spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
เหอจุ่นแค่นเสียงออกมา ก่อนที่จะจ้องไปยังหลิงเทียนด้วยสายตาเย้ยหยัน "หรือเมืองออโรร่าแห่งนี้จะหามีผู้ใดมีฝีมือแล้วจริงๆ? อาศัยเพียงเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอายุ 16 ขวบปี กลับได้รับตำแหน่งชนะเลิศในงานชุมนุมมังกรซ่อนเช่นนี้? "
"เฮอะ! ตัวโง่งม เขาอายุเพียง 16 แล้วจะอย่างไรเล่า? เจ้าค่อยกล่าววาจาโอหังอีกครั้งหลังเอาชนะต้วนหลิงเทียนให้ได้ก่อนจะดีกว่า "
"ถูกแล้ว อันที่จริงหากเจ้ามิสามารถรับได้แม้แต่ 1 กระบวนท่าของหลิงเทียนนี่ เจ้าจะอับอายขายขี้หน้ามากเลยนะข้าขอกล่าวเอาไว้ก่อน"
เมื่อได้ยินคำกล่าวแดกดันเหอจุ่นกลับไปบ้าง ผู้คนล้วนหัวเราะกันออกมาอย่างขบขัน
ใบหน้าของเหอจุ่นบนเวทีประลอง เริ่มหมองคล้ำลงทันที
"หึ! ดูเหมือนว่าพวกสวะนี่จะมั่นใจในตัวเจ้าไม่น้อยเลยนะไอ้หนู"
เขาจ้องไปหลิงเทียนก่อนจะกล่าวออกมา
ทว่าต้วนหลิงเทียนหาได้ตอบคำมันไม่...อันที่จริงดูเหมือนเขาจะไม่ไดสนใจฟังมันเลยด้วยซ้ำ
"ไอ้หนู ข้าพูดกับเจ้าไม่ได้ยินหรือไร!"
เขารู้สึกหงุดหงิดและเคืองอย่างมาก เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่มีคนกล้าเมินเขาถึงขนาดนี้
"ทุกคนดูสิ แม้พวกเขาจะยังไม่ได้เริ่มสู้กัน แต่ผลการประลองในด้านจิตใจขณะที่เผชิญหน้ากัน ดูเหมือนหลิงเทียนจะเข้มแข็งกว่ามาก สมแล้วที่เขาเป็นผู้ชนะเลิศอันดับ 1 ในงานชุมนุมมังกรซ่อน เขาหาได้หวั่นไหวไปกับวาจาผายลมของศัตรูแม้แต่นิด"
"ใช่แล้ว แต่ดูเจ้าเหอจุ่นอะไรนั่น เพียงแค่รับฟังวาจาไม่เข้าหูเสียหน่อย ถูกไม่แยแสเพียงครั้งมันก็สติหลุดเสียแล้ว ในแง่ของการควบคุมตัวเองและจิตสมาธิมันหาได้อยู่ในระดับเดียวกันกับต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย”
"ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน? เจ้าก็กล่าวยกย่องมันเกินไป ข้าคิดว่ามันห่างไปจากต้วนหลิงเทียนับพันลี้เลยสิไม่ว่า "
......
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะขบขันที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จากฝูงชน โทสะอารมณ์ของเหอจุ่นก็พุ่งสูงขึ้นจนไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป
"ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะมีปัญญารับมือข้าได้กี่กระบวนท่า!"
ยามนี้โทสะของเขาพุ่งทะลุขีดสุดไปแล้ว เขาพุ่งไปจู่โจมหลิงเทียนรวดเร็วราวกับนกอินทรีย์ลู่ปีกพุ่งโฉบศัตรู
ภาพเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 3 ตัวลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะเขา
นี่หมายความว่าเหอจุ่นผู้นี้ ก็เป็นผู้ที่มีระดับบ่มเพาะในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 2 อีกคนหนึ่งเช่นกัน
ฟู่มมม!
มองเหอจุ่นที่กำลังพุ่งเข้ามาหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ‘ก็ไม่แปลกที่เหอจุ่นจะเอาชนะลี่ซ่งได้และหลินฉวนได้ เพราะมันก็พอมีดีอยู่บ้างนี่เอง’
วิชาท่าร่างของเหอจุ่นนี่นับว่า เป็นวิชาท่าร่างระดับเดียวกับวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกายของเขา มันเป็นวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงเช่นกัน
"ข้าจะซัดเจ้าให้กระเด็นใน 1 หมัด!" เขาตะโกนออกมาดังก้อง กำปั้นของเขาพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนมันแหวกอากาศดังหวีดหวิวเป้าหมายคือกลางอกของหลิงเทียน
ตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้หลิงเทียนนั้นยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับขุนเขาไท่ซาน แม้กระทั่งในยามที่กำปั้นของเหอจุ่นพุ่งมาใกล้ถึงตัวแล้วหลิงเทียนยังยืนเฉยเมยไม่ยี่หระอันใดทั้งสิ้น ราวกับเขาไม่ได้สนใจอะไรแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเองภายใต้การจับจ้องอย่างตั้งใจของทุกคนต้วนหลิงเทียนพลันเริ่มขเคลื่อนไหวในช่วงเวลาก่อนที่กำปั้นของเหอจุ่นจะบรรลุผล
ฝ่ามือ...!
ฝ่ามือของหลิงเทียนขยับวูบไหวพร่างพรายไปพร้อมกับประกายแสงจากพลังงานต้นกำเนิดที่ถูกเร่งเร้าออกมา
สายตาของทุกคนรวมทั้งเหอจุ่นนั้นได้แต่ถูกสะกดไว้ด้วยฝ่ามือนี้ของหลิงเทียน มันเป็นฝ่ามือที่น่าพิศวงอย่างมาก ตั้งแต่เริ่มขยับมือทุกคนเห็นกันว่าฝ่ามือของหลิงเทียนนั้นเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ไม่ได้มากมายอะไร แต่ทว่ามันกลับเลื่อนขึ้นมาปิดป้องเผชิญหน้ากับกำปั้นของเหอจุ่นได้ทันท่วงที
"ลงนรกไปซะ!"
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังกำปั้นของเหอจุ่นและหลิงเทียน พริบตาที่กำปั้นและฝ่ามือของทั้งคู่ปะทะกันพลันบังเกิดเรื่องราวประหลาดขึ้น
ไม่นานใบหน้าของเหอจุ่นก็เริ่มบิดเบี้ยว
เขาเห็นอยู่ชัดๆว่ากำปั้นของเขาซัดลงไปยังฝ่ามือของหลิงเทียน แต่ทว่าสัมผัสที่กำปั้นของเขาได้รับ มันไม่ต่างอะไรกับการชกไปยังอากาศที่ว่างเปล่า เขาไม่ได้ปะทะกับฝ่ามือต้วนหลิงเทียนจริงๆอย่างที่ตาเห็น
ทันใดนั้นหลิงเทียนก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
เหนือศีรษะของเขาบังเกิดเงาร่างช้างแมมอธโบราณ 3 ตัว ...
พิชิตมังกร!!
ทันใดนั้นเองฝ่ามือของหลิงเทียนพลันเคลื่อนไหวลี้ลับหักเลี้ยวแหวกกระแสอากาศก่อนที่จะแปรสภาพเป็นดัชนีพุ่งโจมตีออกไป ดัชนีนี้ของหลิงเทียนฉีกฝ่าเกราะป้องกันจากพลังงานต้นกำเนิดของเหอจุ่นได้อย่างง่ายดาย ราวกับมันเป็นเพียงกระดาษเปียกน้ำ
แล้วในที่สุดนิ้วชี้ของเขาก็บรรลุไปยังข้อกระดูกนิ้วกลางของเหอจุ่นและถ่ายเทพลังทำลายออกไปเต็มๆ
ปัง!!! อ๊าคคคคคค!
เหอจุ่นทำได้เพียงกรีดร้องออกมาเพราะความเจ็บปวดก่อนที่ร่างกายของมันจะปลิวกระเด็นออกมาราวกับว่าวสายป่านขาด
มือซ้ายของเขากุมไปที่ข้อมือขวาพร้อมทั้งสั่นระริกไปทั่วร่างกาย หากสังเกตดีๆจะเห็นว่ายามนี้นิ้วกลางขวาของเขาห้อยลงอย่างผิดรูป อีกทั้งมันสั่นไหวไปตามกระแสลม..คาดว่ากระดูกคงแหลกสลายไปแล้ว ใบหน้าของเหอจุ่นเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
หลังจากที่เขานำโอสถทองประสานกายระดับ 8 ขึ้นมากินจนความเจ็บปวดเริ่มบรรเทา เขาก็แหงนหน้าขึ้นมามอง ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวาดกลัว
เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีตรงหน้ายามนี้ ไม่ต่างอันใดกับปีศาจร้าย
น่าสะพรึงกลัวนัก!
"โอ้ ต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งยิ่งนัก"
"ใช่ เขาช่างแข็งแกร่งจริงๆ ไม่รู้พวกเจ้ายังจำกันได้หรือไม่แต่ว่าวันนั้น ยามที่ต้วนหลิงเทียนเอาชัยจากเซี่ยวหยูเขาถึงกับต้องเค้นความแข็งแกร่งออกมาถึงระดับ 4 ช้างแมมมอธโบราณ ... แต่วันนี้เขากลับใช้ความแข็งแกร่งเพียง 3 ช้างแมมมอธโบราณในการเอาชนะเหอจุ่นนั่น"
"นับว่าต้วนหลิงเทียนกู้ชื่อเสียงให้พวกเราแล้ว
"เหอจุ่นอะไรนั่น ข้าว่ามันยังอ่อนแอกว่าเซี่ยวหยูซะอีก"
"ที่แท้ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์อันดับ 1 ของเมืองหมอกธาราก็หาได้แข็งแกร่งมากมายอะไร หากมาอยู่เมืองเรามันก็ได้แค่ที่ 3 เท่านั้น"
......
ฝูงชนกำลังสนทนากันอย่างวุ่นวาย
“ทีหลังเจ้าอย่าได้เหิมเกริมเช่นนี้ หัดสำเหนียกตัวเองเสียบ้าง ไร้ความสามารถแล้วยังกล้าจัดเวทีท้าทายผู้คนเช่นนี้มีกี่ชีวิตก็ไม่พอหรอก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบก็ไม่สนใจเหอจุ่นที่นั่งซึมอีกต่อไป ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาเคารพและเลื่อมใสของทุกคนอยู่ดีๆ หลิงเทียนก็เคลื่อนร่างไปยังไปยังพื้นด้านล่างของเวทีประลองก่อนที่จะเดินไปยังเสาด้านหนึ่งและตบไปยังเสาเวทีดังสนั่น
ปัง!!!
ทันใดนั้นเองเสาค้ำเวทีก็สลายกลายเป็นฝุ่น เวทีเริ่มเสียสมดุลล้มครืนพังลงในทันที ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปทั่ว
เหอจุ่นนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว มันได้แต่รีบร้อนกระโดดออกไป แต่ทว่ากลับเสียหลักล้มลงไปกอง มันพยายามอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะแหวกเศษซากปรักหักพังออกมาได้อย่างทุลักทุเล สารรูปมันตอนนี้เปรอะเปื้อนมอมแมมราวกับสุนัขตกถังแป้งมาอย่างไรอย่างนั้น
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ…"
ทันใดนั้นผู้ชมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพของมัน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้นเหอจุ่นได้แต่กัดฟันดังกรอดๆ ก่อนที่จะรีบหลบหนีไปพร้อมกับความอัปยศ
"ฮ่า ๆๆๆ ... ต้วนหลิงเทียนเจ้าทำได้ยอดเยี่ยมนัก!"
หลินฉีเดินมาข้างๆต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะชูนิ้วโป้งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม เขารู้สึกตื่นเต้นราวกับเขาเป็นคนเอาชนะเหอจุ่นเองอย่างไรอย่างนั้น
"ต้วนหลิงเทียน!"
พร้อมกันนั้นเองเสียงเรียกก็ดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่ม 2 คนเดินมาหาหลิงเทียน
เป็นลี่ซ่ง กับ ลี่เซี่ยว
"หืม พวกเจ้ามีอะไรงั้นหรือ?"
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังลี่ซ่งด้วยความสงสัยก่อนที่จะกล่าวถามออกมา
“รีบเดินออกมากล่าววาจาเร็วเข้าสิ"
ลี่ซ่งจ้องลี่เซี่ยวที่ยืนตัวลีบอยู่ด้านหลังก่อนที่จะกล่าวตำหนิน้องชายออกมา
ร่างกายของลี่เซี่ยวสั่นราวกับลูกนก มันก้มหน้าเม้มปากก่อนที่จะค่อยๆเดินมาหาหลิงเทียนพร้อมกล่าวคำออกมา "ต้วนหลิงเทียน ข้าต้องขอโทษด้วย ที่ในอดีตข้าทำไม่ดีกับเจ้าไว้ ข้าหวังว่าเจ้าจะยกโทษให้ข้า"
“กล่าวให้มันดังหน่อย เจ้าไม่ได้กินข้าวเช้ามาหรือไร?
ลี่ซ่งตวาดน้องชายของเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่ายามนี้ลี่เซี่ยวรู้สึกอย่างไร
"ช่างมันเถอะ ไหนๆเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้วกันไปเถอะ"
หลิงเทียนโบกมือออกมาพร้อมรอยยิ้มอย่างไม่ติดใจอะไร
อันที่จริงคนอย่างลี่ซ่งก็ไม่ได้ถือเลวร้ายอะไรนัก อีกทั้งจะว่าไปเรื่องราวไม่ถูกกันทั้งหมดล้วนมากจากความขัดแย้งระหว่างลี่เซี่ยวกับหลิงเทียนทั้งสิ้น
เพียะ!
ลี่ซ่งตบไปที่ศีรษะของลี่เซี่ยวดังสนั่น "เจ้าฝันกลางวันอยู่หรือไร? รีบกล่าวขอบคุณหลิงเทียนเขาออกไปเสียสิ"
"ขะ..ขอบคุณเจ้ามาก"
ลี่เซี่ยวยิ้มเจื่อนออกมาก่อนที่จะกล่าวกับหลิงเทียนอย่างตะกุกตะกัก
ต้วนหลิงเทียนรับคำกล่าวของลี่เซี่ยวไว้ด้วยสายตา ก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมกับหลินฉี
ฝูงชนที่ยืนออกกันอยู่ล้วนเปิดทางให้กับหลิงเทียนโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งจ้องมองมายังเขาด้วยแววตาเคารพนับถือ
หลังจากที่เฝ้ามองแผ่นหลังของหลิงเทียนที่เดินหายไปพร้อมกับหลินฉี อยู่สักพักใหญ่ๆ สติของทุกคนก็เริ่มคืนกลับมา หลังจากที่ทุกคนตกอยู่ในภวังค์
"น่าหวาดกลัวยิ่งนัก เขาทำลายกระบวนท่าของเยาวชนอันดับ 1 ที่มาจากตระกูลเหอของเมืองหมอกธารา ก่อนที่จะเอาชนะด้วยกระบวนท่าเดียวอย่างที่พวกเราได้กล่าวหยอกล้อเอาไว้จริงๆ "
"อัจฉริยะอันดับ 1 ที่สามารถเอาชนะเซี่ยวหยูได้ ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังจริงๆ"
"ต้วนหลิงเทียนยังมีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ข้าแน่ใจอย่างยิ่งว่าหลังจากนี้อีก 2 ปีรายชื่อผู้ชนะเลิศของงานชุมนุมมังกรซ่อนก็ต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ให้เดิมพันกับผู้ใดเท่าไหร่ก็ย่อมได้"
"เหลวไหล เรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วจะกล่าวเรื่องเดิมพันออกมาทำอันใด"
......
ในร้านอาหารหลิงเทียนกับหลินฉีนั่งกินของว่างอยู่ด้านตรงข้ามกัน
ตอนแรกหลิงเทียนก็คิดที่จะกลับบ้านทันที แต่เขาโดนหลินฉีรบเร้าให้มาหาอะไรกินเสียหน่อยเพราะหลินฉีมีเรื่องอยากคุยกับเขา
"เฮ่ๆ ตกลงเจ้ามีอะไรจะบอกข้ากัน ตั้งแต่มาถึงที่ร้าน เจ้าก็ทำท่าขึงขังซะขนาดนั้น ... ตกลงเจ้าจะบอกข้ารึเปล่าเนี่ย? "
ต้วนหลิงเทียนจ้องไปยังหลินฉีด้วยความสงสัย
"ต้วนหลิงเทียน เจ้าวางแผนในอนาคตไว้ว่าอย่างไรบ้าง?"
หลินฉีเริ่มกล่าวออกมาทันที
"แผนในอนาคตหรือ?"
ต้วนหลิงเทียนสงสัยเล็กน้อย
"ก็ที่ข้าถามเนี่ย มันหมายความว่า ในอนาคตเจ้าคิดที่จะทำอย่างไร และคิดจะเป็นอะไรบ้าง"
หลินฉียิ้มเจื่อนๆออกมา
"ตอนนี้เหรอ ข้าก็ไม่รู้สิ"
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมหัวเราะออกมา แต่ในใจของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย
หลังจากที่ได้ยินหลินฉีเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา อดไม่ได้ที่หลิงเทียนจะคิดไปถึงการทดสอบคัดเลือกเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กที่เขาได้ยินมาในตอนนั้น
สำหรับวันที่แน่นอนของการทดสอบคัดเลือกเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กนั้น อยู่หลังจากนี้อีก 5 เดือนพอดี
หลินฉีกล่าวต่อว่า "ต้วนหลิงเทียนแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนของตระกูลลี่ แต่เจ้าก็เป็นสาวกที่ใช้แซ่อื่น ... สำหรับตำแหน่งสูงสุดในตระกูลลี่ที่เจ้าจะเป็นได้นั้นคงไม่พ้นผู้อาวุโสหลัก ตำแหน่งประมุขของตระกูลนั้น เจ้าไม่มีทางเป็นได้อย่างแน่นอนเพราะเจ้าไม่ได้ใช้แซ่ลี่ "
"เฮ่ๆ เจ้าจะอมพะนำทำไม่เนี่ย หรือเจ้าพูดสิ่งที่เจ้าต้องการออกมาทันทีไม่ได้ ต้องกล่าวเกริ่นนำยืดยาวแบบนี้?"
ต้วนหลิงเทียนล้อหลินฉี
"ฮ่าฮ่าก็ได้ๆ เช่นนั้น ข้ากล่าวตรงๆเลยแล้วกัน"
หลินฉีสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างช้าๆ "เมื่อครึ่งเดือนที่แล้วป้าของข้าเดินทางกลับมายังตระกูล และข้าก็ได้เล่าเรื่องราวของเจ้าให้ป้าข้าฟัง ปรากฏว่าท่านป้าของข้านั้นถึงกับประทับใจและสนใจในตัวเจ้าอย่างยิ่ง"
“พรวดดด!”
หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวของหลินฉี หลิงเทียนถึงกับตกใจจนสำลักออกมา อาหารที่กำลังเคี้อยู่ในปากพุ่งออกไปกระจายเต็มหน้าของหลินฉีที่อยู่ด้านตรงข้ามทันที
“บัดซบเถอะ! หลินฉี แม้ข้าจะไม่ได้รังเกียจพวกบุรุษที่แต่งงานอยู่กินกับสตรีที่มีอายุมากกว่า แต่ตัวข้าก็ไม่ได้มีรสนิยมอะไรแบบนั้น... เฮ่อ เจ้ากลับไปบอกป้าเจ้า ให้นางไปหาคนอื่นเถอะ ข้าไม่ไหวจริงๆ "ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างมาก
หลินฉีพลันทำหน้าโง่งมออกมา
เมื่อรู้สึกตัวหลินฉีก็เช็ดอาหารที่หลินเทียนสำลักกระจายออกมาเต็มใบหน้าของเขา ก่อนที่จะส่ายหัวแล้วกล่าวออกมาอย่างขำขัน "เจ้านี่ก็นะ เหตุใดเจ้าถึงคิดสัปดนไปได้ถึงเพียงนั้นกันเล่า? ป้าของข้าแต่งงานไปหลายปีแล้ว อีกทั้งลูกนางก็มีอายุได้ 10 ขวบปีแล้วด้วย "
"อ้าว ไม่ใช่เจ้าเป็นคนบอกเองรึไง ว่าป้าเจ้าสนใจในตัวข้า?"
ต้วนหลิงเทียนได้แต่กล่าวทวนคำออกมา
‘บัดซบแค่คำว่าสนใจมันคิดไปไกลเช่นนี้ได้อย่างไร?’
"แฮ่มๆ ความสนใจของนางอยู่ที่ความสามารถในการสำนึกรู้และพรสวรรค์ของเจ้า"
หลินฉีจ้องหลิงเทียนอยู่ครู่หนึ่งราวกับรอให้หลิงเทียนกล่าวถาม
"แล้วไงต่อ ว่ามาสิ"
หลิงเทียนส่ายหัวเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มคีบอาหารขึ้นมากินต่อ เขากินราวกับพายุโหมกระหน่ำทุกที่ๆตะเกียบเขาพุ่งไปอาหารล้วนอันตรธานหายวับไปหมดสิ้น
"ป้าของข้าเป็นผู้ดูแลกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงสาขาประจำเมืองผานางแอนเหิน" หลินฉีกล่าวออกมา
"แล้วมันทำไมหรือ?" ต้วนหลิงเทียนถามออกมาในขณะที่เคี้ยวอาหารเต็มปาก
"เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงมาก่อนหรือไร?"
หลินฉีมองต้วนหลิงเทียนราวกับเขาเป็นตัวประหลาด
เมื่อเขาเห็นหลินเทียนส่ายหัวไม่เป็นการบอกว่าไม่รู้ก่อนที่จะกินต่อ เขาถึงกับพูดไม่ออกเลย
‘ไอบ้านี่มันไปอยู่ในป่าในเขามาหรือไร!’
"กลุ่มการค้าทิวลิปม่วงเป็น 1 ใน 3 กลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรนภาล่อง ทุกๆเมืองประจำมณฑลจาก 18 เมืองประจำมณฑลของอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ ล้วนมีสำนักงานของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงก่อตั้งอยู่ทั้งสิ้น และ เมืองผานางแอ่นเหินประจำมณฑลผานางแอ่นเหินนี้ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ... "หลินฉีกล่าวอธิบายออกมา
"เดี๋ยวนะ เจ้าจะบอกว่ากลุ่มการค้าทิวลิปม่วงนี่มีอาคารจัดตั้งอยู่ทั่วทั้ง 18 มณฑลของอาณาจักรนภาล่อง และป้าของเจ้าก็เป็นผู้ดูแล 1 ใน 18 มณฑลนั้นใช่หรือไม่ "
"ใช่แล้ว"
ใบหน้าของหลินฉีเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
"ถึงแม้ว่าความสามารถในเชิงยุทธ์ของป้าข้าจะไม่ได้มากมายอะไร เพียงเทียบเท่าค่าเฉลี่ยทั่วๆไปเท่านั้น แต่นางก็นับว่ามีหัวทางการค้ามากนัก จนวันหนึ่งนางได้รับโอกาสจากผู้จัดตั้งกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงให้เข้าไปลองทำงานดู และนางก็สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมจนนางไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ จนเมื่อไม่นานมานี้เองนางก็ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงผู้ดูแลประจำมณฑลผานางแอ่นเหินแห่งนี้อย่างไรเล่า...อ่อจริงสิ เหลาอาหารที่พวกเรานั่งกินกันอยู่นี่ ก็เป็น 1 ในกิจการของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงด้วย”
"นอกจากนั้นแล้วกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงนี้ กล่าวได้ว่ามีสาขาและกิจการไปทั่วทุกที่เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ ... ตราบใดที่ร้านค้าหรือกิจการนั้นมีคำว่าเถาพฤกษา,ทองประเสริฐ หรือ ช่อทิวลิป ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงทั้งสิ้น "
หลินฉียังคงกล่าวบรรยายความยิ่งใหญ่ของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงอย่างคุ้นเคย
“เถาพฤกษา?
ต้วนหลิงเทียนนึกขึ้นได้ทันทีว่าร้านอาหารในเมืองวายุโปรยของเขาก็มีชื่อว่า เหลาเถาพฤกษาเช่นกัน ที่แท้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วง
"ข้าไม่ค่อยสนใจจะทำการค้าสักเท่าไร"
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
"โอ๊ย แล้วใครบอกให้เจ้าไปทำการค้ากันเล่า"
หลินฉีกล่าวออกมาอย่างมีอารมณ์ "ป้าของข้าสนใจพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์อีกทั้งยังความสามารถในการสำนึกรู้ที่ทำความเข้าใจสรรพวิชาได้รวดเร็วของเจ้า... เมื่อกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงร่ำรวยถึงเพียงนี้แน่นอนว่าย่อมมีผู้ที่จ้องจะฮุบกิจการและแอบแทงข้างหลังอยู่เป็นประจำ เช่นนั้นกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงจึงได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นมาและได้ฝึกฝนรวมทั้งว่าจ้างผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเอาไว้ เพื่อดูแลและปกป้องสมบัติทรัพย์สินต่างๆ "
"ลุงของข้าเองก็เป็นหัวหน้ากองกำลังป้องกันของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงสาขาเมืองผานางแอ่นเหิน อีกทั้งท่านลุงยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติที่ทรงพลังอำนาจอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้ว่าการประจำมณฑลผานางแอ่นเหินเอง เมื่อเจอท่านลุงของข้า เขายังต้องให้ความเคารพ "
หลินฉีกล่าวออกมารวดเดียวภายใน 1 ลมหายใจ
"ตกลงป้าของเจ้า จะให้ข้าไปเป็นผู้คุ้มกันของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วง?"
ต้วนหลิงเทียนมองด้วยสายตาแปลกๆ
“ป้าของข้ากล่าวว่าตราบใดที่เจ้ายินดีเข้าร่วมกองกำลังของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วง กลุ่มการค้าทิวลิปม่วงจะเป็นผู้สนับสนุนในด้านทรัพยากรการบ่มเพาะของเจ้าในอนาคต ... เช่นนี้ในอนาคตเจ้าเองก็มีโอกาสจะได้รับตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังคุ้มกันของกลุ่มการค้าทิวลิปม่วง สาขาเมืองผานางแอ่นเหิน ต่อจากท่านลุงของข้า”
หลินฉีมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉาริษยา
"งั้นกล่าวง่ายๆว่า เมื่อข้าเข้าร่วมกลุ่มการค้าทิวลิปม่วง...ต่อให้ข้าอยู่ที่นั่นจนตาย ข้าก็เป็นได้แค่หัวหน้าบอดี้การ์ด?"
หลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนที่จะใช้มีดในมือหั่นไส้กรอกแล้วจิ้มมากิน
"หัวหน้าบอดี้การ์ด ??? แล้วมันคืออันใดกันเล่า?"
หลินฉีไม่เข้าใจว่าคำแปลกๆที่หลิงเทียนพูดออกมามันคืออะไร