spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
#เปลี่ยนเจ้าหญิงโจวหยู่ เป็นน้า น้องราชานะครับ*** อาจมีบางบทที่แปลไปแล้วไม่ได้เปลี่ยน
"เจ้าเด็กเหลือขอสารเลวนั่นทำได้ดีหรือไม่?" โจวหยู่ไม่อยากที่จะยอมรับมัน เธอยังคงรู้สึกอึดอัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใดก็ตามที่นางคิดถึงการถูกสั่งสอนโดยเจี้ยงเฉิน มันเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะต้องยอมรับถึงความเหนือกว่าของเจี้ยงเฉิน
ตงฟางลู่ดึงจื่อยั่วเจ้าไปในอ้อมกอดของเขาแล้วถอนหายใจเบาๆ "ใครจะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพิธีบูชาสวรรค์จะทำให้เกิดโชคลาภแก่เรา การเกิดขึ้นของภัยพิบัติกลับกลายเป็นประสงค์ของสวรรค์ให้เจี้ยงเฉินมาบรรเทาทุกข์ของยั่วเอ๋อ ใช่หรือไม่?"
เกี่ยวกับสิ่งนี้มันมีเพียงคำอธิบายเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นไปได้
"โอ้ ใช่ โจวหยู่ เจี้ยงเฉินเป็นหนึ่งในทายาทขุนนางในเมืองหลวงที่จะเข้ารับการทดสอบมังกรซ่อน ระดับของเขาเป็นเช่นไร? จู่ ๆ ตงฟางลู่ ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
"พี่ตงฟาง จากทายาทขุนนางทั้ง 108 คน แน่นอนว่าเจี้ยงเฉินเป็นคนที่มีผลสอบอันดับต่ำที่สุดของชั้น และจนถึงตอนนี้เขายังไม่ผ่านแม้แต่บททดสอบเดียวของการทดสอบพื้นฐาน
เหลืออีกไม่กี่วันสำหรับการทดสอบครั้งที่สามหากเขายังไม่ผ่าน เขาจะไม่มีโอกาสเข้าสอบรอบสุดท้ายของการทดสอบมังกรซ่อน" องค์หญิงโจวหยู่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
"แย่ขนาดนั้น?" ตงฟางลู่ประหลาดใจ "นั่นมันค่อนข้างลำบาก หากเด็กนั่นไม่สามารถผ่านการทดสอบพื้นฐานได้ตระกูลของเขาจะต้องสูญเสียตำแหน่งขุนนางไป แล้วความตั้งใจของข้าที่จะให้ตำแหน่งและรางวัลกับตระกูลเขา..."
"เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ท่านหว่านไว้ (ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว,) เขาไม่ได้ตั้งใจก่อนหน้านี้ มันก็คงจะช่วยไม่ได้ที่ตระกูลของเขาอาจจะเสียตำแหน่งขุนนางของพวกเขา
ท่านพี่ ข้าบอกไว้ก่อนเลยตั้งแต่ท่านได้แต่งตั้งข้าเพื่อเป็นกรรมการหลักของการทดสอบมังกรซ่อน ข้าจะไม่ให้ใครได้รับการทดสอบที่ง่ายดาย" โจวหยู่เม้มปากสนิท
"ฮ่า ๆ ข้าจะให้เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากการเป็นขุนนางไม่ใช่วาสนาของเขา การให้เขาทำงานในเมืองหลวงแทนก็อาจจะดีกว่า ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลความมั่งคั่ง ร่ำรวย ก็จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตมากนัก"
นั่นเป็นข้อสรุปของตงฟางลู่ ไม่งั้นหลังจากการทดสอบมังกรซ่อนถ้าหากขุนนางต่าง ๆ กลับไปอยู่ในดินแดนของตัวเอง ใครจะเป็นคนรักษาจื่อยั่วล่ะ?
"โอ้ พี่ชายจะว่าไปแล้วพูดถึงการทดสอบ โจวหยู่ได้รับเชิญในวันนี้ มันมาจากขุนนางมังกรทะยาน"
"ขุนนางมังกรทะยาน?" ตงฟางลู่ ขมวดคิ้วของเขาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาได้ยินชื่อนี้ "ใช่ มันบอกว่าคืนนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงและเชิญให้ข้าเข้าร่วม เห็นได้ชัดว่าคงมีเรื่องน่ายินดีอะไรในตระกูลขุนนางมังกรทะยาน"
"เหตุการณ์น่ายินดี?" การแสดงออกของตงฟางลู่กลายเป็นซับซ้อนมากขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองดินแดนราชอาณาจักรปกติเขาจะเป็นคนที่รู้เรื่องต่าง ๆ กว้างขวาง
แต่กรณีมีเรื่องที่น่ายินดีในตระกูลขุนนางมังกรทะยาน ? ตงฟางลู่คิดว่ามันมีเงื่อนงำบางอย่าง
แน่นอนกษัตริย์ไม่เคยได้รับเชิญไปงานเลี้ยง ประการแรกมันแสดงถึงความไม่เคารพต่อองค์เหนือหัวและประการที่สองมันเป็นสิ่งที่กำหนดโดยบรรพบุรุษว่าไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนั้น
"เขาไม่ได้เขียนรายละเอียดในบัตรเชิญ เขาเพียงบอกว่ามันเกี่ยวกับบุตรสาวของเขา หลงยู่ซือ(ที่ทำให้ขุนนางชายแย่งไขกระดูกมังกรของเจี้ยงเฉิน ตอน 11) มีความก้าวหน้าบางอย่างเกี่ยวกับการฝึก
ตงฟางลู่ ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องแค่นั้น เขาโบกมือของเขา " เจ้าไปร่วมงานนี้ก็แล้วกัน ยังไงเจ้าก็ได้รับเชิญ ขุนนางมังกรทะยานหึหึ "
การแสดงออกของโจวหยู่ซับซ้อนเล็กน้อย นางเข้าใจพี่ชายของนางต้องการที่จะให้นางไปสืบข่าว ขุนนางมังกรทะยานเขาเป็นขุนนางอันดับหนึ่ง เขามีตำแหน่งที่โดดเด่น พลังและอำนาจด้วยผลงานของเขา
คฤหาสน์ขุนนางตระกูลมังกรทะยานตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ทำเลที่ตั้งที่ดีถนนเจริญรุ่งเรือง และคฤหาสน์ที่งดงาม แน่นอนว่าคฤหาสน์ขุนนางเจียงฮานเทียบไม่ได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่า แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าคฤหาสน์ตระกูลขุนนางแต่มันก็เป็นเพียงที่อยู่อาศัยชั่วคราวในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ละขุนนางมีคฤหาสน์อยู่ในดินแดนของตน
เจี้ยงเฟิงในตอนแรกได้คิดจะเตรียมของบางอย่างไปเป็นของขวัญแต่ถูกห้ามโดยเจี้ยงเฉิน ตั้งแต่พวกเขามีความบาดหมางกัน จะไปทำเรื่องวุ่นวายเช่นนั้นทำไม? เพียงสุ่มอะไรก็ได้สักอย่าง ตระกูลขุนนางมังกรทะยานจะรับมันเองถ้ามันอยาก
นอกจากนี้มันเป็นสิ่งที่แน่นอนว่าการเชิญในครั้งนี้ มันไม่ได้หวังของขวัญอะไรแต่อย่างใด สิ่งที่ขุนนางมังกรทะยานอยากได้จากขุนนางเจียงฮาน ก็มีเพียงที่ดินจิตวิญญาณที่พวกเขาครอบครองอยู่เท่านั้น
การจะฉกฉวยของที่เป็นของผู้อื่นนั่นคือการเริ่มต้นของการบาดหมาง เจี้ยงเฉินเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่าย ๆ
เจี้ยงเฉินออกจากการฝึกเมื่้อถึงเวลาพลบค่ำ ตั้งแต่เขารู้ว่างานจะเริ่มตอนเย็นแต่คนก็ยังไม่มากนัก ทำไมพวกเขาไม่รอให้คนไปครบซะก่อนล่ะ?
เจี้ยงเฟิงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีและได้ยอมรับข้อเสนอของเจี้ยงเฉิน
ส่วนใหญ่แขกทั้งหมดได้มาถึงแล้วเมื่อพวกเขาได้เดินเข้ามา
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เจี้ยงเฉินคาดไว้ ไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือตั้งใจ ขุนนางหลายคนได้ทำข้อตกลงกับขุนนางแห่งมังกรทะยานกดดันพวกเขาสองพ่อลูก
มันเป็นสิ่งที่ดีที่เจี้ยงเฟิงเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีและได้มีเพื่อนสนิทบางคนของเขาอยู่ในหมู่ขุนนาง บางคนที่คุ้นเคยได้เข้ามาทักทายเจี้ยงเฟิง
ดังนั้นมันจึงไม่แย่นัก
"พี่เฟิง ข้าดีใจที่ท่านมางานเลี้ยง ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอท่านซะแล้ว" มีเสียงหัวเราะดังมาพร้อมกับคนแต่งตัวหรูหราเดินเข้ามาจากด้านหน้า
ผู้ชายคนนี้มีออร่าความแข็งแกร่งแผ่ออกมารอบตัวเขา เขาเดินด้วยความสุขุมกลิ่นอายครอบงำทุกท่วงท่าของเขา เขาเป็นขุนนางแห่งตระกูลมังกรทะยาน หลงเจาเฟิง
"น้องชายเจ้าสุภาพเกินไป"
"มา ๆ พี่ใหญ่ท่านเป็นแขกที่มีเกียรติในงานนี้ท่านมานั่งกับข้าที่โต๊ะใหญ่เถอะ"
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้นั่งโต๊ะใหญ่ที่ตระกูลขุนนาง ซึ่งมีระเบียบการจัดที่นั่งอย่างเข้มงวด แม้ว่าจะเป็นขุนนางแห่งเจียงฮานก็ตาม ปกติมันก็ไม่ได้มีศักดิ์พอที่จะได้รับ
"ข้าจะรับน้ำใจเช่นนี้ได้อย่างไร? น้องชายเจ้าไปคุยการค้าของเจ้าด้านนู้นเถอะ ข้าจะนั่งอยู่กับพี่น้องของข้าตรงนี้" เจี้ยงเฟิงยังคนอยากนั่งกับเพื่อนพ้องของเขา
อย่างไรก็ตามเขาได้เห็นความตั้งใจที่แน่นอนของขุนนางมังกรทะยาน
"ได้โปรดเห็นแก่ข้าที่เป็นเจ้าภาพงานเถิด พี่เจี้ยงถือว่าข้าขอแล้วกัน" บรรยากาศรอบตัวของ หลงเจาเฟิงเหมือนจะบอกว่า ไป นั่ง โต๊ะ ใหญ่ กับ ข้า!
เจี้ยงเฉินไปด้านข้างแล้วกล่าวว่า "ท่านพ่อ ไหน ๆ ขุนนางมังกรทะยานมาเชื้อเชิญท่านแล้ว ใยท่านไม่ไปนั่งกับเขาสักหน่อยเล่า ถึงยังไงนั่นก็เป็นที่นั่งของท่านอยู่แล้ว?"
"ฮ่า ๆ นี่คงจะเป็น....? โอ้คงจะเป็นบุตรชายของท่าน เจี้ยงเฉินสินะ ดีดีพ่อเสือย่อมไม่มีบุตรเป็นลูกสุนัข หลานชาย เจ้าสามารถสนุกสนานกับงานเลี้ยงได้เต็มที่ ข้าคงไม่มีโอกาสได้ต้อนรับมากนัก" ขุนนางแห่งมังกรทะยานหัวเราะสายตาของเขาที่มองเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เขาไม่คิดจะเสียเวลากับเจี้ยงเฉิน
"หึ ๆ ตามสบายเลยขอบคุณในความกรุณา" เจี้ยงเฉินมองดูรอบ ๆ และจากไป
"พี่เฉิน! มานี่สิ"
เจี้ยงเฉินเห็น บุคคลอ้วนใหญ่กำลังโบกมือให้กับเขา จากโต๊ะที่ไม่ไกลจากเขามากนัก
มีเพียงคนเดียวในอาณาจักร ที่มีสัดส่วนที่ใหญ่โตขนาดนี้ แน่นอนเขาคือไขมันซวน
มีคนนั่งอยู่กับไขมันซวน นั่นคือทายาทขุนนางหูปิง หูปิงเยว่ ทั้งสองคนล้วนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเจี้ยงเฉินที่อยู่ในเมืองหลวง
สำหรับคนอื่นหยางซงเขาได้อยู่กับโต๊ะอื่น ไม่กล้าแม้แต่จะมองมาที่พวกเขา มันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
"พี่เฉิน ไม่กี่วันที่ผ่านมาช่างเป็นวันที่ลำบากจริง ๆ สำหรับน้องชายของท่าน!" ไขมันซวนค่อนข้างลำบากในขณะที่เขากำลังใช้แขนเสื้อที่ทำจากไหมชั้นดีของเขาเช็ดเก้าอี้ "พี่เฉินนี่เป็นที่นั่งของท่านที่ข้าได้จองไว้ตั้งแต่ตอนเย็นมันค่อนข้างรับน้ำหนักได้ดีทีเดียว!"
"พี่เฉิน พวกเราไม่ได้เจอท่านนาน เราค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับท่าน" คลื่นความกระตือรือร้นแผ่ออกมาจากดวงตาของหูปิงเยว่ เขาไม่ค่อยพูดมาก แต่มันมักจะเป็นเรื่องจริงและตรงไปตรงมา
เจี้ยงสัมผัสได้ว่าสองคนนี้มีความกังวลเกี่ยวกับตัวเขา โดยเฉพาะตอนนี้ที่สถานการณ์ขุนนางแห่งเจียงฮานค่อนข้างล่อแหลม
นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
เจี้ยงเฉินไม่ได้สนใจสายตาจากรอบข้างที่มองมายังเขา และเขากำลังเริ่มนั่งเก้าอี้ที่ไขมันซวนเช็ดไว้จนมีแสงเงาแวบออกมาจากเก้าอี้ ที่เขาเพียงแค่เช็ดออก
"ไขมันซวนขอบใจที่ช่วยเก็บที่นั่งไว้ให้ข้า"
ผู้ชายคนนี้สวมเสื้อคลุมสีดำและมีจมูกสีแดง ความเย้ยหยันเล็ก ๆ เผยออกมาภายใต้ริมฝีปากของงเขาในขณะที่เขาเข้ามานั่งเก้าอี้
"เจ้าลิงเหยียน เจ้าทำอะไร?" ไขมันซวนแสดงท่าทีขุ่นเคืองออกมาทันที
"ไขมันซวน ข้าอยากถามเจ้าเช่นกัน เจ้าหมายถึงอะไร? หรือข้าไม่สามารถนั่งที่นี่?" คน ๆ นี้คือทายาทขุนนาง เหยียนหมิง , เหยียนอี้หมิง นอกจากนี้เขายังเป็นคนเดียวกับที่ทะเลาะข่มขู่เจี้ยงเฉินที่หอโอสถ. (ตอน 11)
"นี่เป็นที่นั่งที่ข้าเตรียมไว้ให้พี่เฉิน!" ไขมันซวนแทบอยากเข้าไปลาก เหยียนหมิง ลงจากเก้าอี้
"พี่เฉิน? เจ้าหมายถึงเขา?" เหยียนอี้หมิงยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง "ไขมันซวน เจ้าตาบอด? นี่เป็นโต๊ะของขั้นกลาง มีเฉพาะผู้ที่มีพลังอย่างน้อยระดับสี่ของฉีจิงจึงมีสิทธิ์ที่จะนั่งที่นี่"
เขามองไปที่เจี้ยงเฉินและกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยและชี้ไปที่โต๊ะหนึ่งของงานเลี้ยง "เจี้ยงเฉินนั่นคือโต๊ะของเจ้า โต๊ะสำหรับผู้เริ่มต้น"
เสียงหัวเราะดังมาจากคนที่อยู่รอบๆ มันเห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการที่เตรียมไว้ก่อนแล้วเพียงแค่รอให้เจี้ยงเฉินและไขมันซวนมา และทำให้พวกเขาดูเป็นคนโง่
ไขมันซวนโกรธอย่างมาก "เจ้าลิงเหยียน, เจ้าไม่รู้จักเลือกเวลาที่ดีกว่านี้เมื่อเจ้าต้องการโดนสั่งสอนหรืออย่างไร?"
เหยียนอี้หมิงยิ่้มอย่างแผ่วเบา "ไขมันซวนเจ้าอยู่เพียงระดับห้าของฉีจิง เมื่อไหร่กันที่เจ้ามีควาสามารถที่จะสั่งสอนระดับหก?"
เหยียนอี้หมิงปล่อยคลื่นพลังระดับหกออกมาทันทีที่เขาพูดจบ
มันเป็นพลังที่แข็งแกร่ง มันเหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะต่อสู้
ทันใดนั้นมีเสียงเท้าตัดมาจากด้านข้าง "ท่านพี่เจี้ยงเฉิน ท่านอยู่ที่นี่ ข้าจะหาที่นั่งให้ท่าน"
มันเป็นเสียงที่ไร้เดียงสาและกระจ่างใส เจี้ยงเฉินรู้ได้ทันที องค์หญิงจื่อยั่ว
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเจี้ยงเฉิน จู่ ๆ เขาก็เอามือไปแตะบ่าของ เหยียนอี้หมิง "เจ้ามีโครงสร้างร่างกายที่ดีมีใบหน้าที่หล่อเหลา และการแย่งที่นั่งของผู้อื่นคงจะเป็นอุปนิสัยของเจ้า เจ้าคงจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก? เจ้าคงจะเป็นต้นแบบที่น่าชื่นชมทีเดียว? เหยียนอี้หมิงใช่มั้ย? ข้าจะจำเจ้าไว้."
หลังจากนั้น เจี้ยงเฉินมองรอบ ๆ ตัวเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน และได้ไปหาองค์หญิงจื่อยั่วด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"องค์หญิงน้อย เจ้ากำลังทำอะไรในสถานที่สกปรกเช่นนี้เจ้าไม่ควรอยู่ในที่นี้นานเกินไปนัก"
ฝูงชนตกตะลึงดั่งฟ้าผ่าเมื่อเจี้ยงเฉินได้พูด นี่เป็นองค์หญิง! เจี้ยงเฉินได้รับการลงโทษจากราชาในครั้งที่แล้วและรอดตายอย่างหวุดหวิด แต่พฤติกรรมของเขาในตอนนี้กลับกล้าที่จะพูดเช่นนี้กับองค์หญิงที่เป็นที่รักมากที่สุดขององค์ราชา
นี่ฟังเหมือนเขากำลังพูดกับน้องสาวของเขา?
และเขาจะบอกว่าสถานที่จัดเลี้ยงแห่งนี้เป็นสถานที่สกปรกต่อหน้าผู้จัดงาน นี่ไม่ได้ถือเป็นการตบกันซึ่ง ๆ หน้าเลยรึ?
บรรยากาศโดยรอบปั่นป่วนขึ้นมาทันที
ทุกคนเอียงคอครุ่นคิด ที่นี้มีขุนนางหนุ่มคนนึงทีจะพูดออกมาในสิ่งที่เขาอยากจะพูดเลยหรือไร? หรือความประหลาดนี้เป็นธรรมชาติของเขา?