spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ยามนี้ต้วนหลิงเทียนนั้นแทบจะติดปีกแล้วโผบินหลบหนีไปยังเมืองชิงลี่ให้รู้แล้วรู้รอด
ตราบใดที่เขาสามารถเข้าไปในเมืองได้เขาก็จะปลอดภัย
ในที่สุดภายใต้สายตาวิตกกังวลของหลิงเทียน ชายชราคนนั้นก็เลือกที่จะไปรักษาและดูอาการของชายหนุ่มคนนั้นก่อน มันไม่ได้เร่งติดตามเขามาทันทีอย่างที่กังวล
“เฮ่อ!”
ต้วนหลิงเทียนอดที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้ ตอนนี้เหงื่อกาฬเขาหลั่งไปทั้งตัว
ยามนี้เขารู้สึกเหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์หลังจากที่เมื่อครู่ตกอยู่ในนรกแห่งความกังวล
ถึงแม้ว่าชายชราคนนั้นจะไม่ได้ติดตามเขามาแต่หลิงเทียนก็ยังคงรีบร้อนควบขี่อาชาเหงื่อโลหิตเข้าเมืองไปโดยที่คงความเร็วสูงสุดเอาไว้
เขาได้ยินเสียงอื้ออึงจากบทสนทนาของชาวเมืองทันทีที่ผ่านประตูเมืองเข้ามาในเมือง
"ดูนั่นเร็วเข้า!"
"เฮ้ นั่นใช่อาชาเหงื่อโลหิตหรือไม่!"
"นั่น อาชาที่พุ่งผ่านไปรวดเร็วเช่นนั้น จะใช่อาชาเหงื่อโลหิตในตำนานหรือไม่?"
......
ต้วนหลิงเทียนได้ยินบทสนทนาของผู้คนที่กำลังแตกตื่นอย่างชัดเจน
เขาขมวดคิ้วราวกับคิดอะไรออกได้เล็กน้อยก่อนที่จะกระโดดลงจากอาชาเหงื่อโลหิตและเคลื่อนตัวไปอีกด้านทันที
เขาซ่อนตัวอยู่ในถนนที่พลุ่งพล่านไปด้วยผู้คนก่อนที่จะกลมกลืนหายไป
"เฮ้จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่มันคิดทิ้งอาชาเหงื่อโลหิตตัวนี้ไว้ตรงนี้?"
"นะ..นี่เป็นอาชาเหงื่อโลหิตที่มีมูลค่าสูงถึงตัวละ 10,000 เหรียญทอง... แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับทิ้งขว้างมันมิต่างอันใดกับขยะเช่นนี้หรือ"
หลายคนส่งเสียงตกตะลึงออกมา
ฟู่มมม!
ทันใดนั้นเองทุกสายตาของผู้คนพลันหันไปทางประตูเมืองที่ส่งเสียงดังออกมาราวกับอากาศปริแตก
ร่างชายชราคนหนึ่งที่หน้าประตูเมืองพลันพุ่งมาที่อาชาเหงื่อโลหิตในเสี้ยวพริบตาทันทีที่มันสังเกตเห็นอาชาเหงื่อโลหิตตัวนี้
"มีผู้ใดเห็นชายหนุ่มวัยเยาว์สวมชุดสีม่วง ที่ควบอาชาตัวนี้วิ่งเข้าเมืองมาหรือไม่?"
สายตาของชายชรากวาดมองไปทั่วฝูงชน แววตาของเขานั้นแหลมคมเปล่งประกายราวกับเส้นสายอัสนีบาตมันสะกดทุกสายตาให้รู้สึกยอมจำนนอย่างคนไร้อำนาจ
"ขะ...เขาไปทางด้านนั้น นายท่าน!"
มีชายคนหนึ่งได้ชี้ไปยังทิศทางที่หลิงเทียนออกวิ่งไป
ฟู่มมมมม!
ร่างของชายชราพุ่งหายเข้าไปในฝูงชนทันที
"รวดเร็วยิ่งนัก!"
"นั่นสิช่างเร็วรวดเร็วยิ่งนัก ข้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิด แต่ข้าไม่อาจมองเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้แม้แต่นิด"
"เขาอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญยุทธ์ระดับ กำเนิดแก่นแท้"
“ไม่ใช่แน่ ข้าเคยเห็นอาวุโสลำดับที่ 2 ของตระกูลซ่ง นามว่าซ่งจิ้ง ในตอนที่ซ่งจิ้งต่อสู้นั้น ยังไม่รวดเร็วถึงเพียงนี้ และที่สำคัญระดับบ่มเพาะของซ่งจิ้งผู้นั้นคือระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7”
......
ภายใยเมืองฝูงชนเดินกันขวักไขว่ละลานตาเต็มไปหมด
หลิงเทียนพยายามเดินวนไปเกือบทั่วทั้งเมืองชิงลี่โดยใช้รูปแบบการสลัดผู้ติดตามจนมืดค่ำ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเสื้อผ้าของตนเองก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยความกังวลว่า "ตอนนี้ข้าคงต้องหาชุดใหม่เปลี่ยนเสียก่อน ชุดนี้มันเด่นชัดเกินไป"
"หืม เจ้านั่น?"
มันใดนั้นหลิงเทียนก็เห็นชายคนหนึ่งที่กำลังเดินมาทางเขา
มองไปที่รูปร่างของชายคนนั้นก็นับว่าใกล้เคียงกับตัวเขาอย่างมาก
"ฮี่ฮี่ บิดาและมารดาคงมีความสุขยิ่งแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปตัวข้าจักได้เป็นถึงคนรับใช้แห่งตระกูลซ่ง ที่ได้เงินเดือนสูงถึง 10 เหรียญเงิน...เทียน มี้มี หนี่เซียว เต่อ เทียน มี้มี..." ชายหนุ่มคนนั้นรำพึงรำพันกับตัวเองก่อนที่จะเดินฮัมเพลงเข้าซอยแคบมาอย่างอารมณ์ดี
แต่เสียงร้องเพราะปานโคออกลูกของเขาก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะลำคอถูกบีบรัด
ภายใต้แสงจันทร์บังเกิดแสงจากคมกระบี่อ่อนดาราม่วงเปล่งประกายเยือกเย็นออกมา ทาบไว้ที่ลำคอของเขา
ชายหนุ่มนั้นหวาดกลัวมากมันรีบหลับตาปี๋ลงก่อนที่จะกล่าววิงวอนออกมา "ท่านผู้กล้าโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้ามิมีเงิน ข้ามิมีเงิน ได้โปรดเมตตาข้าด้วย "
หลิงเทียนถึงกับชะงัก แล้วพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
‘ข้าไปกล่าวรีดไถเงินมันตอนไหนกัน!?’
"รีบถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกมาซะ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อาา! ท่านผู้กล้า... ท่าน ... ท่านต้องการ ... "
ร่างกายของชายหนุ่มเริ่มสั่นสะท้าน น้ำเสียงของเขาก็สั่นเครือเช่นกัน
"รีบถอดชุดบัดซบของเจ้าออกซะ เร็วด้วย!" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงรำคาญ
"ได้ๆๆๆ"
ชายหนุ่มรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเร่งรีบถอดชุดออกอย่างร้อนรน
หลิงเทียนเองก็รีบถอดเสื้อของมันออกก่อนที่จะรีบใส่เสื้อของชายหนุ่มคนนั้น
แต่ทว่าเมื่อหลิงเทียนเสร็จสิ้นการเปลี่ยนชุดของเขา เขาก็สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นเริ่มถอดกางเกงชั้นในออกก่อนทีมันจะไปยืนจับกำแพงแล้วโค้งก้นขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายของมันสั่นสะท้านราวกับลูกนกตกน้ำก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกังวลใจ "นายท่านได้โปรดอ่อนโยนกับข้าน้อยด้วย ... ข้าน้อยยัง บริสุทธิ์ ... "
ต้วนหลิงเทียนถึงกับหน้าเหวอและเต็มไปด้วยความสยดสยอง
‘ไอ้บัดซบนี่มันพล่ามอุบาทว์อันใดของมัน?’
ถึงแม้ว่าเขาจะกระสันถึงกับต้องข่มขืนผู้คน แต่เหตุใดเขาต้องจับผู้ชายมาข่มขืน?
"บัดซบ อุบาทว์ลูกตาข้านัก รีบใส่กางเกงเร็วเข้า! ข้าเพียงต้องการเสื้อผ้าเจ้าเท่านั้น "
ต้วนหลิงเทียนเก็บกระบี่ก่อนที่จะถีบก้นของมันไปอย่างแรง 1 ครั้ง
ชายหนุ่มได้แต่ร้องไห้โอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความสำนึกผิด "นายท่านแล้วเหตุใดไม่รีบกล่าวก่อนหน้านี้เล่า ... แหะแหะ ... ก็ข้า ไม่รู้นี่นา ... "
"ข้าดูคล้ายกับบุคคลที่จะข่มขืนเจ้าหรือไร?" หลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนที่เขาจะเดินออกมาให้มันเห็นหน้า หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากซอยไป
ตลาดในยามค่ำคืนของเมืองชิงลี่ก็ยังคงคึกคักอยู่ไม่น้อย
หลังจากที่ซื้อหน้ากากปกปิดตัวตนอันหนึ่งจากตลาด ต้วนหลิงเทียนก็รีบเดินไปยังสถานที่ดำเนินการขององค์กรเงายมทูต สาขาเมืองชิงลี่ทันที
ถังจิ้งได้บอกตำแหน่งที่ตั้งไว้ให้เขาอย่างละเอียดก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็หาพบ
หลิงเทียนเดินมายังโต๊ะรับรองด้วยความเฉยชา
ด้านหลังของโต๊ะรับรองเป็นสตรีที่มีอายุราวๆ 22- 23 ปี ร่างกายของนางนับว่าได้สัดส่วนเข้ารูปมิใช่น้อย หน้าอกของนางนั้นไม่ต่างอันใดกับน้ำเต้ากลมโตที่แลดูราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ อีกทั้งกอปรกับใบหน้างดงามคมเข้มของนาง ส่งเสริมให้นางมีความโดดเด่นอย่างมาก
เมื่อสังเกตเห็นหลิงเทียนเดินเข้ามาสตรีคนนั้นหาได้แปลกประหลาดใจอันใด ราวกับเป็นเรื่องปกติ
"สาวกเขตนอกของตระกูลหวัง หวังเฉิน"
หลิงเทียนจ้องไปยังสตรีเบื้องหน้าก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดัดจนแหบแห้ง
"มัดจำ 10,000 เหรียญเงิน ยืนยันในอีก 3 วัน"
น้ำเสียงขอสตรีผู้นี้ช่างเย็นชาไร้หัวใจนัก ราวกับนางไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนผู้อื่น
ต้วนหลิงเทียนได้นำตั๋วเงินปึกหนึ่งวางลงไปยังโต๊ะรับรอง เงินนี่เขาได้นำมันออกมาจากแหวนมิติตั้งแต่ก่อนที่จะลงมาที่นี่แล้ว เมื่อชำระเงินเสร็จหลิงเทียนก็หันหลังจากไป
หลิงเทียนนั้นได้รับฟังกฎต่างๆของ เงายมทูตมาจากถังจิ้งเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ออกจากที่ทำการของ เงายมทูต หลิงเทียนก็เดินไปรอบๆตามเมืองเป็นวงกลมซ้อนกันถึง 3 วงอันเป็นวิธีสลัดผู้ติดตาม เมื่อเขาตรวจสอบดีแล้วว่าไม่มีใครตามมา หลิงเทียนก็เข้าไปยังมุมอับที่หนึ่งก่อนที่จะถอดหน้ากากออกมาและทำลายทิ้ง แล้วกลับเข้ามาเดินยังเส้นทางหลักอย่างสบายใจ
หลังจากนั้นหลิงเทียนก็เดินกลับเข้าไปเดินเล่นในตลาดยามค่ำคืนมันอึกทึกคึกโครมอีกทั้งยังมีบาร์บีคิวขายด้วย ก่อนที่เขาจะไปหาโรงเตี้ยมเพื่อพักผ่อน
“อาชาเหงื่อโลหิต 2 ตัวนั่น กับผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง”
เมื่อรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้หลิงเทียนอดจมกับความรู้สึกกังวลไม่ได้
หากมีตัวตนระดับวิญญาณแรกก่อตั้งติดตามมาคุ้มครองเช่นนี้ เกรงว่าตัวตนของหนุ่มสาวสองคนนั้นจะไม่ใช่ธรรมดาซะแล้ว เป็นไปได้อย่างสูงที่พวกมันจะเป็นบุตรหลานของตระกูลใหญ่ของเมืองประจำมณฑล
"แต่น่าจะมีเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวนั่นเพียง 2 คนเท่านั้นที่จำหน้าตาของข้าได้"
คิดถึงจุดนี้เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ
หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงเทียนก็ตัดสินใจไปซื้อเครื่องประทินโฉมในตลาด
ในฐานะนักฆ่าแห่งโลกมืดจากชีวิตที่แล้ว หลิงเทียนย่อมมีทักษะการปลอมแปลงตัวไม่ใช่น้อย เพราะเขาจำเป็นต้องแทรกซึมไปยังที่ต่างๆ เพื่อลงมือจัดการเป้าหมาย
หลังจากผ่านไป 2 เค่อ ใบหน้าที่หล่อเหลาของหลิงเทียนกลับกลายเป็นชายชาวบ้านร้านถิ่นธรรมดาสามัญไม่มีความโดดเด่นอะไร
"ไม่เลวนัก ฝีมือปลอมแปลงโฉมข้ายังไม่ตก"
หลิงเทียนพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจหลังมองไปที่กระจก
ใบหน้าธรรมดาๆเหล่านี้ไม่ว่า ใครจะสังเกตให้ดีสักแค่ไหนก็ตาม พวกมันก็ไม่มีทางรับรู้ว่าใบหน้านี้เป็นใบหน้าที่ปลอมแปลงขึ้นมา...
ใบหน้าเช่นนี้หากเดินปะปนไปกับฝูงชนล่ะก็ยากที่จะมีผู้ใดจดจำได้
"ถึงแม้ตอนนี้พวกมันจะพบข้าอีกครั้ง แต่พวกมันไม่มีทางจำข้าได้อย่างแน่นอน"
หลังจากปลอมแปลงใบหน้าเสร็จแล้วตอนนี้หลิงเทียนรู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างมาก
เมื่อยามอรุณรุ่งมาถึงหลิงเทียนรีบฉวยโอกาสที่ผู้ดูแลของโรงเตี๊ยมกำลังสะลึมสะลือหลังจากพึ่งตื่น รีบชำระเงินค่าที่พักแล้วจากไปทันที
หากเขาต้องการปิดบังตัวตนอย่างสมบูรณ์แบบเขาต้องไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้สืบสาวเด็ดขาด
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมคนนี้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาแล้ว
หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมหลิงเทียนก็ไปหาอาหารเช้ากินที่ร้านอาหารใจกลางเมือง
อาหารเช้าร้อนๆนี้นับว่าทำให้เขาเพลิดเพลินและสุขใจนัก
“ข้าสงสัยจริงๆว่าเป็นผู้ใดกัน ช่างโหดเหี้ยมและใจกล้ายิ่งนัก มันกล้าลงมือตัดแขนบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลผานางแอ่นเหินเช่นนี้ เมืองชิงลี่ของพวกเรายังนับว่าเป็นเมืองใต้อาณัติของเมืองผานางแอ่นเหินด้วยซ้ำ”
"ข้าเองก็ได้ยินท่านประมุขกล่าวมาเมื่อเช้าเช่นกัน ยามนี้พวกมันคงกำลังไปที่ตระกูลหวังและตระกูลซ่ง เพื่อยืมกำลังในการหาตัวคนร้าย"
"เห็นพวกมันกล่าวกันว่า ผู้ลงมือเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุราวๆ 16 ปีเท่านั้น แต่ทว่ากลับมีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 เด็กนั่นมีรูปร่างหน้าตาสะอาดไร้ตำหนิใบหน้าหล่อเหลาอีกทั้งใส่ชุดสีม่วง... เฮ่อ แต่บอกมาเพียงเท่านี้แล้วพวกมันจะไปหาเจอได้ที่ใดกัน?"
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังดื่มนมอุ่นๆกับอาหารเช้าอยู่นั้นพลันได้ยินบทสนทนาของโต๊ะรอบๆ
กลุ่มที่กำลังกล่าวนั้นเป็น ชายหนุ่ม 3 คนอายุราวๆ 20 กว่าปี
หัวใจของหลิงเทียนสั่นไหวเล็กน้อย
มันสามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่าคนร้ายที่พวกมันกล่าวถึงนั้นย่อมเป็นเขาอย่างแน่นอน
เขาเองก็คาดเดาไว้แล้วว่าภูมิหลังของทั้ง 3 คนนั้นต้องไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะสูงถึงขั้นนี้
เมืองผานางแอ่นเหิน นั้น เป็นเมืองประจำมณฑลนางแอ่นเหินแห่งนี้ ทั้งยังมีเมืองใต้บังคับบัญชาถึง 81 เมือง
ในบรรดา 81 เมืองเหล่านั้น แน่นอนว่าย่อมมีเมืองชิงลี่แห่งนี้ และเมืองออโรร่านับรวมอยู่ด้วยแน่นอน
เมืองผานางแอ่นเหินนับว่าเป็น 1 ใน 18 เมืองใหญ่ประจำมณฑล ของอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ และผู้ว่าการประจำมณฑลก็นับว่าเป็นตัวตนที่ทรงอำนาจอย่างมากในอาณาจักร
อย่างต่ำๆ ผู้ที่จะสามารถเป็นผู้ว่าการประจำมณฑลได้อย่างน้อยพวกมันต้องมีระดับบ่มเพาะอยู่ในระดับ “วิถีธรรมชาติ”
ตัวตนที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณแรกก่อตั้งไปอีกระดับนั้นจะเรียกว่า ผู้เชี่ยวชาญระดับ วิถีธรรมชาติ หรืออาจจะเรียกพวกมันว่า ผู้อมตะเหนือแดนดิน ก็ได้ เพราะว่าพวกมันสามารถใช้พลังงานในร่างกายของพวกมันหลอมรวมกับพลังงานธรรมชาติแล้วเหาะเหินเดินอากาศได้
"ชายคนนั้นเป็นบุตรของผู้ว่าการมณฑลผานางแอ่นเหิน?"
ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่าครานี้เขาก่อปัญหาใหญ่แค่ไหน
แต่เขาไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อย
ถึงแม้เขาจะสามารถย้อนเวลากลับไปช่วงเวลานั้นได้ เขาก็จะลงมือแบบนั้นอีกครั้ง
หัวใจของหลิงเทียนกระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะคิดไปว่า "โชคดีนักที่เมืองนี้คือเมืองชิงลี่ มันค่อนข้างห่างไกลกับเมืองออโรร่ามาก..คงไม่มีใครที่คิดสงสัยข้า"
หลังจากนั้นตลอดเวลา 3 วันที่หลิงเทียนอาศัยอยู่ในเมืองชิงลี่ มันก็ได้เห็นว่าทั้ง 3 ตระกูลใหญ่ของเมืองชิงลี่กำลังเคลื่อนไหวกันครั้งใหญ่จนทำให้ชาวเมืองตื่นตกใจไม่น้อย
พวกมันมีเป้าหมายเดียวคือการตามหาตัวคนร้ายที่ตัดแขนของบุตรชายผู้ว่าการมณฑล
ทันใดนั้นเองหลิงเทียนก็ได้เห็นหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง ...คนที่เขากระชากตกลงจากหลังอาชาเหงื่อโลหิต
ใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา ขณะที่เดินตระเวนหาตัวเขากันอย่างจริงจังพร้อมกับผู้คุ้มกัน
แต่แม้ในขณะที่เดินสวนกันและนางได้เห็นใบหน้าเขาชัดถนัดตา แต่ทว่านางยังคงไร้ปฏิกิริยาใดๆ
ต้วนหลิงเทียนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า หากไม่ใช่เค่อเอ๋อหรือมารดาของเขาแล้วบนโลกนี้ไม่มีใครสามารถจดจำเขาในใบหน้านี้ ได้อย่างแน่นอน แม้แต่ลี่เฟยเองก็ไม่มีทาง
เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจในฝีมือปลอมแปลงโฉมของเขาอย่างมาก
ตกดึกในคืนนั้น
หลิงเทียนไปซื้อหน้ากากที่ตลาดยามค่ำคืนอีกครั้ง ก่อนที่จะสวมใส่มันและเดินทางไปยังสถานที่รับงานของหน่วย เงายมทูตสาขาประจำเมืองชิงลี่
ยังคงเป็นสตรีเย็นชาคนเดิมที่ประจำโต๊ะรับรอง
"ตระกูลหวัง หวังเฉิน ยืนยันว่าอย่างไร?"
หลิงเทียนเดินไปถึงโต๊ะรับรองกล่าวถามออกมา
"200,000 เหรียญเงิน"
หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นไร้อารมณ์
"เหตุใด ราคาของผู้บ่มเพาะร่างกายระดับ 9 ถึงสูงเพียงนี้ล่ะ?"
ต้วนหลิงเทียนสงสัยเล็กน้อย
ราคาค่าหัวนั้นถังจิ้งได้แจ้งแก่เขาคร่าวๆมาบ้างแล้ว สำหรับระดับบ่มเพาะร่างกายขั้นที่ 9 นั้น สมควรมีค่าใช้จ่ายมากที่สุดประมาน 100,000 เหรียญเงิน
"การแทรกซึมเข้าตระกูลหวังในยามนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง"
น้ำเสียงเยือกเย็นของสตรีคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
"นี่ 190,000 เหรียญเงิน"
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดกล่าวถามอะไรเพิ่มเติม มันหยิบตั๋วเงินที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ยื่นส่งให้แก่สตรีเย็นชาตรงหน้า
สตรีคนนั้นรับเงินไปแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
"ภารกิจจะเริ่มดำเนินการเมื่อไร?"
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
"เป้าหมายจะตายภายในคืนนี้"
เมื่อได้ยินวาจานี้จากปากของสตรีเย็นชา หลิงเทียนพลัยเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก แต่มันก็ยังคงถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้หน้ากากของเขาอย่างมิดชิด
เขาออกจากที่ทำการของ เงายมทูตก่อนที่จะไปหาโรงเตี๊ยมพักผ่อน
เขาได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว
พรุ่งนี้หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเขาจะเดินทางออกจากเมืองชิงลี่
เช้าวันต่อมา
ต้วนหลิงเทียนก็มาหามือเช้ากินที่เหลาอาหารแห่งหนึ่ง
ตอนแรกนั้นเขาก็คิดว่าจะได้ฟังข่าวคราวเกี่ยวกับหวังเฉินเสียหน่อย แต่ไม่คิดเลยขนาดผ่านไป 3 วันแล้วบทสนทนายังคงเป็นเรื่องการตามหาตัวคนร้ายที่ตัดแขนบุตรชายผู้ว่าการมณฑลผานางแอ่นเหิน
"แต่จากที่ถังจิ้งกล่าวรับรองเอาไว้ หากงานไหนที่เงายมทูตรับไปดำเนินการแล้ว มันไม่เคยล้มเหลวหรือผิดพลาดมาก่อน เช่นนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรอีก"
หลังจากที่กินข้าวและดื่มน้ำเสร็จเรียบร้อยหลิงเทียนก็ลุกขึ้นเตรียมที่จะออกจากเหลาอาหารทันที