spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้ผิดจากที่เขาคาดอะไรมากมายนัก จะอย่างไรเขาก็พึ่งสังหารอดีตนายกองของกองกำลังโลหิตเหล็ก ซ้ำยังก่อการในค่ายที่พักของกองกำลังโลหิตเหล็กอีกด้วย การที่รองแม่ทัพจะเรียกเขาไปสอบสวนก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว
"ต้วนหลิงเทียน พวกเราจะไปพร้อมกันกับเจ้า เพื่อเป็นพยานยืนยันความบริสุทธิ์ให้กับเจ้า!" เซี่ยวหยูและคนอื่นๆลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
"เฮ่ๆ พวกเจ้าไม่ต้องเครียดขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก รองแม่ทัพส่งคนมาเรียกตัวข้า ไม่ได้ส่งคนมาจับตัวข้า หมายความว่าเขาย่อมทราบเรื่องราวความเป็นไปเบื้องหลังทั้งหมดแล้ว เอาล่ะข้าคงไปไม่นานนักหรอกพวกเจ้าอยู่ที่นี่แหล่ะ" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาบางๆ
"ก็จริงของเจ้า เจ้าไปเถอะ" เซี่ยวหยูพยักหน้า เขาไม่ใช่คนเซ้าซี้หรือดื้อรั้นอะไร เมื่อได้คิดเขาก็พอเข้าใจและไม่ได้กังวลอะไรอีกทันที
ต้วนหลิงเทียนเดินออกไปจากกระโจมและกล่าวทักทายทหารด้านนอก "พี่ชาย ข้าคือต้วนหลิงเทียน"
ทหารของกองกำลังโลหิตที่มาตามหลิงเทียนก็เบิกตากว้างเล็กน้อย ตอนนี้ในใจของเขาตื่นตระหนกอย่างมาก
เด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าจะถึง 17 ปีคนนี้น่ะหรือ ต้วนหลิงเทียนที่สังหารหยูหง?
ข้อมูลของต้วนหลิงเทียนที่สังหารหยูหงที่เขาได้ยินมานั้นมีเพียงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมีระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 เท่านั้น
อายุยังไม่ถึง 17 ปี แต่มีระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 ... โอ้สวรรค์เพียงแค่คิดก็ทำให้เขาตกใจแทบเสียสติแล้ว
ต้วนหลิงเทียนเดินตามทหารนำทางไปจนถึงกระโจมของรองแม่ทัพเฉียวชิงจ่าง ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในกระโจม
ทว่าเมื่อหลิงเทียนเข้าไป เขาก็พบว่าภายในกระโจมนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน
"อ่าว พี่ชายแล้วท่านรองแม่ทัพล่ะ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามทหารที่นำทางเขามา
"ท่านรองแม่ทัพน่าจะมีธุระสักครู่ เจ้าอยู่รอที่นี่ก็แล้วกัน" กล่าวจบทหารที่นำหลิงเทียนมาก็เดินจากไป
หลังจากที่ได้รับคำตอบ หลิงเทียนก็เริ่มมองไปรอบๆอีกครั้ง พร้อมทั้งสำรวจกระโจมของรองแม่ทัพเฉียวชิงจ่างอย่างตั้งใจ ในระหว่างรอคน
ก็ตามความคาดหมายของเขา กระโจมของรองแม่ทัพนับว่าใหญ่โตไม่น้อย มันใหญ่กว่ากระโจมที่พักของพวกเขาไม่ต่ำกว่า 3 เท่า แต่ตอนนี้พื้นที่โล่งๆและสามารถมองสำรวจได้เหลือเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งนั้นถูกฉากขวางกั้นเอาไว้
หากเดาไม่ผิดอีกครึ่งหนึ่งคงเป็นที่พักผ่อนล่ะมั้ง
หลังจากเวลาผ่านไปถึง 10 นาที หลิงเทียนที่ยืนรอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "รองแม่ทัพคนนั้นส่งคนมาตามข้าแล้วก็หายตัวไปซะอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นกันนะ?"
ทว่าตอนนี้เอง หูของหลิงเทียนพลันกระดิกขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้กระโจม เขาสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของคนภายนอกกระโจมราวกับตาเห็น
"เสียงฝีเท้าของคนทางด้านซ้าย แข็งแกร่ง,สงบและก้าวด้วยความหนักแน่นมั่นคงมากกว่าคนทางด้านขวา บงบอกถึงคนผู้นี้ต้องมีฝีมือไม่ใช่ชั่ว... เช่นนั้นคนด้านซ้ายควรจะเป็นรองแม่ทัพ ส่วนคนด้านขวาก็คงเป็นนายกองไม่ผิดแน่?" ต้วนหลิงเทียนเริ่มคาดเดาอยู่ในใจ
พรึ่บ!
ทว่าม่านประตูพลันถูกคนทางขวายกขึ้นมา
"หืม? นั่นรองแม่ทัพ!" เมื่อต้วนหลิงเทียนมองไปยังคนที่ดึงกระโจมขึ้น เขาก็อดตกใจไม่ได้ เพราะคนๆนั้นกลับเป็นรองแม่ทัพที่เรียกเขามาพบ
เขาไม่คิดเลยว่าเสียงฝีเท้าของคนสองคนที่เขาเปรียบเทียบและวิเคราะห์นั้น จะผิดเพี้ยนในลักษณะนี้ คนทางซ้ายที่แข็งแกร่งกว่าและตัวเขาเดาไว้ว่าคงเป็นรองแม่ทัพ กลับกลายเป็นว่า รองแม่ทัพคือคนทางขวาที่อ่อนแอกว่าซะได้
เช่นนั้นอีกคนก็คงเป็น ...
"ฮ่าๆ โทษทีหลิงเทียนที่ต้องให้เจ้ายืนรอซะนาน!" เฉียวชิงจ่างกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ หลังจากที่ดึงม่านให้คนๆนั้นเข้ามาแล้ว เขาก็เดินเข้ามาในกระโจมพร้อมรอยยิ้ม
ส่วนคนที่เข้ามาอีกคนนั้นรูปร่างราวกับนักวิชาการหรือนักกวี นี่เพราะเขาดูคงแก่เรียนทั้งยังมีรอยยิ้มประดับประดาบนใบหน้า แลดูสุภาพและสงบยิ่งนัก ยามจับจ้องไปที่เขา ช่างให้ความรู้สึกเหมือน แรกรับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่ผ่อนคลายชวนให้ทุกคนสบายใจ
"ท่านแม่ทัพ!" ต้วนหลิงเทียนผสานมือทำความเคารพแม่ทัพทันที
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพและเฉียวชิงจ่างเองก็ถึงกับตะลึงงันทันที
"เจ้ารู้ได้อยางไรกันเล่า ว่าข้าเป็นแม่ทัพ?" ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพนั้น แน่นอนว่าเป็นแม่ทัพของกองกำลังโลหิตเหล็กที่มีนามว่า เติ้งหยุนไห่ ...ตอนนี้เขาจ้องมองมาที่ต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ
"ไม่ใช่มันบอกอยู่ชัดเจนแล้หรอกหรือ จะมีผู้ใดกันอีกเล่า ที่ทำให้รองแม่ทัพต้องยกกระโจมขึ้นให้ ทั้งยังแสดงท่าทางเคารพเสียขนาดนี้?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
อันที่จริงภายในใจของเขาก็อดตกตะลึงไม่ได้ ตอนแรกที่เขาเห็นแม่รองทัพเฉียวชิงจ่าง ก็รู้ว่าตัวรองแม่ทัพนั้นแข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่นนั้นคนที่เป็นแม่ทัพก็สมควรจะแข็งแกร่งและดุดันมากกว่า ... เขาจะไปคาดคิดได้อย่างไรกันว่าชายที่มีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพของกองกำลังโลหิตเหล็กจะมีรูปร่างเล็กและแลดูราวกับเป็นนักวิชาการ หรือนักกวีอะไรเช่นนี้...ซ้ำดูเหมือนยังมีอารมณ์ขันไม่เบาอีกด้วย
เอาตรงๆรูปร่างและลักษณะเช่นนี้ เขาไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะพบเจอได้จาก แม่ทัพของกองกำลังโลหิตเหล็กที่ปะทะกับศัตรูอย่างดุดันและอาบโลหิตของเหล่าอริราช ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งดุดัน...
"มันคงไม่ใช่แค่เพียงเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้เจ้าสามารถคาดเดาตัวตนของข้าออก?" เติ้งหยุนไห่จ้องมองด้วยแววตาลึกซึ้งไปยังหลิงเทียน สายตาของเขาราวกับจะมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง
ต้วนหลิงเทียนพลันหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน "ดูเหมือนว่าข้าเองก็คงไม่อาจปิดบังท่านแม่ทัพได้ ท่านพูดถูกแล้ว ข้าคาดเดาได้จากเสียงฝีเท้าของพวกท่านตั้งแต่อยู่นอกกระโจม ในตอนแรกข้าคิดว่าคนที่เดินมาทางด้านซ้ายน่าจะเป็นท่านรองแม่ทัพเพราะเขาแข็งแกร่งกว่าคนทางด้านขวา ส่วนคนทางด้านขวาคงไม่พ้นนายกองผู้ติดตาม"
เฉียวชิงจ่างอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างขึ้นมา ก่อนที่จะขยับตัวจากจุดเดิมทันที...ผู้ใดใช้ให้หลิงเทียนกล่าวว่าคนทางขวาเป็นแค่นายกองกันเล่า!
เติ้งหยุนไห่พลันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม "เจ้าสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างระดับบ่มเพาะและความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเราได้ หลังจากการฟังเสียงฝีเท้าเพียงอย่างเดียว อา ... ข้าต้องบอกว่าเจ้าช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง!"
"ท่านแม่ทัพกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว" ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบพลันขยับออกไปด้านข้างเพื่อให้ทั้งสองคนเดินเข้ามา
เติ้งหยุนไห่และเฉียวชิงจ่างๆค่อยๆนั่งลงทีละคน
เฉียวชิงจ่างมองไปยังหลิงเทียน ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม "ต้วนหลิงเทียน ไหนๆเจ้าก็เก่งในเรื่องการคาดเดา ไหนเจ้าลองคาดเดาดูซิว่าข้าเรียกเจ้ามาเพราะเหตุใด?"
"อา เท่าที่ข้ารู้...ข้าคงตอบได้เพียงท่านรองแม่ทัพไม่ได้เรียกข้ามาเพื่อกล่าวโทษถึงเรื่องที่ข้าสังหารหยูหง" ต้วนหลิงเทียนตอบพร้อมยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ
"ฮ่าๆๆ...เจ้านี่ช่างน่าสนใจนัก"
เฉียวชิงจ่างหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะหันไปหาเติ้งหยุนไห่ "ท่านแม่ทัพคิดว่าอย่างไรเล่า?"
"ไม่เลวเลยทีเดียว" เติ้งหยุนไห่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
"เอ่อ?" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกทึ่งเล็กน้อย ดูเหมือนสองคนนี้จะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างแน่นอน
แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด เฉียวชิงจ่างพลันกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมา ก่อนที่หลิงเทียนจะกล่าวอะไรออกมาด้วยซ้ำ "ต้วนหลิงเทียนหลายๆคนย่อมเห็นเหตุการณ์ที่เจ้าสังหารหยูหง ทั้งหมดล้วนบ่งบอกว่าหยูหงคิดฆ่าเจ้าก่อน เจ้าทำเพียงป้องกันตัวเท่านั้น มันตายก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้”
"ท่านรองแม่ทัพ ข้าว่าที่ท่านเรียกข้ามาคงไมคิดกล่าวเรื่องแค่นี้หรอกมั้ง?" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมา
"ฮ่าๆ เจ้ายังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีได้แม้ข้าจะเอ่ยเรื่องนี้ ก็จริงที่ว่าทางกองกำลังโลหิตเหล็กของเขาไม่ได้ติดใจเอาความอะไรกับการที่เจ้าสังหารหยูหง แต่จะอย่างไรหยูหงมันก็เป็นคนของตระกูลหยูแห่งเมืองประจำมณฑล แม้สถานะของมันจะไม่ได้สูงส่งอะไรแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ต่ำต้อยเป็นแน่...ถ้าเจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมกองกำลังโลหิตเหล็กของข้า และคอยติดตามอยู่ข้างกายของท่านแม่ทัพ แน่นอนว่าฝีมือระดับท่านแม่ทัพย่อมต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยไร้เรื่องราวได้อย่างแน่นอน ทีนี้คนจากตระกูลหยูก็ไม่อาจทำอะไรเจ้าได้ อีกทั้งพวกเรายังจะส่งเสริมให้เจ้าเป็นแม่ทัพคนต่อไปของกองกำลังโลหิตเหล็ก ที่สามารถบัญชาการทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กนับหมื่นได้อีกด้วย " เฉียวชิงจ่างกล่าวออกมาพร้อมทั้งชักจูงหลิงเทียนอย่างเห็นได้ชัด
เติ้งหยุนไห่ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้เห็นท่าทีการแสดงออกของหลิงเทียน ที่ดูไม่ได้มีความหวั่นไหวหรือแสดงความรู้สึกสนใจอะไรออกมาแม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะทำให้ใจของเขากระตุกขึ้นมา
"ท่านรองแม่ทัพ!"
ต้วนหลิงเทียนยิ้มให้เฉียวชิงจ่างก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ "อย่างแรกเลย ข้า ต้วนหลิงเทียนคงต้องขอขอบคุณท่านแม่ทัพและรองแม่ทัพที่ประเมินค่าตัวข้าไว้สูงและให้โอกาสข้ามากมายถึงเพียงนี้ อย่างที่สอง ข้าไม่คิดว่าตระกูลหยูจะสามารถสร้างความลำบากอะไรให้ข้าได้ และสุดท้ายที่ข้าอยากจะกล่าว... ความฝันของข้าไม่ได้อยู่ที่กองกำลังโลหิตเหล็ก...ไม่สิมันไม่ได้อยู่ในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้! "
เฉียวชิงจ่างตะลึงงันก่อนที่จะขมวดคิ้ว "ต้วนหลิงเทียนเจ้าอย่าได้ดูแคลนระกูลหยูมากนักเชียว ตระกูลหยูนั้นเป็นถึงตระกูลใหญ่แห่งเมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหินนี้ ความสามารถและอำนาจของพวกมันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้"
ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหน้าออกมาอย่างช้าๆ "ข้าคงต้องขอขบคุณในความหวังดีและความห่วงใยที่ท่านมีให้ข้าอีกครั้ง แต่ตัวข้าเองก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว!"
"อืม...แรงบันดาลใจและความฝันของคนเราควรจะอยู่ให้สูงเข้าไว้ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องสามารถออกจากอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ และก้าวเดินไปยังเวทีที่เหมาะสมกับตัวเจ้าได้อย่างแน่นอน" ในขณะนั้นเองเติ้งหยุนไห่ก็กล่าวออกมา เขาไม่มีอารมณ์โกรธหรือขุ่นเคืองใจแม้แต่นิดเดียวที่ต้วนหลิงเทียนปฏิเสธการเข้าร่วมกองกำลังโลหิตเหล็ก
"ข้าขอขอบคุณท่านแม่ทัพ!" ต้วนหลิงเทียนแสดงความกตัญญูออกมา
"เอาล่ะ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าสามารถกลับกระโจมที่พักได้ อ่อแล้วก็พักผ่อนเสียให้เต็มที่ พรุ่งนี้รองแม่ทัพจะประกาศถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกฝนและอบรมในระหว่างที่เข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนี้ กล่าวได้ว่าต่อไปนี้เจ้าจะเข้าสู่การเข้าเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของจริงแล้ว!"กล่าวจบเติ้งหยุนไห่ก็โบกมือออกมาเล็กน้อย
"ท่านแม่ทัพ ท่านรองแม่ทัพ เช่นนั้นข้าขอตัวลา" ต้วนหลิงเทียนก็จากไปทันที
ภายในกระโจม
เฉียวชิงจ่างได้แต่มองเติ้งหยุนไห่ด้วยสายตาสงสัย "ท่านแม่ทัพข้าได้ตรวจสอบแล้วว่า ประวัติของต้วนหลิงเทียนนั้นขาวสะอาดนัก ด้วยพรสวรรค์และความสามารถในการทำความเข้าใจสรรพวิชาที่เลิศล้ำถึงเพียงนี้ เขาน่าจะเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุด และเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการที่จะได้เป็นแม่ทัพของกองกำลังโลหิตเหล็กคนต่อไปในภายภาคหน้า ทำไมท่านถึงปล่อยเขาไปง่ายๆเช่นนี้กันเล่า?"
"ชิงจ่างเจ้าไม่เห็นท่าทางก่อนหน้านี้ของเขาหรืออย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าเขาจะตอบรับหรือไร ถ้าเรายังคงกล่าวชักชวนเขาต่อไป?" เติ้งหยุนไห่กล่าวถามออกมา
เฉียวชิงจ่างเงียบลงทันที
ท่าทางและทัศนคติของต้วนหลิงเทียนนั้นบ่งบอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าเขาไม่ได้เต็มใจที่จะอยู่กองกำลังโลหิตเหล็ก
"ถ้าเขาเลือกที่จะไม่อยู่กองกำลังโลหิตเหล็กของเรา ถึงแม้เขาจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่ำเรียนวิชาที่สถาบันบ่มเพาะขุนพล เขาก็อาจจะถูกตระกูลหยูลงมือจัดการเสียก่อนที่จะได้เข้าสถาบันบ่มเพาะขุนพลน่ะสิ ข้าเองก็ทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นอัจฉริยะมีพรสวรรค์ต้องมาจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ " เฉียวชิงจ่างกล่าวออกมาพร้อมถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าเขากล่าวออกมาจากใจ
"เขาไม่ได้พูดออกมาแล้วก่อนหน้านี้หรอกหรือ ว่าเขาไม่เกรงกลัวตระกูลหยู?" เติ้งหยุนไห่ส่ายหัวออกมาช้าๆ
"ท่านแม่ทัพ อย่าบอกข้านะว่าท่านเองไม่รู้ว่าคำกล่าวที่เขากล่าวออกมานั้น เพียงเพื่อหลบเลี่ยงข้อเสนอชักชวนให้เขาเข้าร่วมกองกำลังโลหิตเหล็กของเรา...ท่านแม่ทัพคงไม่เชื่อตามที่เขาพูดจริงๆหรอกนะ?" เฉียวชิงจ่างแสดงท่าทีประหลาดใจออกมา
เติ้งหยุนไห่เพียงยิ้มออกมาบางๆ "ข้าสามารถบอกได้ว่าเขากล่าววาจาโกหกหรือกล่าวมันออกมาด้วยความมั่นใจ แววตาของเขายามกล่าวถึงเรื่องการคุกคามของตระกูลหยู เขาดูมั่นใจมาก และนั่นไม่ใช่การเสแสร้งอย่างแน่นอน เขาไม่ได้หวั่นเกรงตระกูลหยูนั่นจริงๆ อย่างที่เขาพูดนั่นล่ะ "
"ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าได้ตรวจสอบประวัติย้อนหลังของเขาดูแล้ว ล่าสุดเขาเป็นสาวกหลักของตระกูลลี่แห่งเมืองออโรร่า และเขายังมีพื้นเพมาจากตระกูลลี่แห่งเมืองวายุโปรยเท่านั้น" เฉียวชิงจ่างยากที่จะเชื่อ
"แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นบิดาของเขา?" ดวงตาของเติ้งหยุนไห่เปล่งประกายออกมาในขณะที่กล่าวถาม
"เกี่ยวกับบิดาของเขา ข้าเองก็ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้... เช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าบิดาของเขามีสถานะพิเศษ?" ในที่สุดเฉียวชิงจ่างก็พูดถึงเรื่องนี้
"ข้าเคยมีสหายเก่าคนหนึ่งที่สนิทกันมาก และรูปร่างท่าทางของต้วนหลิงเทียนเองก็ คล้ายคลึงกับเขา 60% หรือ 70% และถ้าข้าจำไม่ผิดสหายเก่าของข้าคนนี้ได้แต่งงานกับสตรีนางหนึ่งที่อยู่ในชนบท ...อีกทั้งสตรีนางนั้นยังใช้แซ่ลี่อีกด้วย” เติ้งหยุนไห่คอยๆกล่าวออกมาอย่างช้าๆ
"เขาเป็นใครกันหรือท่าน?" เฉียวชิงจ่างเองก็ติดตามท่านแม่ทัพมานาน เขาย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
เพราะถ้าเป็นเพื่อนเก่าของท่านแม่ทัพเขาเองก็น่าจะรู้จักด้วยเช่นกัน
"เจ้ายังจำคนของตระกูลต้วนจากเมืองหลวงที่หายตัวไปเมื่อ 15 ปีก่อนได้หรือไม่เล่า ... ?" ดวงตาของเติ้งหยุนไห่เรืองวูบขึ้นมายามกล่าวถึง
“ท่านแม่ทัพ ท่านกำลังพูดถึง ... ต้วนหรูฟง? " ท่าทางของเฉียวชิงจ่างพลันสะทกสะท้านขึ้นมาทันที ก่อนที่แววตาของเขาจะแสดงความเคารพออกมาอย่างล้นเหลือ
ต้วนหรูฟงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง ที่เคยสั่นคลอนทั่วทั้งอาณาจักรนภาล่องมาแล้ว ... เขาเป็นตัวตนสูงส่งที่คนรุ่นหลังได้แต่แหงนมองขึ้นไป
หลังจากออกจากระโจมของรองแม่ทัพ หลิงเทียนก็ไม่ได้เถลไถลอะไร เขากลับกระโจมของตัวเองทันที
"เฮ่ ต้วนหลิงเทียนท่านรองแม่ทัพ ทำอันใดกับเจ้าบ้างล่ะเนี่ย?" ด้วงตาของเมิ่งฉวนเปล่งประกายและรีบกล่าวถามออกมาทันที ที่ต้วนหลิงเทียนเลิกกระโจมเข้ามา
"ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก เขาแค่สอบถามอะไรเล็กน้อย แล้วก็แจ้งข้าว่า พรุ่งนี้การฝึกอบรมที่แท้จริงของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ กำลังจะเริ่มขึ้น" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมา ก่อนที่จะกล่าวตอบอย่างช้าๆ
"อะไรนะ?!" เมิ่งฉวนพูดออกมาเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ
"ชู่วววว... เบา ๆหน่อยเจ้าบ้า "ลั่วเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
"เอ๊อะ ข้าลืมไป"
หลิงเทียนเองก็พึ่งสังเกตเห็นเซี่ยวหยูที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงของเขา เขากำลังบ่มเพาะพลังอยู่ "หืม? นี่เซี่ยวหยูนั่งบ่มเพาะพลังตั้งแต่เช้าเลยรึ... ?"
"ถูกแล้ว นี่เป็นเพราะเขาได้รับแรงกระตุ้นจากหยูเซี่ยงอย่างไรเล่า"
เมิ่งฉวนส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ "ในเมืองออโรร่า เซี่ยวหยูเป็นตัวตนผู้ที่คนอื่นต้องแหงนมอง หลังจากที่เขาถูกหยูเซี่ยงทำร้ายและเหยียดหยามเช่นนี้ เขาจึงทานทนไม่ได้อย่างไรเล่า ... เขาจะบ่มเพาะอย่างอย่างหนักเพื่อเรื่องนี้ก็ไม่ได้น่าแปลกอะไร"
"เมิ่งฉวน ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะเป็นคนพูดมากเช่นนี้” ทันใดนั้นเองเซี่ยวหยูพลันลืมตาขึ้นมา ก่อนที่จะใช้สายตาเย็นชาจับจ้องมาที่เมิ่งฉวน
"แหม่ เจ้าก็คิดมากเกินไป๊ ข้ายังไม่ทันได้กล่าวอะไรเลย ไม่ทันได้กล่าวอะไรเลยจริง จริ๊งงงง ... " เมิ่งฉวนโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันราวกับเด็กน้อยถูกจับได้ว่าขโมยขนมอย่างไรอย่างนั้น