หน้าแรก > ราชันสามภพ
บทที่ 22

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

บรรยากาศในงานเลี้ยงค่อนข้างครึกครื้น องค์หญิงโจวหยู่จะมีความเย็นชาบนใบหน้าของเธอ แม้ว่าเธอดูเหมือนจะไม่สนใจสักเท่าไหร่ แต่ในใจของเธอนั้นค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของหลงจ้าวเฟิง มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับราชวงศ์เลย ถ้าหากขุนนางแห่งมังกรทะยานมีอำนาจมากเกินไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลงยู่ซือ หากเธอเข้าถึงพลังที่แท้จริงของสำนักตะวันม่วง การพัฒนาของเธอจะไม่มีขีดจำกัดอย่างแน่นอน แม้ว่าองค์หญิงโจวหยู่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะของอาณาจักร แต่เธอก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของนิกายหรือผู้สันโดษเลยแม้แต่น้อย

เจี้ยงเฉินเป็นคนช่างสังเกตและเป็นคนที่ประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เขารู้ถึงพลังจากการฝึกของนางเพียงแค่ชำเลืองมอง

"นางเป็นเพียงแค่คนที่มีพรสวรรค์เล็กน้อย จากทั้งหมดของการต่อสู้แห่งเต๋า มันก็เหมือนกับการปีนขึ้นจากเหวลึก ผู้ที่มีศักยภาพที่ดีก็จะปีนได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ แต่หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยสุดท้ายพวกเขาก็จะตกลงไปและได้รับบาดเจ็บ ทั้งหมดมันจะเปล่าประโยชน์ทันทีเมื่อคนมีพรสวรรค์แต่ไม่มีผู้ผลักดันและไม่รู้วิธีที่จะใช้มัน" เสียงของเขาไม่ได้ดังมากนัก มันดูเหมือนว่าเขาแค่พูดกับตัวเองและอธิบายให้แก่องค์หญิงจื่อยั่วฟังเท่านั้น

แต่ผู้ฟังคนใดถ้าตั้งใจที่จะฟังย่อมรู้ว่าเขากำลังพูดอะไร มีแสงแปลกประหลาดภายในดวงตาขององค์หญิงโจวหยู่เมื่อนางได้ยินคำพูดเหล่านั้น เธอกวาดตามองไปทั่วใบหน้าของเจี้ยงเฉินนางคิดว่าเด็กหนุ่มปากร้ายผู้นี้ก็ไม่ได้น่ารังเกียจไปซะทั้งหมด

"ไม่, ข้าจะให้อภัยเด็กนี่เช่นนั้น?" เจ้าหญิงโจวหยู่เลิกคิดเรื่องเช่นนี้ทันที เมื่อเธอเริ่มรู้สึกดีในตัวเจี้ยงเฉินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

เจี้่ยงเฉินยืดเส้นอย่างเกียจคร้านและบุ้ยปาก "งั้น จบการคุยโวโอ้อวดความเก่งกาจทั้งหมดนี้คงเพียงพอแล้วใช่หรือไม่? เมื่อไหร่อาหารจะเริ่มออกมาล่ะ? ข้าหิวมากแล้วตอนนี้!" เขาไม่ได้เบาเสียงเขาเลยขณะพูด เสียงนี้ฟังเหมือนการประกาศความไม่พอใจของเด็กหนุ่ม แต่เมื่อเสียงนั้นออกมาในโอกาสนี้ พวกเขาค่อนข้างโกรธเคืองทีเดียว

หลงจ้าวเฟิงแต่เดิมจะกล่าวเสริมต่อไปอีกแต่มันก็ยากจะกล่าวต่อ เมื่อเขาถูกขัดจังหวะโดยคำพูดบาดหูด้วยเสียงไม่คาดคิดแต่ เขาจะทำอะไรได้? เขาไม่มีคำพูดที่ดีสำหรับการโต้เถียงกับเจี้ยงเฉิน

เจี้ยงเฉินไม่เคยรู้วิธีการเลือกเวลาที่เหมาะสม สำหรับคนที่กล้าแม้แต่การผายลมในพิธีบูชาสวรรค์ การแสดงความบ้าบิ่นเป็นเหมือนกับบุคลิกของเขา

ขุนนางแห่งมังกรทะยาน โล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาคิดว่า "เด็กคนนี้เกิดมาด้วยความผิดปกติทางสมองจริง ๆ มันเป็นสิ่งที่ดี ขุนนางแห่งเจียงฮาน มันเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับเขาที่จะรักษารากฐานไว้ด้วยบุตรชายที่ไร้ประโยชน์ มันควจจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับการโน้มน้าวให้ยอมแพ้ในเรื่องที่ดินจิตวิญญาณในภายหลัง"

หลงจ้าวเฟิงลบความไม่พอใจของเขาทิ้งในทันที เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น เขาหัวเราะ

"ใช่ ๆ ข้าขออภัยสำหรับการที่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน ขอเริ่มต้นงานเลี้ยง! ทุกคนโปรดสบายใจ ดื่ม!" แต่สายตาของหลงยู่ซื่อ เหล่มองมาทางเจี้ยงเฉิน มีรอยยิ้มซุกซ่อนอยู่บนใบหน้าอันสวยงามของเธอ เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโถงแห่งการรักษา

"เอาล่ะการที่มีคนมากเช่นนี้ไม่มีโอกาสมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเข้าร่วมของผู้จัดงานหลักของการทดสอบมังกรซ่อน มีทายาทขุนนางมากมายในวันนี้ทำไมไม่พูดคุยกันในเรื่องของสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแลกเปลี่ยนกันสักหน่อยเพื่อเป็นการบันเทิงสำหรับงานเลี้ยง!" เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าตัว หลงยู่ซื่อคิดว่าตัวเองได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักตะวันม่วงและได้วางตัวเท่าเทียมกับผู้จัดการทดสอบมังกรซ่อน

"เป็นการแนะนำที่ยอดเยี่ยม!"

"ฮ่า ๆ เป็นความคิดที่ดี ถ้าพวกเราแสดงความสามารถของเรากับ อนาคตศิษย์สายตรงของสำนักตะวันม่วง บางทีแม่นางยู่ซือ อาจจะแนะนำพวกเราให้กับทางสำนักก็ได้ถ้าหากเธอนึกชื่นชมพวกเราในที่นี้"

"นั่นมันยอดเยี่ยม! ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าเราจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงความสามารถให้แม่นางยู่ซื่อชมในวันนี้"

"มันจะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในชีวิตถ้าหากเส้นทางถูกปูด้วยรอยยิ้มของหญิงงาม"

อาวุธที่ดีที่สุดคือความรู้จากชาติภพก่อนของเขา สัญชาตญาณของเจี้ยงเฉินนั้นตื่นตัวในทันที เมื่อหลงยู่ซือมองผ่านใบหน้าเขา เขารู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ มีจุดประสงค์คือเขา

องค์หญิงโจวหยู่รู้สึกได้เช่นเดียวกับเจี้ยงเฉิน แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเจี้ยงเฉินและหลงยู่ซือมีปัญหาอะไรกันมาก่อน ด้วยความฉลาดและความหลักแหลมของนาง นางจะไม่เข้าใจในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร? หลงยู่ซือไม่ได้ปกปิดเจตนาของนางเลยแม้แต่น้อย.

"เธอเตะขาของเจี้ยงเฉินใต้โต๊ะและส่งเสียงในลำคอ "เจ้าเด็กเหลือขอ ระวัง! ยู่ซือมีเป้าหมายที่เจ้า" เจี้ยงเฉินผงะเล็กน้อย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่องค์หญิงโจวหยู่กังวลเกี่ยวกับตัวเขา? เธอไม่ได้หวังที่จะให้เขาแพ้?

เขาหยิบผลไม้เข้าไปในปากของเขาและหัวเราะออกมา "ทำไมมีเป้าหมายที่ข้า? อย่างไรข้าก็เป็นเพียงพวกไร้ค่า ใครจะต้องการทำร้ายแมลงวันอย่างข้ากัน เพื่อแสดงความเหนือกว่า?"

โจวหยู่รู้สึกเบื่อหน่ายมากเมื่อเห็นท่าทีเกียจคร้านของเจี้ยงเฉิน เจ้าจะรู้ถึงพลังของหลงยู่ซือเมื่อนางจัดการเจ้าในภายหลัง

อันที่จริง หลงยู่ซือหัวเราะและพูดกับโต๊ะของ ไป๋ชานอวิ๋น "เพื่อนของครอบครัว พี่ไป๋ และพี่ ฮง ก็ดูเหมือนจะมีเรื่องขัดแย้งกับทายาทขุนนางของเจียงฮาน พี่ชายเจี้ยง ทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในตอนนี้แลกเปลี่ยนทักษะกันสักหน่อยล่ะ? การฝึกเต๋าต้องมีการแลกเปลี่ยนพื้นฐานกันเล็กน้อยเพื่อประโยชน์ในการฝึก ความสัมพันธ์เกิดขึ้นด้วยกำปั้นของเรา ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่?" ไป๋ซานหยุน ดีใจในคำพูดเหล้านี้และกระโดดตัวขึ้นในทันที "ใช่แล้ว แม่นางยู่ซือ ท่านช่างให้ความสำคัญเกี่ยวกับความรู้สึกมิตรที่แท้จริงย่อมเกิดจากการต่อสู้ เจี้ยงเฉิน เจ้าจะว่าอย่างไร มันย่อมสามารถทำให้เจ้ามีความเข้าใจมากขึ้นในวันนี้?"

"พี่ชายไป๋ ข้าคนตระกูล ฮง ก็ต้องการแลกเปลี่ยนกับพี่เฉินเช่นกัน ทำไมไม่ให้ข้าไปก่อนล่ะ?"

"พี่ชายทั้งสองพวกท่านอายุมากกว่า และยังเป็นทายาทขุนนางอันดับสูง ทำไมพวกท่านไม่ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราล่ะ ข้าเหยียนอี้หมิง มีความประทับใจในตัวของพี่เฉินมานานแล้ว"

คนเหล่านี้เป็นคนโง่ที่น่าปวดหัว เมื่อได้ยินคำพูดของหลงยู่ซือบอกว่า มิตรถูกสร้างขึ้นโดยพื้นฐานของการต่อสู้ พวกเขาจึงมีข้อแก้ตัวอันสมควรที่จะเอาชนะเจี้ยงเฉิน และทำให้เขาขายขี้หน้า นี่เป็นโอกาสที่หาได้ไม่บ่อยนัก

ขณะนี้ขุนนางที่โดดเด่นคนอื่น ๆ ได้รับการยุยงของขุนนางแห่งมังกรทะยานและร่วมซ้ำเติม

"ใช่ ใช่ มันผ่านไปแล้วสำหรับยุคของพวกเรา มันถึงเวลาที่จะให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถของพวกเขา นี่เป็นโอกาสหายากสำหรับทายาทของเราที่จะเรียนรู้จากกันและกัน และสร้างมิตรภาพของพวกเขา! นอกจากนี้ยังเพิ่มความตั้งใจฝึกฝนของอาณาจักรตงฟาง ดีมาก ดีมาก!"

"แน่นอนว่าคนหนุ่มสาวเป็นความหวังของอาณาจักร ถ้าพวกเขามีพลังอาณาจักรย่อมแข็งแกร่ง!"

"ขุนนางประมาณสิบคนได้เข้าร่วมกับฝูงชนภายในครู่เดียว พวกเขาทุกคนแสดงความคิดเห็นสนับสนุน เนื่องจากข้อตกลงกับขุนนางมังกรทะยาน"

เหยียนอี้หมิง มีความเชื่อมั่นเป็นพิเศษและป้องมือของเขา เขาโค้งตัวเล็กน้อยในท่าทีจอมปลอม "พี่เจี้ยงเฉิน เรามีความเข้าใจผิดกันมาก่อน ทำไมไม่ปล่อยวางแล้วมาแลกเปลี่ยนทักษะกันสักหน่อย บางทีเราอาจจะยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีหลังจากจบการต่อสู้นี้ได้" ในที่สุดเขาก็หาเหตุผลเพื่อจะต่อสู้กับเจี้ยงเฉินได้แล้ว

เจี้ยงเฉินถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ แล้วโยนเม็ดถั่วที่อยู่ในมือของเขาเข้าปากทันที เขาตอบด้วยท่าทีไม่แยแสเท่าใดนัก " เหยียนอี้หมิง หมายความว่าอะไร ถ้าข้าเป็นเจ้าข้าจะไม่ทำเช่นนั้น ด้วยตำแหน่งและศักยภาพของเจ้ามันหมายความว่าเจ้าจะเป็นดาวเด่นของงานนี้ ทำไม!! ถ้าประลองกับคนอื่น? หากเจ้าพลาดขึ้นมา มันก็คงเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจ"

"ลำบากใจ?" เหยียนอี้หมิงหัวเราะ "เจี้ยงเฉินพูดมาตามตรงถ้าหากเจ้ากลัว แต่ถ้าเจ้ายอมก้มหัวข้ออภัยข้า บางทีข้าอาจจะพิจารณาการให้อภัยแก่เจ้า"

"ขอโทษ?" เจี้ยงเฉินลุกขึ้นอย่างเชื่อยชา "ข้าเจี้ยงเฉินไม่เคยรู้วิธีการเขียนคำว่า ขอโทษ แต่เร็ว ๆ นี้เจ้าจะได้เห็นว่าเจ้าผิดพลาดอย่างไร เจ้าเรียกว่าอะไรนะ? การฝึกซ้อม? งั้นมาเริ่มกัน"

เจี้ยงเฉินหยิบสุ่มพื้นที่ว่างจากห้องโถงใหญ่

"หึ ๆ ดูท่าทางของเจี้ยงเฉิน! อยู่เพียงเส้นชีพจรลมปราณที่สามกลับกล้า ข้าประทับใจในความกล้าหาญของเจ้า" เหยียนอี้หมิง ยิ้มน่าเกลียดแล้วก้าวไปข้างหน้า เขามีหกเส้นชีพจรลมปราณส่งกลิ่นอายที่มีความอันตรายหมายจะมุ่งสยบอีกฝ่ายด้วยแรงกดดันเพียงอย่างเดียว

"หยุดพูดจาใหญ่โต! หากเจ้าต้องการต่อสู้ก็เข้ามา ข้าจะไปกินต่อ เจ้าคิดว่ามันสบายนักรึ ที่ต้องอดทนกับความหิวเป็นเวลานาน?" เจี้ยงเฉินไม่ได้สนใจท่าทางของเหยียนอี้หมิง เลยแม้แต่น้อย

"เจี้ยงเฉิน ข้ากลัวว่าเจ้าที่มีเพียงแค่เส้นชีพจรลมปราณขั้นที่สามแต่กลับต้องมาสู้กับข้า เป็นข้า ข้าขอตายดีกว่า รับหมัด!" มันไม่ใช่หมัดที่รุนแรงอะไรมากนัก ต้องไม่ลืมด้วยว่าตอนนี้องค์หญิงโจวหยู่ยังอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่ได้ใช้ศิลปะการต่อสู้ของตระกูล แต่ใช้ฝ่ามือเมฆาม่วงแทน

หกเส้นชีพจรลมปราณเป็นระดับสูงที่สุดของระดับกลาง เมื่อเขาเปิดใช้พลังจากทั้งหกเส้นชีพจรลมปราณร่วมกับคลื่นพลังปราณของเขาทำให้ส่งพลังงานอันน่าหวาดหวั่นออกมา

เหยียนอี้หมิงกระโจนขึ้นจากพื้นที่ยืนอยู่ จากนั้นไม่นานก็มีแสงสีม่วงเปล่งประกายออกมาลอมรอบตัวเขา แสงสีม่วงที่เล็ดลอดออกมาจากฝ่ามือของเขามันเหมือนกลับกลีบดอกไม้ที่บานสะพรั่ง แพร่กระจายไปทั่วงานเฉลิมฉลอง ในสายตาของผู้คน

"เงาของฝ่ามือมากมาย เหมือนดอกไม้พลันผลิบาน ใครจะคิดว่า เหยียนอี้หมิงจะฝึกฝ่ามือเมฆาม่วงจนถึงขั้นสูงสุดของความสมบูรณ์แบบ! มันหายากอย่างไม่น่าเชื่อ...."

"ทายาทของ อี้หมิงมีชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะเป็นหนึ่งในสิบตระกูลขุนนางที่แข็งแกร่ง"

มีเสียงความชื่นชมเต็มไปทั่วบริเวณ แม้แต้ ไป๋ ซานหยุน และ ฮงเทียนตงก็ยังมองด้วยสายตาจริงจังและจมลงไปในความคิดของพวกเขา

ระดับการฝึกของพวกเขาเป็นส่วนใหญ่จะมีพื้นฐานแบบเดียวกัน เพียงแค่การตัดสินจากฝ่ามือเมฆาม่วงของ เหยียนอี้หมิงก็เพียงพอที่จะตัดสินถึงความแข็งแกร่งของเขา!

"เหอะ เจี้ยงเฉินมันไปเอาความกล้ามาจากไหนด้วยความแข็งแกร่งระดับสามเส้นชีพจรลมปราณ" ไป๋ซานหยุนเต็มไปด้วยความต้องการที่จะเห็นเจี้ยงเฉินโดนซ้อมจนกว่าจะกระอักเลือด ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยเงา­ของฝ่ามือเมฆาม่วง แต่เจี้ยงเฉินเพียงแค่ยืนอยู่นิ่ง ๆ นี่มันเหมือนว่าเขาจะถูกกลืนไปในเงาฝ่ามือ รอยยิ้มของผู้ชนะพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ เหยียนอี้หมิงทันที และในตอนนั้นเองที่เจี้ยงเฉินได้ขยับ

เขาก้าวไปข้างหน้าเบา ๆ องค์หญิงโจวหยู่เฝ้ามองการต่อสู้อย่างเคร่งขรึม นางรู้สึกเหมือนมีแสงของอะไรบางอย่างแล่นผ่านใบหน้าของนาง

เพราะเจี้ยงเฉินย่างก้าวได้อย่างแม่นยำและถูกต้องจากจุดที่มีกลิ่นอายของพลังอ่อนแอที่สุดที่เหยียนอี้หมิงปล่อยออกมาเนื่องจากการใช้พลังเป็นวงกว้างมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่เป็นเพียงการกระทำของเด็ก ๆ แกล้งกันเท่านั้น และมันยังเหมือนกับว่าเจี้ยงเฉินสามารถคาดการณ์การกระทำของเขาล่วงหน้าได้ และทำการเคลื่อนไหวอย่างพิสดารเมื่อเหยียนอี้หมิงพุ่งมาหาเขา

ในเวลาเดียวกันเจี้ยงเฉินได้ยกแขนของเขาขึ้นสูงเล็กน้อย แล้วเสียดแทงนิ้วของเขาออกไป

มีเสียงหวีดแหลมดังเข้าสู่โสตประสาท มันเหมือนเสียงดาวตกที่ร่วงจากฟ้า

ผู้คนไม่ทราบว่าเสียงนี้มันดังมาจากที่ไหน

เสียงร้องทรมานที่เปล่งออกมาในช่วงเวลาถัดมาและภาพเงาของฝ่ามือจำนวนมากที่หายไปอย่างสิ้นเชิง มันเหมือนกับใบไม้ที่ได้รับความเสียหายและร่วงโรย เหยียนอี้หมิงและแสงสี่ม่วงอยู่ ๆ ก็ได้ร่วงหล่นลงมาเหมือนใบไม้ตกสู่พื้น

กระบวนท่าเดียว!

มันร่วงหล่นสู่พื้นในทันที แม้แต่พื้นแถวนั้นยังสั่นสะเทือน!

ผลกระทบนี้ทำให้ผู้ยืนดูล้วนขนลุกไปถึงกระดูก ร่องรอยการตกตะลึงในดวงตาของพวกเขามีแนวโน้มว่าจะลดลงได้โดยยาก

ตัวผู้กระทำ ทำเพียงปัดฝุ่นเบา ๆ ออกจากมือของเขาและถอนหายใจออกมาเท่านั้น "นี่! สำหรับคนที่ชอบดูถูกพลังของผู้อื่น ข้าคิดว่าเจ้าคงจะมีอะไรที่น่าสนใจ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าจะรับไม่ได้แม้กระบวนท่าเดียว น่าผิดหวัง, น่าผิดหวัง."

เงียบ มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ปกคลุมไปทั่วห้องโถงนี้

ตอนนี้ไม่มีใครสามารถพูดอันใดได้ทั้งสิ้น!

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.