spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
“ภารกิจของเจ้าคือทำให้กองทัพเกราะทมิฬของอาณาจักรหวู่ฉานกับตระกูลเหลียนแตกแยกกัน ให้พวกมันเกลียดกัน หรือเข่นฆ่าจ้องล้างจองผลาญกันได้ยิ่งดี” ดวงตาของหยางต้าทอประกายเรืองวูบในขณะที่กล่าวออกมา
แต่จะอย่างไรก็ตามภายในใจลึกๆของหยางต้าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเพราะความสงสาร ภารกิจนี้กองกำลังโลหิตเหล็กของเขาพยายามกันมาเกือบปีแล้ว แต่พวกเขาก็ได้แต่คว้าน้ำเหลว
แม้จะเป็นตัวเขาเองแต่ก็ยังไม่รู้จริงๆว่าท่านแม่ทัพมีเหตุผลอะไรถึงมอบภารกิจนี้ให้แก่ต้วนหลิงเทียน...
จากที่เขาดูๆแล้วไม่มีหนทางไหนเลยที่ต้วนหลิงเทียนจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
"กองทัพเกราะทมิฬ ตระกูลเหลียน?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย " ท่านหัวหน้ากองท่านช่วยบอกข้อมูลคร่าวๆของพวกมันให้ข้าจะได้หรือไม่?"
“ย่อมได้”
หยางต้าพยักหน้ารับคำก่อนที่จะกล่าวบอกออกมาอย่างช้าๆ "หากพวกเราเดินตามทางเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานพวกเราจะถึงเมืองเกราะทมิฬแห่งอาณาจักรหวู่ฉาน เมืองเกราะทมิฬนี้หากเปรียบกับอาณาจักรของเรา มันก็ไม่ต่างอะไรกับเมืองโลหิตเหล็ก และกองทัพเกราะทมิฬกับกองกำลังโลหิตเหล็กก็คล้ายคลึง และทำหน้าที่เช่นเดียวกัน ส่วนทางด้านของตระกูลเหลียนนั้น มันเป็นตระกูลใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเกราะทมิฬ และยามนี้มันก็มีความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพเกราะทมิฬ"
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำเบาๆ
หยางต้ายังคงกล่าวต่อไปอีกว่า "กองทัพเกราะทมิฬนั้นเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับกองกำลังโลหิตเหล็กของพวกเรา และเมื่อก่อนนั้นพวกมันไม่ต่างอันใดไปกับลูกไก่ในกำมือของพวกเรา"
ในขณะที่กล่าวเรื่องนี้ หยางต้าเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย
"เมื่อก่อน เช่นนั้นรึ?" ต้วนหลิงเทียนจับสังเกตได้และสงสัยเล็กน้อย
"นับตั้งแต่ตระกูลเหลียนมันสอดมือเข้ามาแทรก ผลการปะทะกันระหว่างกองทัพเกราะทมิฬและกองกำลังโลหิตเหล็กก็เริ่มเปลี่ยนไป ทางกองทัพเกราะทมิฬเริ่มตอบโต้พวกเราได้บ้าง จนถึงตอนนี้...ก็ตกอยู่ในสภาวะสะกดข่มกันไม่ลงเสียแล้ว พวกเรายากที่จะทำลายกองทัพเกราะทมิฬได้เหมือนแต่ก่อน" หยางต้านั่นมีโทสะอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่กล่าวออกมา
โดยปกติแล้ว พวกตระกูลใหญ่หรือตระกูลที่ทรงอำนาจมักจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของกองทัพ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากความสัมพันธ์อันดีของกองทัพเกราะทมิฬกับตระกูลเหลียนแม้ว่าพวกมันจะไม่ได้สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้กันให้เห็นโดยตรง แต่พวกมันก็มักจะส่งยอดฝีมือของตระกูลแฝงตัวมากับกองทัพเกราะทมิฬทำให้กำลังรบของกองทัพเกราะทมิฬเพิ่มขึ้นมากมาย
และนี่คือสิ่งที่ทำให้กองกำลังโลหิตปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุด
ต้วนหลิงเทียนพลันขมวดคิ้วขึ้นมา “หากถึงขั้นที่คนตระกูลเหลียนส่งยอดฝีมือหรือผู้อาวุโสมาแฝงกายในกองทัพเกราะทมิฬได้ นี่ย่อมหมายความว่าความสัมพันธ์ของพวกมันไม่ใช่แค่ ‘ดี’ ธรรมดาใช่หรือไม่?”
หยางต้าพยักหน้ารับทันที “ถูกแล้วยามนี้ประมุขของตระกูลเหลียน กับแม่ทัพของกองทัพเกราะทมิฬเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน”
มุมปากของหลิงเทียนกระตุกขึ้นมาทันที
ดวงตาของหลิงเทียนหรี่ลงก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “หัวหน้ากอง...ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิด กองกำลังโลหิตเหล็กเอง ก็พยายามทำภารกิจสร้างความแตกแยกหรือทำลายความสัมพันธ์ของพวกมันอยู่ แต่พวกท่านเองก็ทำไม่สำเร็จใช่หรือไม่?"
"ถูกต้องดั่งที่เจ้ากล่าว" หยางต้าพยักหน้ารับ
"บัดซบเถอะ!"
ต้วนหลิงเทียนช่วยไม่ได้ที่จะสบถออกมาใส่หัวหน้ากอง "พวกท่านคิดว่ากำลังให้ภารกิจอะไรของท่านกัน?" พวกท่านกำลังขอให้ข้าทำภารกิจที่แม้แต่กองกำลังโลหิตของพวกท่านเองก็ไม่มีปัญญากระทำได้งั้นรึ หัวหน้ากอง...ไหนท่านลองกล่าวมาตามความสัตย์จริง ท่านคิดว่าข้าสามารถกระทำภารกิจเช่นนี้ได้จริงๆหรือ? "
"เอ่อ...ในความเห็นของข้าโอกาสที่เจ้าจะทำภารกิจได้สำเร็จนั้น...แทบจะไม่มี ... แต่ทว่ากลับเป็นท่านแม่ทัพที่บอกข้าว่า บางทีเจ้าอาจจะมีหนทางพิเศษที่กระทำได้" หยางต้ากล่าวตอบหลิงเทียนออกไปตามตรงทันที
เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมท่านแม่ทัพต้องคิดหวังพึ่งชายหนุ่มคนนี้
"ท่านแม่ทัพ?" มุมปากของหลิงเทียนยกขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
สิ่งแรกที่เขานึกได้ในตอนนี้คือ เติ้งหยุนไห่กำลังแก้แค้นเขา ที่เขาไปปฏิเสธข้อเสนอและคำชักชวนให้เข้าร่วมกองกำลังโลหิตเหล็ก และที่สำคัญ ยังปฏิเสธที่จะสานต่อปณิธานของเขาโดยรับตำแหน่งแม่ทัพคนต่อไป
"แล้วนี่ข้าสามารถปฏิเสธภารกิจนี้ได้หรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
"ท่านแม่ทัพเองก็บอกข้าว่าเนื่องจากภารกิจนี้มันเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างยากลำบากและมีความพิเศษอย่างมาก เจ้าอาจจะปฏิเสธไม่ทำมันก็ได้ แต่ทว่า...หากเจ้าปฏิเสธ...เจ้าจะไม่ได้รับสิทธิเข้าศึกษาต่อที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลทันที" หยางต้ากล่าวออกมา
"แล้วเช่นนั้นข้าสามารถเปลี่ยนไปกระทำภารกิจอื่นได้หรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
"นั่นก็ไม่ได้เช่นกัน!"
หยางต้ากล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด "นี่เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพ"
ต้วนหลิงเทียนได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
"แล้วเจ้าต้องการปฏิเสธภารกิจนี้หรือไม่เล่า หากเจ้าคิดที่จะปฏิเสธพวกเราก็สามารถกลับกันได้ทันที และเจ้าเองก็สามารถเดินทางกลับบ้านได้เลย" หยางต้ากล่าวถามออกมา
"ไหนๆก็มาแล้ว ลองไปดูสถานการณ์ก่อนก็แล้วกัน" หลิงเทียนกระพริบตาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆกล่าวออกมา
หากเขาเห็นว่าไม่มีความหวังในการทำภารกิจนี้ หลังจากที่ลองไปสืบข้อมูลและตรวจสอบสถานการณ์ที่เมืองเกราะทมิฬ เขาก็จะปฏิเสธมันทันที เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเอาคุณสมบัติในการเข้าศึกษาต่อยังสถาบันบ่มเพาะขุนพลอะไรนั่น ...
เพราะไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังมีอายุแค่ 17 ปีเท่านั้น หนทางในอนาคตของเขายังมีอีกมากมาย
หยางต้าก็พยักหน้าออกมา
พร้อมกันนั้นเองเขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ เขาจึงหันไปมองต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวถามออกมา "ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินมาว่า เจ้าใช้อาคมจารึกในการสังหารหยูหง ... เจ้ารู้จักผู้จารึกอาคมด้วยงั้นรึ?"
"เรื่องนี้ข้าก็พอบอกท่านได้ ในตอนที่ข้ายังเป็นเด็กนั้น ข้าเคยพบเจอคนประหลาดรูปร่างอ้วนท้วนแต่งตัวสกปรกและซ่อมซ่อราวกับขอทานน่าสงสารคนหนึ่ง ข้าเลยโยนหมั่นโถวไปให้เขาลูกหนึ่ง เขาก็เลยมอบอาคมจารึกนี้มาให้ข้า แต่น่าเสียดายที่กว่าข้าจะรู้ถึงตัวตนของเขาว่าเป็นถึงนักจารึกอาคมก็สายไปเสียแล้ว เขาได้หายตัวไปซะก่อน ไม่อย่างนั้นข้าคงให้เขาเป็นอาจารย์สอนข้าแล้วล่ะ" หลังจากกล่าวปั้นน้ำเป็นตัวเสร็จหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมา
"เจ้านี่นับว่ามีโชคนัก" มุมปากของหยางต้าเองก็กระตุก แต่อย่างไรเขาก็ไม่ได้คิดสงสัยในเรื่องราวที่หลิงเทียนเล่า
เขาเคยได้ยินมาก่อนว่าเหล่านักจารึกอาคมพวกนี้มักจะมีงานอดิเรกหลุดโลกและมักจะทำตัวเพี้ยนๆตามอารมณ์ของพวกเขา ผู้จารึกอาคมเลยเป็นอะไรที่หาตัวได้ยากอย่างยิ่ง ...
ต้วนหลิงเทียนและหยางต้าควบม้าของเขาออกจากเมืองโลหิตเหล็กของอาณาจักรนภาล่องและมุ่งหน้าไปยังเมืองเกราะทมิฬของอาณาจักรหวู่ฉานด้วยความเร็วสูงสุด แต่ถึงจะเร่งรีบเดินทางสักแค่ไหนพวกเขาก็ต้องใช้เวลากว่า 3 เดือน จึงจะไปถึงที่หมาย
เมืองเกราะทมิฬเป็นเมืองที่มีขนาดและบรรยากาศใกล้เคียงกับเมืองโลหิตเหล็กไม่น้อย
หากมองตัวเมืองจากที่ไกลๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนเจอเหมือนสัตว์ร้ายที่น่าหวาดกลัวกำลังจำศีลอยู่ และเมื่อเข้าไปใกล้ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตรายและแกร่งกร้าว
หลังจากที่เข้าเมืองเกราะทมิฬไปแล้ว ทั้งสองคนก็ไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อนทันที
"เอาล่ะ หลังจากนี้เจ้าต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเจ้าเองแล้ว หากเจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถดำเนินการหรือกระทำภารกิจต่อไปได้ เจ้าก็สามารถล้มเลิกภารกิจและกลับได้ทันที" หลังจากกล่าวคำพูดสุดท้ายแก่หลิงเทียน หยางต้าก็เดินกลับห้องของเขาไป
และในอีกไม่กี่วันต่อมา ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหยางต้าอีกเลย
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ หลิงเทียนได้ย้ายโรงเตี๊ยมและเหลาอาหารมากมาย เพื่อพยายามหาข่าวของกองทัพเกราะทมิฬและตระกูลเหลียน แล้วเขาก็ได้ล่วงรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ไม่ใช่แค่ประมุขตระกูลเหลียนและแม่ทัพของกองทำเกราะทมิฬที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันเท่านั้น แม้แต่บุตรชายของทั้งคู่ก็สนิทสนมกันจนเรียกขานเป็น พี่น้อง
"บัดซบ บิดามันเถอะ นี่มันภารกิจห่าเหวอะไรกัน?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วและเตรียมที่จะไปจ่ายเงินค่าอาหารและไปค้นหาหยางต้าเพื่อยกเลิกภารกิจ
แต่ทว่าในทันทีที่เขากำลังเดินออกไปเขาก็ต้องชะงักลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินถึงบทสนทนาด้านข้างของเขา ...
"ภรรยาน้อยของประมุขน้อยตระกูลเหลียนที่พึ่งรับเข้ามาใหม่ นับว่าหน้าตางดงามและน่ารักยิ่งนัก เพียงแค่ข้ามองนางครู่เดียวข้ารู้สึกราวกับจะถูกนางกระชากวิญญาณออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น"
"ข้าเองก็ได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาเหมือนกัน ได้ข่าวว่าตั้งแต่รับนางมา ประมุขน้อยตระกูลเหลียนก็วิ่งไปห้องนางทุกค่ำคืนและไม่เคยไปสนใจใยดีภรรยาหลวงอีกเลย"
"นี่กระมังดังคำกล่าวที่ว่า หากต้องตายก็ขอตายคาอกสาวงาม "
...
แม้คนที่กล่าวจะไม่ได้คิดมากหรือมีเจตนาอะไร แต่คนที่ได้รับฟังกลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่หลวงแล้ว
"ดูเหมือน นี่จะเป็นโอกาสทองของข้า" รอยยิ้มเริ่มปรากฏขึ้นที่มุมปากของต้วนหลิงเทียน ตอนนี้เขาเริ่มมีแผนการหนึ่งอยู่ในใจแล้ว
ในช่วงสองสามวันต่อมาเขายังคงสืบข่าวเพิ่มเติมจนได้ความมาอีกว่า ลูกชายแม่ทัพของกองทัพเกราะทมิฬนั้นเป็นพวกบุรุษเจ้าสำราญที่ขาดอิสตรีไม่ได้ มันจำเป็นต้องมีสตรีให้โอบกอดทุกค่ำคืน และมันมักจะไปใช้บริการที่หอพิรุณเย้าวาโยอยู่เป็นประจำ
ตงหลินนั้นมีอายุ 19 ปีและพรสวรรค์ของมันก็อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยทั่วไป แต่จะอย่างไรมันก็มีระดับบ่มเพาะอยู่ถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4
หลิงเทียนนั้นพอคาดเดาได้ว่าบิดาของมันที่เป็นถึงแม่ทัพของกองทัพเกราะดำ ได้หวังเอาไว้ในตัวมันมากมายถึงเพียงไหน และคิดที่จะให้มันสืบทอดตำแหน่งอะไร...
ยามดึกสงัดมีชายหนุ่มสองคนเดินออกมาจากเหลาอาหารในสภาพเมาแอ๋
"เหลียนเค่อ เจ้าก็เอาแต่อยู่กับภรรยาน้อยของเจ้าจนลืมพี่น้องอย่างข้าแล้ว มันนานเท่าไรแล้วที่เจ้าไปเที่ยวหอพิรุณเย้าวาโยกับข้า ... คืนนี้พี่ชายของเจ้า ขอชวนเจ้าไปที่หอด้วย เจ้าจะไปหรือไม่? " ร่างกายของตงหลินเดินเซไปเล็กน้อยขณะกล่าว
"ปั๊ดโธ่ หากท่านพี่เอ่ยเช่นนี้ข้าจะกล่าวปฏิเสธได้อย่างไร คืนนี้ปล่อยให้นางมารน้อยของข้านอนคนเดียวสักคืนคงมิเป็นไร ... ไปกันเถิด!"
เหลียนเค่อ หรือที่รู้จักกันในชื่อของ ประมุขน้อยตระกูลเหลียน ก็ได้เดินทางไปหอนางโลมพิรุณเย้าวาโยกับตงหลิน
ไม่ไกลจากทั้งสองคนสักเท่าไรมีเงาร่างหนึ่งแอบอยู่ในมุมมืดที่หัวมุม เขาซ่อนตัวอยู่ในความมืดยามค่ำคืนก่อนที่จะค่อยๆหายตัวไป ...
ต้วนหลิงเทียนตอนนี้กำลังยืนอยู่บนระเบียงของห้องน้ำชาที่หอนางโลม เขาแอบมองร่างทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาก่อนที่จะเข้ามาในห้อง "ฮึ่ม!ดูเหมือนว่าทั้งประมุขของตระกูลเหลียนกับแม่ทัพของกองทัพเกราะทมิฬจะรักและตั้งความหวังไว้กับบุตรชายตัวดีของพวกมันเอาไว้สูงมาก มาดูกันว่าพวกมันจะรักบุตรชายของพี่น้องร่วมสาบานเหมือนบุตรชายของพวกมันหรือไม่ "
"นายน้อยเจ้าคะ ข้าน้อยรอนานแล้วใยท่านยังไม่เข้ามาล่ะเจ้าคะ?" นางคณิกาที่มีเสน่ห์ของสตรีครบถ้วนเดินมาโอบกอดหลิงเทียนจากด้านหลัง ก่อนที่จะเป่าลมเข้าหูเขาเล็กน้อย...
หากเขาถูกสตรีที่รูปร่างดูดีเช่นนี้มายั่วยวนในเวลาอื่นล่ะก็ ต้วนหลิงเทียนจะจับนางลงโทษให้สาสมยันเช้ากันไปเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการคงไม่มีเวลามาเชยชมอิสตรี
ต้วนหลิงเทียนโยนเงินให้นาง 100 เหรียญเงิน "คืนนี้ข้าไม่คอยมีอารมณ์สักเท่าไร เจ้าเอาเงินนี้ออกไปหาอะไรกินเสีย"
"ขอบคุณนายน้อยเจ้าค่ะ"
สตรีคนนั้นเผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมาหลังจากได้รับเงิน และนางก็ออกจากห้องไปเพราะเข้าใจความหมายในวาจาของหลิงเทียน "เชนนั้นข้าน้อยจะไม่รบกวนนายน้อยแล้วเจ้าค่ะ"
และครู่ต่อมาหลิงเทียนก็แอบเข้าไปในห้องอื่นและรีบไปซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง
ไม่นานหลังจากนั้นประตูห้องก็เปิดออกและ มีบุรุษสตรีคู่หนึ่งเดินเข้ามา
"นายน้อยตง นานมากแล้วนะเจ้าค้าา ที่ท่านไม่มาเล่นกับข้าบ้างเลย เสี่ยวหงน้อยใจยิ่งนัก" น้ำเสียงยั่วยวนหยอกเย้าของสตรีดังขึ้น ...
"โอ๋ๆๆ เสี่ยวหงคืนนี้ข้าจะเล่นกับเจ้าทั้งคืนเลย อย่าได้งอนข้าเลยนะคนดี มามะ" เสียงถอดเสื้อผ้าพลันดังขึ้น พร้อมกันกับเสียงหอบหายใจถี่และเสียงครางกระเส่าเร้าอารมณ์
ไม่นานหลังจากนั้นตงหลินก็โอบกอดอิสตรีคณิกานางนั้น และกดร่างนางไว้ที่เตียง
"อ๊า!"
หญิงคณิกานางนั้นเห็นหลิงเทียนคลานออกมาจากใต้เตียงและขึ้นมาอยู่บนเตียงราวกับแมงมุม ใบหน้านางพลันซีดลงเพราะความตกใจและรีบส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพราะความหวาดกลัวทันที
"เสี่ยงหงข้ายังไม่ได้เริ่มทำอันใดกับเจ้าเลย เหตุใดเจ้าจึงร้องออกมาแล้วล่ะ ... ?" หลินตงยังคงไม่รับรู้ถึงอันตรายที่อยู่ด้านหลัง สองมือมันยังคงคลึงหนั่นเนื้อของร่างบางอย่างสนุกสนาน
ผลั่ก!
ต้วนหลิงเทียนลงมือทันที เขาสับไปที่ต้นคอของหลินตงจนมันหมดสติ
"นายท่านเจ้าคะ ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ ไว้ชีวิตต่ำต้อยของข้าน้อยด้วย" ใบหน้าของหญิงสาวนางนั้นเริ่มซีดไร้สีเลือดและกล่าวคำวิงวอนร้องขอชีวิตออกมา
ตุบ!
ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นหยิบตั๋วเงินก่อนที่จะโยนมันลงไปตรงหน้าสตรีที่เปลือยเปล่า พร้อมกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส "เจ้าดูเป็นคนฉลาด ... รีบนำเงินนี้ไปไถ่ตัวเองแล้วออกจากเมืองไปตั้งแต่คืนนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจต้องตาย"
ต้วนหลิงเทียนยกตงหลินพาดบ่าและหลังจากที่เขากล่าวกับสตรีนางนั้นจบ เขาก็พุ่งร่างหายตัวไป หญิงคณิกาที่รอดตายพลันก้มไปหยิบเงินขึ้นมา
และใบหน้าของนางถึงกับสว่างวาบขึ้นมาเมื่อนับเงินในมือ "สวรรค์ ! 100,000 เหรียญเงิน!"
แม้ว่านางจะทำงานอย่างหนักอยู่ในหอพิรุณเย้าวาโยนี้จนตกตาย นางก็ไม่มีทางเก็บเงินได้มากมายถึงเพียงนี้
นางหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะกัดฟันและตัดสินใจได้ในทันที นางจะไถ่ถอนตัวเองเป็นอิสระแล้วจากเมืองเกราะทมิฬไปเสียตั้งแต่คืนนี้
และด้วยเหตุนี้เองนางจึงสามารถลบตัวตนที่ไม่น่าพิสมัยในอดีต และเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ที่แสนสงบสุขได้ และสุดท้าย...นางก็ได้แต่งงานกับชายที่ซื่อสัตย์และรักนางมากคนหนึ่ง
หลายปีต่อมาแม้นางจะมีลูกหลายคนแล้ว นางยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงชายหนุ่มชุดสีม่วงที่ได้เปลี่ยนชีวิตของนางไปตลอดกาลในค่ำคืนนั้น...
หลังออกจากหอนางโลมต้วนหลิงเทียนก็หิ้วร่างตงหลินลักลอบเข้าไปยังที่พักของตระกูลเหลียน
.....
หลิงเทียนซัดภรรยาน้อยของเหลียนเค่อให้สลบได้อย่างไม่ยากเย็น ก่อนที่จะจับนางเปลื้องผ้าพร้อมทั้งนำร่างตงหลินที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไปวางไว้ด้านข้างนาง...บนเตียง
"นางช่างเป็นสตรีที่งดงามจริงๆ เจ้าช่างไม่คู่ควรกับนางสักนิด" ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองภรรยาน้อยของเหลียนเค่อก่อนที่จะหันไปมองตงหลินอีกครู่หนึ่งแล้วเขาก็จากไป
ไม่นานหลังจากที่หลิงเทียนจากไปตงหลินก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา
"เกิดอันใดขึ้นกัน?"
ก่อนทีเขาจะรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเขา เขาพลันรู้สึกได้ถึงร่างกายนุ่มละมุนและเรียบลื่นราวกับหยกที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เสียงลมหายใจของเขาก็กลับกลายเป็นหอบถี่ และสมองเขาก็ว่างเปล่า รีบกดร่างนางในอ้อมแขนลงไป สานต่อเรื่องราวทันที ...
"เสี่ยวหง ข้ามาแล้ววว!"