spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
แน่นอนว่าหลิงเทียนย่อมจดจำเป่ยซันที่เป็นบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลผานางแอ่นเหิน ที่ถูกเขาตัดแขนได้อย่างแม่นยำ
แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าข่าวจะแพร่กระจายไปเร็วขนาดนี้
เมื่อฉุกคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงเทียนก็สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีสิ่งใดจะกั้นขวางข่าวลือพวกนี้ได้ คนเพียงคนเดียวต่อให้มีอำนาจสักแค่ไหนก็ไม่สามารถปกปิดข่าวลือได้ตลอดไป
ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำอาหารและสุรามาเสิร์ฟ
กลุ่มต้วนหลิงเทียนก็กินอาหารพร้อมทั้งสนทนากันไปตามประสา
"ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องราวที่ร่ำลือกันมาของ เป่ยซัน ที่เป็นบุตรชายผู้ว่าการมณฑลผานางแอ่นเหิน เขาร่ำลือกันว่าด้วยวัยเพียงไม่ถึง 17 ปีกลับสามารถตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 นับเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบ 100 ปี ของเมืองประจำมณฑล"
แววตาของเมิ่งฉวนทอประกายขึ้นมาหลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องที่เคยได้ยิน
"แต่ตอนนี้เนื่องจากแขนของเขาถูกตัดจนเป็นง่อย หลังจากนี้อัจฉริยะอะไรนั่นคงเป็นได้เพียงอดีตไปแล้วล่ะ" เซี่ยวหยูกล่าว
"เขาก็ยังมีมืออีกข้างไม่ใช่หรือไร?" เมิ่งฉวนกล่าวถามด้วยสีหน้าเหลอหลา
เซี่ยวหยูส่ายหน้าและหัวเราะ
เมิ่งฉวนถึงกับสับสนหนักเข้าไปอีก เขาจึงหันไปหาชายหนุ่มในชุดสีม่วง "ต้วนหลิงเทียน เซี่ยวหยูหมายความว่าอย่างไรหรือ?"
"เมิ่งฉวน"
ต้วนหลิงเทียนมองเมิ่งฉวนก่อนที่จะยิ้มออกมา "มือข้างไหนที่เจ้าใช้มันเพื่อฝึกฝนวิชายุทธ์ ?"
"แน่นอนว่าย่อมเป็นมือขวาของข้า!" เมิ่งฉวนกล่าวออกมาอย่างโผงผาง
"แล้วยามที่เจ้ากินข้าวหรืออาหารใดๆก็ตาม เจ้าใช้มือใดในการจับตะเกียบ?" หลิงเทียนยังคงถามต่อไป
"ก็ยังเป็นมือขวาของข้าอีกเช่นกัน ข้าใช้มันจนชินตั้งแต่เด็กเสียแล้ว"
เมิ่งฉวนตอบออกมาโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
"ถูกแล้ว เช่นนั้นถ้าเกิดมือขวาของเจ้าพิการเช่นเป่ยซันอะไรนั่น จนไม่สามารถใช้มันได้คล่องแคลวดังเดิม ... เจ้าคิดว่าตัวเจ้าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรกว่าจะทำให้มือซ้ายของเจ้ามีความชำนาญเทียบเท่ามือขวาเล่า?"
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
"นี่…."
ดูเหมือนตอนนี้เมิ่งฉวนจะเข้าใจแล้ว
ชีวิตของคนนั้นมีเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น
หากแขนที่ถนัดของเป่ยซันถูกทำลายลงไป วิชายุทธ์ที่เขาฝึกมาก็จบสิ้นตามไปด้วย หากเขาต้องการฝึกวิชายุทธ์ขึ้นมาใหม่หรือฝึกฝนมันด้วยมือซ้าย... เขาก็ต้องเสียเวลาในการฝึกฝนอีกนานมากโข
และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆแม้กระทั่งผู้ที่เคยมีระดับบ่มเพาะต่ำกว่าเขาก็จะค่อยๆแซงหน้าเขาไป สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นอีกต่อไป
"จุ๊ ๆ ๆ"
เมิ่งฉวนอดไม่ได้ที่จะจิ๊ปากออกมา "ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าผู้ใดโหดเหี้ยม ลงมืออย่างอำมหิตถึงขั้นสะบั้นแขนของเป่ยซันด้วยกระบี่เดียวเช่นนั้นกัน ... นั่นคือบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลผานางแอ่นเหินเลยเชียวนา หากพวกเขารู้ตัวคนร้ายเกรงว่า คนๆนั้นคงจะต้องตายอย่างไร้ที่ฝังเป็นแน่"
เซี่ยวหยูก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า "เรื่องราวมันก็ล่วงเลยมานานมากแล้ว แต่ข้าไม่เคยได้ยินข่าวว่าผู้ว่าการมณฑลจะสามารถหาตัวคนร้ายได้พบ นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขายังหาคนร้ายไม่เจอนั่นเอง"
"คงเป็นเช่นนั้น"
เมิ่งฉวนพยักหน้า
ดวงตาของหลิงเทียนเพียงหรี่ลงเล็กน้อยในขณะที่สนทนาถึงเรื่องนี้ เขายังคงกินอาหารและกล่าวสนทนากับเมิ่งฉวนและเซี่ยวหยูโดยที่ท่าทางไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ราวกับเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
"ต้วนหลิงเทียนเจ้าเองก็ โหดร้ายไม่ใช่น้อย ... ชายหนุ่มทั้ง 4 จากตระกูลหยูถูกเจ้าเล่นงานจนสะบักสะบอมด้วยการแกว่งแขนเพียงครั้งเดียว ครานี้นับว่าตระกูลใหญ่ได้ถูกเจ้าตบหน้าอย่างจังแล้ว "
เซี่ยวหยูมองไปยังหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ ทั้งยังส่ายหัวไปมา
"แม้ว่าพวกมันจะเสียหน้าหรือถูกตบหน้าก็ตาม แต่ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมันรนหาที่เอง ในร้านอาหารมีโต๊ะตั้งเยอะแยะมากมายผู้ใดใช้ให้มันมาหาเรื่องผิดโต๊ะกันเล่า"
ต้วนหลิงเทียนกลอกตาไปมาอย่างไม่สนใจอะไร
"ตระกูลหยูคงไม่สร้างปัญหาให้พวกเราใช่ไหม?"
เมิ่งฉวนกังวลเล็กน้อย
"เมิ่งฉวนเจ้าเองก็คิดมากเกินไป ถึงแม้ตระกูลหยูจะสร้างปัญหาให้พวกเราแต่นั่นก็ต้องเป็น 1 ปีหลังจากนี้ ... สมาชิกตระกูลหยูนั้นดูไปก็มีความสามารถไม่น้อยมันอาจจะเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะได้ แต่นั่นก็ต้องดูด้วยว่ามันยังจักมีชีวิตรอดไปจนถึงวันนั้นหรือไม่ "
เมื่อเซี่ยวหยูกล่าวจบแววตาของเขาก็มีจิตสังหารเล็ดรอดออกมาเล็กน้อย
คิ้วของหลิงเทียนพลันขมวดลง
เขาสัมผัสได้ว่าเมื่อครู่เซี่ยวหยูเผยจิตสังหารออกมาเล็กน้อย ...
นี่เป็นสิ่งที่เยาวชนอื่นๆที่เขาเคยพบมาขาดมันไป ...
นี่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยวหยูเคยสังหารผู้คนมาก่อนแล้ว ... และมันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วกลุ่มของ ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากร้านอาหาร แต่พวกเขายังคงเป็นที่จดจำของอัจฉริยะคนอื่นๆที่อยู่ภายในร้าน
โดยเฉพาะต้วนหลิงเทียน การเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 ในขณะที่ยังมีอายุเพียง 16-17 ปีนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ถึงแม้พวกเขาอยากจะลืมก็คงเป็นไปไม่ได้
กลุ่มของต้วนหลิงเทียนเดินเล่นไปรอบๆเมืองโลหิตเหล็กอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินทางกลับที่พัก
พรุ่งนี้พวกเขายังต้องเดินทางไปยังค่ายทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กเพื่อลงทะเบียนด้วยตัวเอง
คืนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทำการฝึกฝนบ่มเพาะอะไร เขาเพียงนอนอยู่บนเตียงและคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในปีก่อนหน้านี้ ...
เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
"ตอนนี้ข้าเองคงกล่าวได้ว่า กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ไปแล้วอย่างแท้จริง"
รอยยิ้มที่อบอุ่นปรากฏขึ้นบนมุมปากของหลิงเทียน
เขาคิดถึงแม่ของเขา เค่อเอ๋อ และก็ ลี่เฟย ...
ตอนนี้คนพวกนี้เป็นกลุ่มคนที่หลิงเทียนห่วงใยมากที่สุดในโลกแห่งนี้
หากเพื่อครอบครัวแล้ว หลิงเทียนไม่ลังเลที่จะเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก!
ในค่ำคืนนั้นหลิงเทียนนก็หลับใหลลงอย่างมีความสุข
เขาฝันอย่างมีความสุขเป็นเวลานาน
ในความฝันเขาได้ใช้เวลาร่วมกันกับเค่อเอ๋อและลี่เฟยจนมีเด็กตัวเล็กๆมากมาย ...
และในตอนที่เด็กทารกคนที่ 9 คลอดออกมานั้น
"ต้วนหลิงเทียน!"
เสียงทีดังลั่นปลุกหลิงเทียนที่กำลังหลับใหล ฝันที่งดงามพลันดับลงในพริบตา
"บัดซบ! เมิ่งฉวน เจ้าทำลายความฝันที่กำลังหวานชื่นของข้าแล้ว"
ต้วนหลิงเทียนทำความสะอาดร่างกายคร่าวๆและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะเดินออกมา พร้อมสบถกับเมิ่งฉวนไม่กี่คำ
เมิ่งฉวนที่อายเล็กน้อยก็ได้แต่หัวเราะและเกาศีรษะ
"ไปกันเถอะพวกเราต้องลงทะเบียนด้วยตัวเอง"
ตอนนี้เซี่ยวหยูเองก็เดินออกมาจากบ้านพักด้วยเช่นกัน
บริเวณทิศตะวันออกของเมืองโลหิตเหล็กมีพื้นโล่งขนาดใหญ่ แน่นอนว่าย่อมเป็นค่ายที่พักของกองกำลังโลหิตเหล็กอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ปัจจุบันทางเค้าค่ายของกองกำลังโลหิตเหล็กนั้น มีผู้คนเรียงเป็นสายราวกับหางมังกร
เยาวชนมากมายเข้าแถวเรียงหนึ่งอย่างเรียบร้อย
"ดูเหมือนพวกเราจะมาสายเกินไป"
เมิ่งฉวนถึงกับตกตะลึงเมื่อพบเจอความหนาแน่นของผู้คน
"มันไม่สำคัญว่าพวกเราจะมาสายหรือไม่สาย ขอเพียงมีคนไม่สายก็พอ"
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหม่อมองไปไกลๆอยู่นั้น อยู่ดีๆเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
"หืม?"
เซี่ยวหยูและเมิ่งฉวนล้วนสับสนกับคำกล่าวของหลิงเทียน
"ไปกันเถอะ ดูเหมือนจะมีคนที่สามารถช่วยประหยัดเวลาให้แก่พวกเราได้บ้าง"
ต้วนหลิงเทียนเดินนำ ส่วนเซี่ยวหยูและเมิ่งฉวนได้แต่เดินตามเขาขึ้นไปด้านหน้าเรื่อยๆ พวกเขาทั้ง 3 เดินขึ้นไปด้านหน้าโดยที่ไม่ต่อแถว คนที่เห็นเหตุการณ์ล้วนรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น
"เฮ้! หัดมีมารยาทซะบ้างลงไปเข้าแถวเซ่"
"เจ้าไม่ละอายหรอที่คิดจะไปแซงแถว!"
"เด็กน้อยเรากำลังกล่าวกับเจ้า"
...
ทันทีที่เหล่าเยาวชนที่ยืนตากแดดเข้าแถวอยู่นั้นเห็นพวกหลิงเทียน พวกมันล้วนกล่าวออกมาด้วยโทสะ ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้หลิงเทียนใช้กำลังแย่งที่พวกมัน
ตอนนี้เซี่ยวหยูและเมิ่งฉวนเองก็เริ่มอายเล็กน้อย
"ต้วนหลิงเทียนพวกเราไปกันเถิด" เมิ่งฉวนกลาวด้วยเสียงเบาๆ
ต้วนหลิงเทียนไม่สนใจเมิ่งฉวนแต่เขาหันกลับไปหาคนที่ส่งเสียงดังเมื่อสักครู่จากในแถว เขาทำท่าขุ่นเคืองก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า "เจ้าคิดอะไรของเจ้ากัน เจ้าคิดว่าพวกเรากำลังจะแซงแถวงั้นเหรอ พวกเรามาที่นี่ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว และพวกเราก็ให้สหายจองที่เอาไว้ ในระหว่างที่พวกเราไปทำธุระอย่างอื่น "
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ของหลิงเทียนเหล่าผู้ที่โห่ร้องถึงกับเงียบเสียง และหันไปเฝ้ามองว่าหลิงเทียนนั้นมีสหายมีจองแถวไว้ก่อนจริงหรือไม่
เมิ่งฉวนและเซี่ยวหยูล้วนตกตะลึงกันทั้งคู่
สหาย?
ทำไมพวกเขาไม่เห็นล่วงรู้เลยสักนิดว่าหลิงเทียนมีสหายอะไรเช่นนั้นด้วยเล่า?
"เฮ่ พี่น้องขอโทษทีที่ข้ามาช้า แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ตอนนี้อาหารกลางวันของพวกเจ้าข้าไปจัดการให้ตามสัญญาแล้ว"
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและพวกเดินมาถึงบริเวณหัวแถวนั้น อยู่ดีๆหลิงเทียนก็เดินไปตบไหล่ชายคนหนึ่งและกล่าววาจาออกมาราวกับเป็นสหายสนิทอย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้บัดซบตัวใดกล้ามาแตะต้องตัวข้า ...” เด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังจะด่า แต่เมื่อเขาหันกลับมาและพบว่าคนที่กำลังจับไหล่เขาคือต้วนหลิงเทียน เขาก็กล่าววาจาไม่ออก "เจ้า...เป็นเจ้า..."
"พี่น้องต้องขอบคุณสำหรับการจองที่ให้พวกเรา"
ดวงตาของหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อยก่อนที่จะเผยรอยยิ้มและกล่าวแทรกออกมาขัดคำของชายสวมชุดคลุมสีเทา พร้อมหันไปจ้องตากับชาย 3 คนที่เหลือ
แม้ว่าดวงตาของหลิงเทียนจะฉายแววเป็นมิตรอยู่บ้าง แต่การหรี่ตาและกระพริบตานั้นเหมือนกำลังข่มขู่อย่างไรอย่างนั้น ทั้ง 3 คนได้แต่ถอยไปนิ่งเงียบตามสัญชาติญาณ
และแน่นอนชายหนุ่มทั้ง 4 หาใช่ใครอื่น แต่เป็นพวกที่กล้ามาหาเรื่องหลิงเทียนที่ร้านอาหาร จนโดนหลิงเทียนสั่งสอนบทเรียนไปเมื่อคืนที่แล้วนั่นเอง ...
ตอนนี้เมิ่งฉวนและเซี่ยวหยูที่เข้าใจสถานการณ์ ก็ได้แต่แอบลอบชูนิ้วโป้งให้หลิงเทียนอย่างนับถือ
ตอนนี้กลุ่มของหลิงเทียนก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการแซงแถวอย่างงดงาม
เมื่อได้เห็นท่าทางและปฏิกิริยาของชายชุดเทาและคนอื่นๆ ผู้คนทั้งหมดก็คิดว่าทั้งหมดเป็นสหายกันจริงๆ...
แน่นอนว่าย่อมมีเยาวชนที่ไปกินอาหารที่ร้านอาหารเดียวกันกับหลิงเทียนและให้การยอมรับนับถือหลิงเทียน อีกทั้งยังพอจดจำชายชุดคลุมสีเทาและที่เหลือได้ว่าเป็นพวกที่มาหาเรื่องหลิงเทียน
แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
พวกเขาย่อมมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตอยู่บนโลกแห่งนี้ การไปหาเรื่องผู้ที่แข็งแกร่งรังแต่จะนำปัญหามาสู่ตัวเองเท่านั้น
ใบหน้าของชายชุดคลุมสีเทาก็เริ่มแดงและสั่นระริกขึ้นมาราวกับอดกลั้นอะไรอยู่ไม่น้อย
‘บัดซบเอ๊ย ข้าไปล่วงเกินสวรรค์มาหรือไรกัน เหตุใดช่วง 2 วันนี้ข้าจึงซวยซ้ำซวยซ้อนเช่นนี้?’
‘เหตุใดทุกที่ๆข้าไปต้องพบกับไอตัวประหลาดนี่ด้วย เมื่อวานที่ร้านอาหารก็โดนมันเล่นงานเสียแทบแย่ วันนี้อุตส่าห์ตื่นมาเข้าแถวแต่เช้าตรู่ แต่ข้าก็ยังพบเจอกับมันและได้แต่ยินยอมปล่อยให้มันแซงแถวเช่นนี้’ ทว่าเขาก็ทำได้แค่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกมา
...หากพูดออกมาก็จินตนาการได้เลยว่าจุดจบเขา คงไม่จบแค่ถูกสั่งสอนเบาๆอย่างเช่นเมื่อวานเป็นแน่ ...
"หยูเซี่ยว ชายคนนี้รังแกพวกเราเกินไปแล้ว"
ชายหนุ่มทั้ง 3 ที่ยืนอยู่ด้านหลังหยูเซี่ยวที่สวมชุดคลุมสีเทา พวกมันไม่พอใจอย่างมาก แต่ทว่าพวกมันก็ทำได้เพียงกล่าวกับหยูเซี่ยวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ พวกมันเองก็ไม่กล้ากล่าววาจาออกมาเสียงดัง
"แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า เจ้าทั้ง 3 ลองบอกมาสิ หรือพวกเจ้าทั้ง 3 จะไล่มันไปด้วยตัวเอง?"
หยูเซี่ยวหันไปมองสหายทั้ง 3 คนของเขา
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ชายหนุ่มทั้ง 3 ล้วนหันไปมองทางอื่นทำเป็นไม่สนใจคำกล่าวเมื่อครู่ทันที พวกมันเงียบไปสักพักและก็ไม่สนใจหยูเซี่ยวอีกต่อไป
ไม่นานหลังจากนั้นก็ถึงคิวของกลุ่มต้วนหลิงเทียนมารายงานตัว
หลังจากกรอกประวัติคร่าวๆที่ใช้ในการลงทะเบียนแล้วทั้ง 3 ก็ได้รับบัตรประจำตัวที่ระบุหมายเลขมา
หมายเลข ของต้วนหลิงเทียนคือ 137
หมายเลข ของเซี่ยวหยูคือ 138
ส่วนของเมิ่งฉวนคือ 138
"ก่อนเที่ยงของวันพรุ่งนี้ให้พวกเจ้านำบัตรประจำตัวใบนี้ไปรายงานตัวที่บริเวณค่ายทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กเพื่อขอเข้าร่วมการทดสอบ ... หากพวกเจ้าผ่านการทดสอบพวกเจ้าก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะแล้ว "
กลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 คนพยักหน้าก่อนที่จะหันหลังกลับ และวางแผนว่าวันนี้จะไปทำอะไรต่อบ้าง
"ขอบคุณโชคชะตาที่นำพาให้พบกับพี่น้องที่ดี พี่น้องอุตส่าห์มาต่อแถวให้พวกเราแต่เช้าคงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะไปตระเตรียมอาหารเที่ยงเอาไว้ให้เอง"
ก่อนที่จะเดินจากไปต้วนหลิงเทียนไมลืมหันไปกล่าวกับชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีเทาอย่างเป็นกันเอง และหลิงเทียนก็ยิ้มยิงฟันขาวก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วกล่าวออกมาว่า "ชื่อของเจ้าก็นับว่าไม่เลวนะ... หยูเซี่ยว นี่นับว่ากอปรไปด้วยอักษรที่ไม่ธรรมดา จากวิชาการทำนายทายทักที่ข้าร่ำเรียนมาครั้งอดีต เจ้าวางใจได้เลย ชื่อนี้ของเจ้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต...ถ้าไม่ไประรานใครจนตกตายเสียก่อน นะ"
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนล้วนได้ยินบทสนทนาที่ทั้ง 4 คนกระซิบกระซาบกัน
มุมปากของเซี่ยวหยูและเมิ่งฉวนกำลังสั่นระริก พวกมันพยายามกลั้นหัวเราะกันอย่างเต็มที่ ...
ใบหน้าของหยูเซี่ยวพลันซีดเผือด
ไอบัดซบตัวประหลาดนี่มันคงไม่คิดสังหารข้าจริงๆหรอกนะ!?
ต้วนหลิงเทียนยิ้มหวาน ก่อนที่จะตบลงไปยังหน้าอกของหยูเซี่ยวเบาๆ "เอาล่ะๆ พี่น้องพวกท่านรีบขึ้นไปรับบัตรประจำตัวเถิด ดูเหมือนพี่ชายทหารนั้นจะเริ่มหงุดหงิดไม่พอใจเสียแล้ว"
ต้วนหลิงเทียนรีบเดินห่างออกจากแถวในทันทีหลังจากที่กล่าวจบ
หลังจากนั้น...
"พวกเจ้าทั้ง 4 มาด้วยกันงั้นหรือ?"
ใบหน้าของพี่ทหารที่รับเรื่องการลงทะเบียนจับจ้องไปยังชายหนุ่มทั้ง 4 คนด้วยแววตาไม่ถึงพอใจอย่างถึงขีดสุด
"ถูกต้องขอรับท่าน"
หยูเซี่ยวรีบพยักหน้าพร้อมกล่าวรับ
แม้ว่าเขาจะเป็นสาวกของตระกูลหยูที่มาจากตระกูลใหญ่แห่งเมืองประจำมณฑล แต่ทว่าข้างหน้าของพวกเขาคือกองกำลังโลหิตเหล็กที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมและแข็งแกร่ง ซ้ำยังดุร้ายไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น แล้วพวกเขาจะกล้าล่วงเกินไม่นอบน้อมได้อย่างไร
ตอนนี้ทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กคนนี้กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด อีกทั้งยังดุดันราวกับรูปปั้นที่ศาลเจ้า ที่ทำหน้าเป็นผู้อารักขาคุ้มครององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า " เป็นเวลาตั้งนานแล้วที่ 3 คนที่อยู่หน้าพวกเจ้าเข้ามาทำบัตรประจำตัว แต่ตอนนี้พวกเจ้า 4 คนพึ่งจะก้าวเข้ามาทำเรื่องลงทะเบียน พวกเจ้าทั้ง 4 จงใจล่าช้าหาเรื่องให้ข้าหงุดหงิดหรือไร? "
"ไม่ ไม่…."
หยูเซี่ยวรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
"บัดซบ นอกจากข้าแล้ว คนทั้งแถวต้องรอพวกเจ้าทั้ง 4 คน แต่พวกเจ้ากลับกล้าชักช้าและมัวทำอะไรพิรี้พิไรเช่นนี้! พวกเจ้าไสหัวกลับไปต่อแถวมาใหม่ซะ!"
ทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กเผยท่าทีแข็งกร้าวราวกับมนุษย์เหล็กยากที่พวกหยูเซี่ยวจะต่อต้านได้ออกมา