าเจี้ยงเฉินอยากจะจู่โจมแปดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี โอกาสที่เขาจะทำสำเร็จมีมากกว่าเก้าในสิบส่วน แต่เขาจงใจไม่ทำเช่นนั้น
ตอนนี้ไม่มีข้อแตกต่างที่สำคัญกับเขาในระหว่างเจ็ดเส้นและแปดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี.
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่แค่พวกเขาที่ได้พัฒนาระดับ. ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือศัตรู ทายาททั้งหมดต่างฝึกซ้อมอย่างหนักก่อนที่การทดสอบมังกรซ่อนจะเริ่มขึ้น
ดังนั้นทุกคนที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี้ได้พัฒนาตัวเองไม่มากก็น้อย
ทายาทของหยานหมิง เหยียนอี้หมิง - บุคคลแห่งความวิบัติที่เจี้ยงเฉินทลายเขาลงมาใต้ฝ่าเท้าสองครั้งด้วยกัน - ได้รับการรักษาด้วยโอสถมหัศจรรย์บางอย่างและได้ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้ว ด้วยการฝึกฝนของเขาบรรลุเป้าหมายที่สูงขึ้น และเขายังได้พัฒนาตัวเองจนได้ก้าวสู่เจ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี !
"เจี้ยงเฉิน,เจ้าได้ใช้กลวิธีสกปรกเพื่อวางแผนกำจัดข้าหลายครั้ง. ข้า เหยียนอี้หมิงจะคิดบัญชีล้างแค้นเจ้าในการทดสอบมังกรซ่อน. ตอนนี้ข้าได้ก้าวสู่พลังลมปราณฉีที่แท้จริง เจ้าคิดว่ากลวิธีสกปรกของเจ้าจะยังคงมีผลอยู่หรือไม่ " เหยียนอี้หมิงจ้องมองที่เจี้ยงเฉินจากระยะไกลและแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าภายในใจโดยสาบานว่าจะทรมานเจี้ยงเฉินอย่างไร้ความปราณี
"พี่เฉิน มองไปทางนั่นสิ นั่นคือทายาทของขุนนางชั้นสูงทั้งสี่คน! ฮือ ฮือ ขุนนางชั้นสูงทั้งสี่ได้รับการบริการที่น่ารื่นรมย์. พวกเขาสามารถมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้สองคนนั่นคือสิทธิพิเศษบางอย่าง " เจ้าอ้วนซวนมีน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความอิจฉา
ตามกฎของการทดสอบมังกรซ่อน หากว่าขุนนางได้รับการจัดอันดับในสี่อันดับแรก จากนั้นพวกเขาอาจมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันสองคนในการทดสอบมังกรซ่อนด้วยคะแนนที่ดีที่สุดที่ได้รับการบันทึก.
นี้เทียบเท่ากับอีกชั้นหนึ่งของการประกันที่อนุญาตให้คนที่แข็งแรงกลายเป็นคนแข็งแกร่งกว่าเดิม.
สี่ขุนนางที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับเกียรตินี้คือ ขุนนางแห่งมังกรทะยาน, ขุนนางแห่งพยัคฆ์ขาว, ขุนนางแห่งหงส์เพลิง และขุนนางแห่งเต่าทมิฬ.
เจี้ยงเฉินจ้องมองไปในทิศทางนั้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น.
เหล่าสาวกของบรรดาขุนนางที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่คนรู้ดีว่าจะแสดงออกอย่างไร โดยเฉพาะทายาทแห่งมังกรทะยานพวกเขาทำเหมือนตัวเองเป็นคนสำคัญ.
หญิงสาวที่เป็นหัวข้อที่ร้อนแรงในการทดสอบครั้งนี้คือหลงยู่ซื่อ.
ชายอีกคนคือพี่ชายของนาง,หลงหยินเย.
หลงหยินเยเป็นชื่อที่มีความหมายโดยนัยว่าเยือกเย็นและโอหัง,มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น. เขาเป็นเหมือนมังกรที่คว่ำทะเลและแม่น้ำ,เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งป่า.
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีชื่อเสียงเท่ากับหลงยู่ซื่อที่มีร่างฟีนิกซ์สวรรค์,แต่เขามีความลึกลับที่มากกว่า. มีการกล่าวกันว่าระดับการฝึกที่แท้จริงของเขาไม่น้อยไปกว่าหลงยู่ซื่อและเขามีความสามารถในการสู้รบที่มากกว่านาง.
นี่คือการบอกว่าบุตรชายและบุตรสาวของขุนนางแห่งมังกรทะยานได้รับการประกันเป็นสองเท่า,มันก็แน่นอนว่าตำแห่งผู้ชนะในการทดสอบมังกรซ่อนจะไม่ตกอยู่ในมือคนอื่น.
ขุนนางคนแรกในเมืองหลวงที่ครอบครองอาณาเขตและความภาคภูมิใจ.
ในทางตรงกันข้าม,ไม่ว่าจะเป็นทายาทของพยัคฆ์ขาว, ทายาทของหงส์เพลิง หรือ ทายาทของเฒ่าทมิฬ,ทั้งหมดนี้ดูไม่ค่อยดีนักเมื่อเปรียบเทียบกับทายามแห่งมังกรทะยาน
เมื่อทั้งแปดคนเดินด้วยกัน,ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีบุคลิคเป็นนกฟีนิกซ์หรือมังกรในหมู่ผู้คน,หลงยู่ซื่อและหลงหยินเยทำให้รู้สึกถึงการเป็นผู้นำเหนือคนอื่น – เช่นนกกระเรียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงไก่ที่ร่วมกันเป็นกลุ่ม แต่คนที่มองเห็นก็สามารถแยกประเภทของมันได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว.
"มันเป็นอะไรเหรอ มันจะหยิ่งยโสกันไปถึงไหน ? ไม่ช้าก็เร็ว,ข้าจะเอาชนะพวกเจ้าทีละคน " เจ้าอ้วนซวนแสดงออกด้วยความไม่พอใจ, ความอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง
ไม่ใช่ว่าเขาใจแคบ,แต่คนเหล่านี้ไม่เคยถือว่าเขาเป็นมนุษย์. นี่คือความคิดของการแก้แค้นที่เกิดจากเจ้าอ้วนซวนหลังจากคนเหล่านี้เคยดูถูกเขา.
เจี้ยงเฉินหลับตาลงหลังจากที่เขากระพริบตา. เขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับการแสดงท่าทีที่สูงส่งและทะนงตัวของคนเหล่านี้.
เหล่าขุนนางชั้นสูงทั้งสี่คนนี้ได้สร้างตัวเองขึ้นเพื่อเป็นให้อยู่เหนือทุกคน. นี่คือการแสดงอำนาจให้กับทายาทคนอื่น,และเตือนให้พวกเขาไม่ทำอะไรที่ท้าทายต่อตำแหน่งของพวกเขา.
นี่เป็นสัญชาตญาณเพื่อปกป้องอาณาเขตของตัวเอง แต่เจี้ยงเฉินกลับไม่สนใจ
หากมีขุนนางที่ต่ำกว่ามีพลังมากพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะท้าทายขุนนางชั้นสูงทั้งสี่คนเนื่องจากการแสดงของพวกเขา.
ตำแหน่งของขุนนางได้รับชัยชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้วบนพื้นฐานของการต่อสู้แต่ไม่ใช่ในด้านการแสดง.
"เจี้ยงเฉิน!"
คราวนี้, เป็นทายาทของหงส์เพลิง,ฮงเทียนตง, ผู้ซึ่งพูดเป็นคนแรก.
"เจี้ยงเฉิน,ข้าได้ยินมาว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นในคฤหาสน์เจี้ยงหานของเจ้า. เจ้ามาทำอะไรที่นี่?
ไป่ซานอวิ๋นหูตาสว่างขึ้นแล้วในขณะนี้ และไม่ได้เป็นกองหน้าของหลงยู่ซื่ออีกต่อไป. ฮงเทียนตงยอมรับเรื่องอันน่าอัศจรรย์นี้อย่างมีความสุข.
มันเป็นใคร ? เจ้ามีปัญหาอะไรกับพี่เฉินของข้า ? " อ้วนซวนไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นขุนนางชั้นสูงหรือไม่. ในสายตาของเขา,ถ้าไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันแล้วละก็เขาจะถือว่าเป็นคนเลว!
" ให้ตายสิ ไอ้อ้วน, ไม่มีใครสอนเจ้าให้รู้จักมารยาทของชนชั้นสูงหรืออย่างไร ?" เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนอย่างเจ้าอ้วนซวน ฮงเทียนตงจึงแสดงความดูถูกโดยสัญชาตญาณ.
เจี้ยงเฉินเงยหน้าขึ้นขณะที่ส่งสายตาอาฆาตไปยังฮงเทียนตง "เจ้ากำลังหายั่วโมโหข้าใช่หรือไม่? งั้นมาลองดีกัน หรือไม่ ก็ร้องออกมา ! "
"นั่นเจี้ยงเฉินใช่ไหม?" หลงหยินเย่อยู่ข้างหลงยู่ซื่อ เขาจ้องไปที่เจี้ยงเฉินอย่างรวดเร็วด้วยดวงตาดุร้าย สายตาอันชั่วร้ายมุ่งไปยังเจี้ยงเฉินอย่างเปิดเผย.
"ข้าได้ยินเรื่องของเจ้า เจ้าได้สั่งสอนคนไร้ค่าอย่างไป่ซานอวิ๋น? ดีมาก . ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังเมื่อเวลาสำคัญมาถึง"
ไป่ซานอวิ๋นไม่ได้ยืนห่างจนเกินไปที่จะไม่ได้ยินเรื่องดังกล่าว และใบหน้าของเขาก็หดเกร็งเมื่อเขาได้ยินหลงหยินเย่เย้ยหยันเขาท่ามกลางสาธารณชนว่าเขาเป็นคนไร้ค่า แต่เขาควบคุมอารมณ์ของเขาไว้ได้ในตอนท้าย.
ตรงกันข้ามกลับเจี้ยงเฉิน ซึ่งมีท่าทางที่หนักแน่นและมั่นคงมากขึ้นหลังจากการฝึกความสามารถทางจิตของเขา.
เปลือกตาของเขาไม่ได้ขยับเลยแม้กระทั่งเมื่อต้องเผชิญกับเสียงที่หยิ่งยโสจากหลงหยินเย่ "พวกแมลงวัน หนวกหูจริง ๆ!"
"ทำได้ดีนี่ ! แสดงให้เราเห็นถึงสิ่งที่เจ้าจะนำมาใช้ในการทดสอบมังกรซ่อน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร, ถึงกล้าดีมาตีฝีปากของเจ้าที่นี่? " อ้วนซวนมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ.
หลงหยินเย่โกรธจัดและกำลังจะอ้าปาก แต่แล้วกลางสนาม ดาบที่ส่องประกายแวววาวก็ดิ่งลงมาราวกับว่ามาจากสวรรค์. ร่างอันบอบบางขององค์หญิงโจวหยู่ปรากฏขึ้นเมื่อรัศมีของดาบรุ้งปักลงลงบนพื้น.
"สายรุ้งแห่งลมปราณฉี? สิบเอ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี ระดับปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ? " เป็นฉากที่เกิดความสับสนวุ่นวายขณะที่ทุกสายตาที่เพ่งมองไปยังองค์หญิงโจวหยู่มีความกลัวและความเคารพที่มากขึ้น.
อาณาจักรตะวันออกมีปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญฉีเพียงไม่กี่คน แต่คนเหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่ในระดับเส้นชีพจรที่สิบของพลังลมปราณฉี.
บรรดาผู้ที่ได้รับการฝึกฝนถึงสิบเอ็ดเส็นชีพจรสามารถนับได้ว่ามีเพียงน้อยนิด.
และองค์หญิงโจวหยู่เพิ่งจะเข้าร่วมการจัดอันดับปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของสิบเอ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีในวัยเพียงยี่สิบกว่า ๆ นี่มันจะไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจได้อย่างไร ?
แม้แต่ดวงตาที่ป่าเถื่อนของหลงหยินเย่ก็จ้องไปยังรูปร่างขององค์หญิงโจวหยู่ จนทำให้เขาลืมความขัดแย้งระหว่างเขากับเจี้ยงเฉินไปชั่วขณะ
ส่วนหลงยู่ซื่อ นางมีความอาฆาตที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่งดงามของนาง. หลังจากที่เจตนาร้ายของนางหายไป นางก็เริ่มกลับมายิ้มจาง ๆ อีกครั้ง.
ราวกับว่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญระดับสิบเอ็ดเส้นชีพจรไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่นางต้องสนใจ.