spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
โอสถที่อยู่ในมือของหลิงเทียนตอนนี้ เป็นโอสถที่ไว้กำจัดพิษได้แทบจะทุกชนิด ที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดคิดค้นขึ้น หลังจากที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวยาพิษนาๆชนิด โอสถนี้ถูกแบ่งออกเป็น 9 ระดับเช่นกัน
และตอนนี้ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนยังมีระดับผู้หลอมโอสถอยู่ในระดับ 9 เขาจึงสามารถหลอมสร้างโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์นี่ได้แค่ระดับ 9 เท่านั้น
ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูออกมา ก็เห็นฉงเฉวียนที่จ้องมายังเขาด้วยสายตากระวนกระวาย
ต้วนหลิงเทียนเห็นท่าทางของฉงเฉวียนก็แสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะโยนโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ทั้ง 3 เม็ดให้ฉงเฉวียนไปอย่างไม่แยแส พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้ากินก่อนตอนนี้ 1 เม็ด และโอสถนี้จะใช้เวลา 1 เดือนเพื่อแสดงผล หลังจากนี้ 1 เดือนเจ้าจึงจะกินเม็ดที่ 2 ได้ และหลังจากนี้ 2 เดือนเจ้าถึงจะกินเม็ดที่ 3 ได้ และเมื่อเวลาผ่านไปครบ 3 เดือนจากตอนนี้ ระดับบ่มเพาะของเจ้าก็จะหวนคืนมา 1 ใน 3 ของแต่ก่อน”
"ขอบคุณนายท่าน" ฉงเฉวียนโยนโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์เข้าปากไปทันที 1 เม็ดโดยไม่คิดรีรออะไรอีก
ส่วนอีก 2 เม็ดเขาค่อยๆเก็บมันลงแหวนมิติราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
"แล้วเจ้าก็อย่าได้ลืมเลือนซะล่ะ จดจำเอาไว้ให้มั่นด้วย ว่าข้าได้ผสมยาพิษบางอย่างลงในโอสถนั่นไว้แล้ว หากเจ้าเล่นลูกไม้หรือลวดลายอันใดล่ะก็ มีเพียงความตายอย่างทรมานเท่านั้นที่รอเจ้าอยู่!" หลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
"ขอรับนายท่าน" ฉงเฉวียนก็ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว
ในวันต่อมาหลิงเทียนก็ยังเลือกที่จะพักที่โรงเตี๊ยมต่อไปเพื่อรอเหล่าสหาย...สาเหตุที่พักโรงเตี๊ยมก็ไม่มีอะไรมาก เพราะมันสะดวกสบายกว่ากระโจมในค่ายที่พักของกองกำลังโลหิตเหล็กนั่นเอง
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสั่งสมพลังงานต้นกำเนิดเพื่อกรุยทางไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 แล้ว
"เมื่อข้าตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 พลังงานต้นกำเนิดของข้าจะเพิ่มพูนศักยภาพไปอีกขั้นและได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มอีกทันที 2 ช้างแมมมอธโบราณ" ดวงตาของหลิงเทียนทอประกายวาวโรจน์ออกมา
"ถึงตอนนั้นแม้ข้าจะไม่ใช้อาวุธวิญญาณ แต่ข้าก็ยังมีความแข็งแกร่งสูงถึง 11 ช้างแมมมอธโบราณด้วยการใช้มือเปล่า และนั่นมันเท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8 วิชาบ่มเพาะของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด วิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงครามนี้ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนักสมแล้วที่เป็นวิชาที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดคิดจะบ่มเพาะยามใช้ชีวิตที่ 3 ...และถ้าข้าสามาระไปถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 รวมทั้งกลั่นร่างกายด้วยพลังงานก่อกำเนิดจนเสร็จสิ้นกระบวนการตามรูปแบบเฉพาะของรูปแบบงูเหลือมคลั่งแล้วละก็ ข้าจะมีความแข็งแกร่งทั้งหมดรวม 23 ช้างแมมมอธโบราณ! "
หากไร้ซึ่งความช่วยเหลือใดๆจากภายนอก ยามปกติของผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 โดยทั่วไปจะครอบครองความแข็งแกร่งเพียงแค่ 12 ช้างแมมมอธโบราณเท่านั้น นั่นหมายความว่าช้าย่อมมีความแข็งแกร่งมากกว่าพวกมันอยู่ถึง 11 ช้างแมมมอธโบราณ อีกทั้งร่างกายของข้ายังแข็งแกร่งกว่าพวกมัน...นับว่าเหนือล้ำคนธรรมดาไปมากมายนัก "
"อีกทั้งแม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 1 เองก็มีความแข็งแกร่งเพียง 20 ช้างแมมมอธโบราณเท่านั้น เช่นนั้นถ้าข้าอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 ข้าก็สามารถเอาชัยผู้ที่อยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นแรกได้อย่างไม่มีปัญหา"
"แต่จะอย่างไรระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 2 ก็มีความแข็งแกร่งสูงถึง 30 ช้างแมมมอธโบราณ เชนนั้นข้าต้องก้าวเข้าสู่ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นแรกก่อนเท่านั้น ถึงจะต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 2 ได้" ตอนนี้ร่างกายของหลิงเทียนเริ่มแผ่กลิ่นอายนักสู้ออกมา นิสัยของเขานั้นแสวงหาการต่อสู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เขาเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะอย่างจริงจัง!
วิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบงูเหลือมคลั่ง!
พลังงานต้นกำเนิดในร่างกายของหลิงเทียนพลันโคจรด้วยความเร็วบ้าคลั่งทุกๆรอบปริมาณพลังงานต้นกำเนิดจะค่อยๆสูงขึ้นทีละน้อย และเมื่อมันสะสมได้มากเพียงพอหลิงเทียนก็จะทะลวงจุดชีพจรเผื่อตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 ...
ถึงแม้ตอนนี้หลิงเทียนจะได้หลักฐานยืนยันสถานะผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้รีบร้อนมุ่งหน้ากลับบ้าน นี่เพราะเขายังคงรอผลการทดสอบของเหล่าสหายทั้ง 3 เซี่ยวหยู,เมิ่งฉวนและก็ลั่วเฉิน
อีก 10 วันต่อมาในที่สุดคนอื่นๆก็เริ่มทยอยกลับกันมา
คนแรกที่มาถึงก็คือ ซูหลี่ เขาเองก็ผ่านภารกิจไปอย่างสวยงามและได้รับสิทธิ์ในการเข้าศึกษาต่อที่สถาบันบ่มเพาะขุนพล
"ต้วนหลิงเทียน ข้าอยากท้าประลองกับเจ้า!" ดวงตาของซูหลี่จับจ้องไปยังหลิงเทียนนด้วยความปรารถนาจะวัดฝีมือ มันเป็นแววตาของนักสู้เฉกเช่นเดียวกับหลิงเทียน
"เฮ่ ซูหลี่ หืม? นั่นเจ้าตัดผ่านระดับไปแล้วหรือ?" ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆออกมาในขณะที่กล่าวถาม
ครืนนน!
ร่างของซูหลี่สั่นเบาๆ ก่อนที่พลังงานฟ้าดินจะตอบรับความแข็งแกร่งของเขาแล้วฉายเงาร่างช้างแมมมอธโบราณออกมา 7 ตัว
"ซูหลี่เจ้าแน่ใจหรือว่ายังต้องการประลองกับข้า?"ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเองก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม เขาก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าวก่อนที่จะเร่งเร้าพลังออกมา
ครืนนน!
พลังงานฟ้าดินสั่นสะเทือนและรวมตัวควบแน่นเหนือหัวของหลิงเทียนราวกับก้อนเมฆ ก่อนที่มันตอบรับความแข็งแกร่งของหลิงเทียนแล้วกลั่นออกมาเป็นเงาร่างช้างแมมมอธโฐราณถึง 8 ตัว
"นี่ ...เจ้า ... " ซูหลี่กลับกลายเป็นไร้อารมณ์ทันที ความรู้สึกสูญเสียประการหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจของเขา แต่เขาก็สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้ในเวลาเพียงพริบตา
"เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว"
ซูหลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่แววตานักสู้จะกลับคืนมาอีกครั้ง เขามองไปที่หลิงเทียนด้วยความตั้งใจแล้วกล่าวออกมาว่า "ต้วนหลิงเทียนยามนี้ข้าด้อยกว่าเจ้าแล้ว แต่ข้าจะพยายามอย่างหนักเพื่อไล่ตามเจ้า แล้วพวกเราค่อยไปเจอกันที่สถาบันบ่มเพาะขุนพล หลังจากนี้อีก 1 ปี"
หลังจากที่กล่าวจบซูหลี่ก็พุ่งร่างหายลับไปจากค่ายที่พักของกองกำลังโลหิตเหล็กราวกับสายวาโยกรรโชก
"ซูหลี่ผู้นี้ก็นับว่าน่าคบหาไม่น้อย" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาบางๆ ผู้ที่มีสายตาหลงใหลในการตอสู้เช่นนี้ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร
และในวันต่อมา หยูเซี่ยงและเทียนหูก็เดินทางกลับมาถึง
"ต้วนหลิงเทียน เจ้าระวังตัวเอาไว้ให้ดี ตระกูลหยูจะไม่มีวันเลิกรากับเจ้าแน่!" หยูเซี่ยงข่มขู่ต้วนหลิงเทียนในขณะที่กำลังจะเดินทางกลับ
"เช่นนั้นรึ...นี่แล้วเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะติดตามไปสังหารเจ้าที่กำลังจะเดินทางกลับ เสียตั้งแต่ตอนนี้หรือ?" แววตาของหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อยและแผ่จิตสังหารออกมาบางๆ
ใบหน้าของหยูเซี่ยงพลันเปลี่ยนเป็นซีดเซียวเมื่อถูกจิตสังหารเพียงเล็กน้อยของหลิงเทียนคุกคาม ถึงแม้ตอนนี้เขาจะได้รับหลักฐานยืนยันสถานะว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว แต่เขาก็หวาดกลัวและไม่กล้าเดินทางกลับขึ้นมาโดยพลัน
เขาจึงไปหาสหายที่ดีที่สุดของพี่ชาย ที่เป็นนายกองคนหนึ่งนามว่าฟางชุ่น เพื่อขอให้สหายคนนี้ของพี่ชายพาเขาออกนอกเมืองเพื่อคอยคุ้มกันไม่ให้ต้วนหลิงเทียนลงมือสังหารเขา
"หยูเซี่ยงช่วงนี้ข้ามีภารกิจรัดตัวและค่อนข้างยุ่งยิ่งนัก เกรงว่าข้าจะไม่มีเวลาไปส่งเจ้ากลับบ้าน"ทว่าฟางชุ่นกลับปฏิเสธคำขอของเขาอย่างไม่คาดฝัน
นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน!
ตั้งแต่ตอนที่หยูหงได้ตกตายอย่างโง่งมภายใต้น้ำมือของต้วนหลิงเทียน ฟางชุ่นก็สาบานกับตัวเองไว้แล้วว่า ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีวันไปสร้างปัญหาให้แก่ตัวตนที่น่ากลัวราวกับปีศาจอย่างเช่นต้วนหลิงเทียนเด็ดขาด
อีกทั้งตอนนี้ เขาเองก็เริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านายกองไป่เฟิ่งที่หายตัวไปอย่างลึกลับในหุบเขาซ่อนอรุณนั้น ใช่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียนอีกคนรึเปล่า? ไม่เช่นนั้นเหตุใดคนที่มีความแข็งแกร่งระดับไป่เฟิ่งจึงหายตัวไปราวกับอากาศธาตุโดยไม่มีร่องรอยใดๆให้สืบสาว?
ตอนนี้อารมณ์ของหยูเซี่ยงพลันดิ่งวูบทันที
"หยูเซี่ยงลองทำเช่นนี้ดีหรือไม่ เนื่องจากเจ้ายังกังวลเกี่ยวกับเรื่องของต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นเจ้าก็แค่พักอยู่ที่ค่ายที่พักกองกำลังโลหิตเหล็กของพวกเราไปก่อน แล้วรอให้ต้วนหลิงเทียนเดินทางออกนอกเมืองไปสักพัก หลังจากนั้นเจ้าก็สามารถใช้เส้นทางอื่นเพื่อเดินทางกลับ ถึงแม้จะอ้อมและเสียเวลาไปนิดแต่ก็ดีกว่าไปปะทะกับเขาซึ่งๆหน้า เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับวิธีนี้กันเล่า?" ฟางชุ่นเองก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จะอย่างไรหยูหงก็เป็นสหายที่ดีของเขา เช่นนั้นเขาเองก็ต้องช่วยเหลือน้องชายของสหายบ้าง เพื่อเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อน
ตอนนี้สีหน้าของหยูเซี่ยงบิดเบี้ยวนัก ชีวิตมันไม่เคยต้องอยู่อย่างอดสูเช่นนี้ มันเองก็เป็นอัจฉริยะที่เหนือชั้นคนหนึ่งของตระกูลหยู และก็ได้รับสิทธิ์ในการเข้าศึกษาที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลอย่างภาคภูมิ มันควรต้องมีชีวิตที่เต็มไปด้วยเกียรติ แต่ตอนนี้กลับต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนราวมุสิกขี้ขลาดตัวหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้งชีวิตของคนเรา ทางเลือก...ก็ไม่ได้มีมากนัก
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้คิดว่าคำขู่ที่กล่าวไปอย่างไม่ได้แยแสอะไร จะทำให้หยูเซี่ยงรู้สึกทุกข์ทรมานและเจ็บปวดในใจอย่างแสนสาหัสและไม่กล้าเดินทางออกไปจากเมืองโลหิตเหล็กไปไหน จนกว่าเขาจะจากไป...
และไม่กี่วันหลังจากนั้นหลิงเทียนก็บังเอิญเจอกับเซี่ยวหยูที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วกำลังเดินทางกลับมาพอดี
"เอ๋ เซี่ยวหยู เจ้า ... ตัดผ่านระดับแล้วรึ?" เมื่อได้เจอเซี่ยวหยูอีกครั้ง หลิงเทียนก็ประหลาดใจเล็กน้อย
"หืม แล้วเจ้าสังเกตเห็นได้อย่างไรกัน?" เซี่ยวหยูตกตะลึง
"มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรที่ข้าจะเดาได้ ก็จิตของเจ้ายามนี้แหลมคมขึ้นไม่น้อย" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา
"อ่อ จริงสิ! เจ้ามาด้วยกันกับข้าสักครู่ก่อน" เซี่ยวหยูกระพริบตาก่อนที่จะกล่าวออกมา
"มีอะไรรึ?" ต้วนหลิงเทียนสงสัย
"ข้าต้องการไปท้าประลองกับหยูเซี่ยง" ความเย็นชาแฝงอยู่เต็มน้ำเสียงของเซี่ยวหยู
หยูเซี่ยงนั้นหวาดกลัวหลิงเทียน แต่ไม่ได้แยแสอะไรเซี่ยวหยู แน่นอนว่ามันต้องรับคำท้าของเซี่ยวหยู
สุดท้ายเป็นเซี่ยวหยูที่อาศัยความเลิศล้ำและการใช้วิชาอย่างแยบคาย อาศัยฝ่ามือเอกะเอาชนะไปได้อย่างสวยงาม ไม่ได้ลำบากอะไรแม้แต่น้อย ...
เซี่ยวหยูนึกถึงความบาดหมางก่อนหน้า เขาจึงสะบัดฝ่ามือเอกะออกไปเต็มกำลังซัดหยูเซี่ยงที่สิ้นท่าจนกระเด็นลอยละลิ่วออกไป หมดสติกลางอากาศอย่างน่าสมเพช
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา "เป็นเช่นไรเล่า จิตใจกระจ่างแล้วหรือไม่?"
เซียวหยูพยักหน้า ก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมา ความเบิกบานอารมณ์ดีฉายชัดเต็มใบหน้า ...
ไม่นานหลังจากที่ครบกำหนด 1 ปีเหล่านายกองที่เป็นผู้ควบคุมเหล่าเยาวชนต่างๆก็ทยอยกันเดินทางกลับมา นายกองบางคนก็กลับมาแต่ผู้เดียว บางคนก็กลับมาพร้อมเยาวชน
สุดท้าย นายกองที่เป็นผู้ควบคุมเซี่ยวหยูกับลั่วเฉินก็เดินทางกลับมาถึง
ทว่า ...
มองไปทางไหน...ก็ไม่อาจมองเห็นเมิงฉวนและลั่วเฉิน!
หัวใจของหลิงเทียนและเซี่ยวหยูดิ่งวูบลงไปอยู่ตาตุ่มทันทีที่ได้รับการแจ้งข่าว
เมิงฉวนและลั่วเฉินได้ระบายลมหายใจสุดท้ายของชีวิตออกไปแล้ว!
และในที่สุดเหล่านายกองทั้งหมดก็กลับมา..หากนับรวมหลิงเทียนและเซี่ยวหยูแล้ว ผู้ที่ผ่านการทดสอบภารกิจ มีเพียง 7 คนเท่านั้น...
"ต้วนหลิงเทียน,เซี่ยวหยู!" หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนและเซี่ยวหยูได้รับข่าวร้าย รองแม่ทัพเฉียวชิงจ่างก็มาหาพวกเขาทั้งสองด้วยตัวเอง...และในมือของรองแม่ทัพก็มีจดหมาย 2 ฉบับ
คำสั่งเสียของเมิ่งฉวนและลั่วเฉิน!
"เมิ่งฉวนและลั่วเฉินนั้น ทั้งคู่ได้เขียนจดหมายสั่งเสียไว้คนละ 2 ฉบับ เพื่อฝากฝังเอาไว้ให้แก่ญาติและมิตรสหาย ในบรรดาจดหมายสั่งเสียของเมิ่งฉวนทั้ง 2 ฉบับนั้น มีฉบับหนึ่งจ่าหน้าถึงเซี่ยวหยู เช่นเดียวกันกับของลั่วเฉินจดหมายสั่งเสียฉบับหนึ่งของลั่วเฉิน ก็จ่าหน้าถึงเจ้าเช่นกัน ต้วนหลิงเทียน" เฉียวชิงจ่างกล่าวจบก็ยื่นจดหมายทั้งสองฉบับให้แก่หลิงเทียนและเซี่ยวหยูไปคนละ 1 ฉบับ
"ข้าเสียใจกับพวกเจ้าด้วย" เฉียวชิงจ่างกล่าวจบก็เดินจากไปทันที
เขานั้นประสบเหตุการณ์พลัดพรากจากสหายเช่นนี้มามากมายแล้ว เขาย่อมเข้าใจความรู้สึกของหลิงเทียนและเซี่ยวหยูดี
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเปิดจดหมายของลั่วเฉิน
ลายมือของลั่วเฉินนั้นงดงามมาก ราวกับลายมือของสตรีก็ไม่ปาน
ต้วนหลิงเทียน...หากเจ้าได้อ่านจดหมายฉบับนี้ คงหมายความว่าข้า...ไม่อาจผ่านการทดสอบสุดท้ายนี้ได้...เฮ่อ สุดท้ายข้าก็ยังคงล้มเหลว ใช้ไม่ได้จริงๆ... แต่ข้าก็ไม่คิดเสียใจเลย เพราะว่าข้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
การที่ในชีวิตนี้ ข้าได้พบกับเจ้า เซี่ยวหยู และเมิ่งฉวน นับได้ว่ามันเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดในชีวิตของข้าเลยล่ะ พวกเจ้าได้ช่วยทำให้ข้าที่ขี้กลัวกลายเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง พวกเจ้าทำให้ข้ายืนหยัดเข้มแข็งขึ้นมาได้...ขอบคุณพวกเจ้ามาก ข้าฝากเจ้าส่งความคิดถึงของข้าไปให้เมิ่งฉวน และเซี่ยวหยูด้วย...หลังจากที่เจ้าอ่านจดหมายฉบับนี้จบและพวกเขาเองก็ยังมีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ ข้าเองก็มีเรื่องราวลำบากใจประการหนึ่งที่ไม่อาจวางมันลงได้จริงๆ และเรื่องนี้เอง เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าตัดสินใจมาเข้าร่วมการทดสอบเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะหวาดกลัวมากก็ตาม ข้าก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะช่วยเหลือข้า....
... ลงนาม ลั่วเฉิน
แกรบ!
มือของต้วนหลิงเทียนสั่นระริก เขาขยำจดหมายสั่งเสียเป็นก้อนกลม
ถึงแม้เขาจะได้รู้จักลั่วเฉินเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่ 3 เดือน แต่เขาเองก็ยึดถือลั่วเฉินเป็นสหายของเขาคนหนึ่งแล้ว
ทว่าตอนนี้สหายของเขากลับจากเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...ตลอดกาล
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ "ลั่วเฉินสหายข้า อย่าได้มีห่วงอะไร ข้าจะดูแลเรื่องนี้ให้เจ้าเอง!"
"เมิ่งฉวน!" เซี่ยวหยูที่อยู่ด้านข้างเองก็อานจดหมายสั่งเสียของเมิ่งฉวนเสร็จสิ้น ใบหน้าที่มักจะเย็นชาราวกับศิลาน้ำแข็ง ยามนี้ปรากฏความเศร้าโศกและหยาดน้ำตาคลอเบ้า
"เมิ่งฉวน... " ดวงตาของหลิงเทียนเองก็ฉายความเศร้าออกมาไม่น้อย เขาอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงเมิ่งฉวน ในยามเก่าก่อน ภาพของเมิ่งฉวนนั้นมักเต็มไปด้วยความร่าเริงและสนุกสนานเฮฮา วันเวลาเหล่านั้นในเมืองออโรร่านับว่ามีความสุขนัก
“เมิ่งฉวน ข้าขอให้เจ้าไปสู่สุขคติ”
เซี่ยวหยูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะมองไปยังหลิงเทียนแล้วกล่าวว่า "หลิงเทียน ข้าคิดที่จะเดินทางกลับในวันนี้ เพื่อไปทำตามความปรารถนาสุดท้ายของเมิ่งฉวนให้เป็นจริง"
"ข้าเองก็ต้องไปเยี่ยมครอบครัวของลั่วเฉินด้วย" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ทั้งสองคนไปหารองแม่ทัพเฉียวชิงจ่าง และนำจดหมายสั่งเสียอีกฉบับของแต่ละคนมาเก็บไว้เพื่อที่จะส่งมอบด้วยตัวเอง ก่อนที่จะเดินทางออกจากเมืองโลหิตเหล็กไป
ฉงเฉวียนติดตามหลิงเทียนอยู่ทางด้านหลังเงียบๆ เพื่อปกป้องคุ้มครองชายหนุ่มที่ยามนี้กลายเป็นนายท่านของเขา
ตอนนี้ 1 เดือนได้ผ่านไปแล้ว และผลของโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์เองก็เห็นผลนัก ตอนนี้เพียงแค่โอสถเม็ดแรก ระดับบ่มเพาะของเขาก็ทะยานกลับคืนมาอยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้แล้ว
ตระกูลของลั่วเฉินตั้งอยู่ที่เมืองสนตระหง่าน
เมืองสนตระหง่านนี้ตั้งอยู่ระหว่างเมืองออโรร่าและเมืองโลหิตเหล็ก กล่าวได้ว่ามันเป็นทางผ่านสายหนึ่ง
กลุ่มต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะเดินทางกลับเมืองออโรร่าตามเส้นทางสายนี้และแวะเข้าไปยังเมืองสนตระหง่านเสียก่อน
ตระกูลลั่วนั้นเป็นเพียงตระกูลเล็กๆตระกูลหนึ่งในเมืองสนตระหง่านนี้เท่านั้น
กลุ่มต้วนหลิงเทียนเมื่อเดินทางเขตที่พักของตระกูลลั่ว เขาก็ทำการติดสินบนยามของตระกูลลั่ว หลังจากจ่ายเงินไปไม่เท่าไหร่เขาก็เข้าไปยังเขตที่พักของตระกูลลั่วได้อย่างราบรื่น และสุดท้ายเขาก็ได้พบกับน้องสาวของลั่วเฉิน
แรกพบน้องสาวของลั่วเฉินนั้น หลิงเทียนเองก็รู้สึกทึ่งเล็กน้อย
อายุของลั่วเฉียนนั้นอยู่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา ทั้งนางยังดูงดงามมีเสน่ห์ ท่วงท่ากริยาแลดูอ่อนโยน น่าสนใจไม่น้อย ...
ในแง่ความงดงามของนางนั้นเรียกได้ว่าเพียงด้อยกว่าเค่อเอ๋อ,ลี่เฟยและเซี่ยวหยัน แต่จะอย่างไรก็นับว่าเหนือกว่าลี่ฉีฉี
"พวกท่าน…"
ลั่วเฉียนพึ่งจะเปิดปากกล่าววาจา ทว่าคำพูดของนางก็ต้องถูกขัดจังหวะเอาไว้ เมื่ออยู่ดีๆ ฉงเฉวียนก็ตะโกนแทรกขึ้นมา
“เป็นผู้ใด? ไสหัวออกมา!”