หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 76 ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

"ด้วยพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดของเจ้า ตราบเท่าที่หามีอันใดไม่คาดฝันเกิดขึ้น เจ้าย่อมสามารถผ่านการทดสอบค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนั่นไม่ยาก"

หลินฉวนมองไปที่เซี่ยวหยูก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

"การเข้าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่ง่ายที่จะอยู่รอดต่อไปในที่แห่งนั้น ... ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา มีอัจฉริยะจากสามตระกูลใหญ่ของเมืองออโรร่าแห่งนี้ นับร้อยๆ คนที่สามารถ ผ่านการทดสอบคัดเลือกเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ แต่ทว่าหามีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาหลังจากฝึกฝน แม้แต่คนเดียว "

ตาของเซี่ยวหยูเรืองวูบขึ้น

"เฮ่ๆ พวกเจ้าคุยกันถึงเรื่องค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะอะไรนั่นกันอยู่นานแล้ว ตกลงมันคือสถานที่อะไรกันแน่? "

ต้วนหลิงเทียนที่สงสัยอยู่นาน ถามออกมาด้วยความรำคาญ

"เจ้าไม่รู้เรื่องค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก?"

หลินฉีหันมามองหลิงเทียนราวกับตัวประหลาด

"อะไร แปลกมากหรือ?"

ต้วนหลิงเทียนสงสัยอย่างมาก

หลังจากนั้นหลินฉวนก็อธิบายเรื่องค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะให้หลิงเทียนฟัง ในที่สุดหลิงเทียนก็ได้รับรู้เสียทีว่ามันคืออะไร แล้วมีไว้เพื่ออะไร

กองกำลังโลหิตเหล็กเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามของอาณาจักรเมฆาล่อง กองกำลังโลหิตเหล็กนั้นประจำการณ์อยู่ที่ชายแดนของอาณาจักรเมฆาล่องเพื่อป้องกันภยันตรายและภัยคุกคาม ให้แก่อาณาจักรนี้

สมาชิกในกองกำลังโลหิตเหล็กนั้น กล่าวได้ว่า สามารถเอาชนะและสู้รบกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับเท่าเทียมกันได้แบบ 1 ต่อ 10 โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ

และที่พักของกองกำลังโลหิตเหล็กนั้น ก็ แยกตัวเป็นอิสระ อยู่ได้ด้วยตัวเอง จนตั้งเป็นกองทัพๆ หนึ่งที่แข็งแกร่งและคอยปกปักรักษาดินแดนอย่างแข็งขัน อีกทั้งพวกมันยังจัดฝึกอบรมส่งเสริมผู้ที่มีใจรักชาติ อย่างเต็มที่ ภายใต้การส่งเสริมของราชวงศ์

ในเมืองหลวงของอาณาจักรนั้น มีสถานศึกษาที่ยิ่งใหญ่และโด่งดังเรียกว่า สถานศึกษาบ่มเพาะขุนพล อยู่แห่งหนึ่ง

ตราบใดที่ผู้เข้าศึกษาสามารถเรียนจนจบสถานศึกษาบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ รับประกันได้เลยว่าจะอย่างไรต้องได้รับการแต่งตั้งติดยศอย่างเป็นทางการตามลำดับและคะแนนที่เหมาะสม ทั้งยังได้รับที่ดินและสุดท้ายก็ยศขุนนางอย่างแน่นอน

หากสามารถจบจากสถานศึกษาบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ได้ สามารถกล่าวได้เลยว่าตอนนั้นอำนาจที่มีนับว่าเหนือกว่า สามตระกูลใหญ่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้อย่างมาก เพียงแค่สั่งคำเดียวสามารถลบล้างตระกูลใหญ่ในเมืองออโรร่าได้อย่างง่ายดาย

อาณาจักรเมฆาล่องแห่งนี้มีเมืองเล็กๆหลายเมืองที่มีสถานะเทียบเท่าเมืองออโรร่า

และตระกูลที่มีขนาดพอๆกันกับ 3 ตระกูลใหญ่ในเมืองนี้ก็มีนับไม่ถ้วน

เกณฑ์ในการเข้าสถานศึกษาบ่มเพาะขุนพล ในเมืองหลวงนั้นนับว่าสูงลิบลิ่ว

นอกจากเชื้อสายของราชวงศ์รวมถึงตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่สามารถส่งบุตรหลานเข้าสถานศึกษาได้โดยตรง บุคคลผู้อื่นนั้นต้องทำการสอบหรือผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวดมาก มันเป็นการสอบวัดความรู้ กับการสอบวัดความสามารถที่สุดแสนจะโหดร้าย

และค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก ก็คือการคัดเลือกอันแสนโหดร้ายที่ว่า

ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กนั้น จะฝึกฝนอบรมผู้ที่ผ่านการเข้าร่วมเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

เฉพาะผู้ที่สามารถผ่านการฝึกฝนอบรมจากค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ จะได้รับคุณสมบัติที่สามารถเข้าเรียนสถานศึกษาบ่มเพาะขุนพลได้ทันที

ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมีนี้ มีเหล่าอัจฉริยะมากมา นับร้อยๆ คน ของ 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองออโรร่านี้ ที่ผ่านบททดสอบจนได้เข้าร่วมการฝึกอบรมของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ

แต่ทว่าเหล่าอัจฉริยะเหล่านั้นล้วนตกตายในระหว่างการฝึกอบรมจนหมดสิ้น หามีผู้ใดรอดและผ่านการฝึกอบรมแม้แต่ผู้เดียว

นี่ทำให้ทราบถึงความโหดร้ายและความเข้มงวดของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนี้ได้ทันที

หากจะกล่าวให้ชัดเจน นับว่ามีผู้ที่สามารถผ่านการฝึกฝนอบรมของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนี้ได้ 1 ส่วนจาก 10 ส่วน

นั่นทำให้มีคำกล่าวมาจนถึงทุกวันนี้ 'ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ 9 ตาย 1 รอด

ผู้เยาว์อัจฉริยะที่ไร้ความกล้าหาญและความมั่นใจ แน่นอนว่าโดยทั่วไปแล้วพวกมันไม่กล้าแม้แต่จะไปเข้าร่วมการทดสอบ

เพราะว่าเมื่อท่านสอบผ่านแล้วมีเพียง 2 ทางเลือกเท่านั้น

หนึ่ง ตาย!

สอง ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่!

"เมืองหลวง... สถานศึกษาบ่มเพาะขุนพล"

ต้วนหลิงเทียนเริ่มขบคิด

ตระกูลต้วนเองก็อยู่ที่เมืองหลวง และจากคำกล่าวของมารดามัน ตระกูลต้วนก็นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งของเมืองหลวง

ในที่สุดวันที่เขาจะไปเหยียบตระกูลต้วนก็มาถึง

เขามีเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้น

จบชีวิต ต้วนหลิงซิ่ง!

วันนั้นต้วนหลิงซิ่งมันกล้าทำร้าย เค่อเอ๋อและ ลี่ซวนจนเกือบตาย นี่นับเป็นเพลิงโทสะแห่งความแค้นที่สุมอยู่ในอกของหลิงเทียนมาเป็นเวลานาน

"บางทีนี่คงเป็นโอกาส"

หลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย

หลิงเทียนนั้นมีประสบการณ์เกี่ยวกับการฝึกกองกำลังแนวทหารอะไรนี่เป็นอย่างดี ทำให้ต้วนหลิงเทียนค่อนข้างจะคุ้นเคยและคาดเดารูปแบบของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะโลหิตเหล็กอะไรนี่ได้

เซี่ยวหยูมองไปยังหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวถามออกมาว่า "ต้วนหลิงเทียน แล้วเจ้าสนใจหรือไม่?"

"เจ้าและเมิ่งฉวนกล่าวว่า การทดสอบคัดเลือกของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนั้นจะมีขึ้นในอีก 6 เดือนใช่หรือไม่?" หลิงเทียนกล่าวถามออกมา

"ใช่ แต่หากเจ้าต้องการเข้าร่วมทดสอบ เจ้าต้องเดินทางก่อนล่วงหน้า หนึ่งเดือน... เพราะว่าระยะทางจากเมืองออโรร่าของเราไปยังเมืองโลหิตเหล็กนั้น แม้จะเร่งรีบเดินทางอย่างสุดกำลังนั้นก็ใช้เวลาเกือบเดือนแล้ว" เซี่ยวหยูค่อยๆกล่าวออกมา

"หากเจ้าต้องการไปด้วย เจ้าก็ร่วมทางไปกับข้าและเมิ่งฉวนได้" เซี่ยวหยูกล่าวต่อ

ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้ารับคำเบาๆ แต่ไม่ได้กล่าวว่าเขาจะไปหรือไม่ไป

"ไม่ต้องเร่งรีบ จะอย่างไรก็มีเวลาอีก 5 เดือน"

เซี่ยวหยูยิ้มพร้อมส่ายหน้า

ทั้งหมดมีความสุขและรื่นเริงไปกับงานเลี้ยง...เมื่อใกล้ได้เวลาเลิกรา

"จริงสิ หลิงเทียนวันนี้เจ้าถึงกับตัดนิ้วของลี่ชิงออกเช่นนั้นแม้ว่ามันจะสามารถเชื่อมต่อกลับได้ทันเวลา แต่อย่างน้อยนิ้วชี้มันคงหมดสภาพไปไม่ต่ำกว่าครึ่ง... ลี่ชิงผู้นี้นับว่าเป็นตัวโง่งมหาได้มีอันใดน่าหวาดกลัวไม่ แต่ปู่ของมันนั้นเป็นถึงอาวุโสหลักของตระกูลลี่ เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้บ้าง "

ในขณะที่เซี่ยวหยูและเซี่ยวหลันเดินออกมาส่งคนทั้งหมด หน้าประตูของตระกูลเซี่ยว เซี่ยวหยูก็กล่าวกับหลิงเทียนด้วยความเป็นห่วงและเตือนมันอย่างจริงจัง

"ขอบคุณสำหรับคำเตือน"

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ

เมื่อมองต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยจากไปไกลจนลับตา เซี่ยวหยูก็หันมามองน้องสาวตัวเอง

ดวงตากลมโตงดงามใสกระจ่างของเซี่ยวหลันเจือความเสียดายเอาไว้เล็กน้อย

"หลันน้อย เจ้าสนใจเขาหรือ?"

เซี่ยวหยูกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ

"พี่ใหญ่ท่านพูดเรื่องอันใดกัน?"

แก้มของเซี่ยวหลันพลันมีสีแดงเจือระเรื่อ ก่อนที่นางจะหันหลังแล้วเดินหนีไป

เซี่ยวหยู หัวเราะออกมาเสียงดัง จะอย่างไรสาวน้อยวัยนี้ มักถึงวัยที่มีความรักเป็นธรรมดา

นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนเองยังโดดเด่นและเก่งกาจอย่างมาก ไม่แปลกที่น้องสาวของเขาจะหลงใหลในตัวมัน

ในระหว่างทางกลับเมืองออโรร่าหลินฉวนกล่าวแนะนำขึ้นมา "ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าต้องการไปค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะโลหิตเหล็กข้าคิดว่าเจ้าควรไปหลังจากนี้ สัก 1-2 ปี ... เจ้านั้นแตกต่างกับเซี่ยวหยูและเมิ่งฉวนนัก ยามนี้พวกมันอายุ 18 แล้ว โอกาสของพวกมันไม่มีอีกแล้วหากผ่านพ้นปีนี้ไป แต่เจ้าอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น เจ้ายังเหลือโอกาสในการเข้าทดสอบอีก 2 ครั้ง "

ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะโลหิตเหล็กนั้นจะคัดสรรค์แต่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี เท่านั้น

ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้ารับคำเบา เขาไม่ได้รับคำหรือกล่าวปฏิเสธอะไรออกมา

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงเมืองออโรร่า

"ต้วนหลิงเทียนหากเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรในอนาคต ให้มาหาข้าที่ตระกูลหลินได้ทุกเวลา... ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตที่ข้าสามารถกระทำได้ ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดกำลัง"

ก่อนที่จะจากไป หลินฉวนกล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

"ใช่แล้ว พวกเรานับว่าเป็นสหายกัน เจ้าอย่าได้เกรงใจกันล่ะ" หลินฉีกล่าวเสริมออกมา

“ได้สิ!”

ต้วนหลิงเทียนยิ้มอย่างจริงใจให้ทั้งสองคน

ตอนนี้อาจนับได้ว่าเขาเป็นสหายกับหลินฉีและหลินฉวนโดยสมบูรณ์แล้ว พวกเขาสนิทสนมกันหลังจากที่ได้ต่อยตีกันอย่างแท้จริง

แต่ละคนต่างนับถือซึ่งกันและกัน

"นี่ ตัวเลวร้าย ตอนนี้เจ้าตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดแล้ว เช่นนี้เจ้าก็รักษาปู่ของข้าได้แล้วสิ? "

ในระหว่างเดินทางกลับเขตที่พักตระกูลลี่ ลี่เฟยกล่าวถามกับหลิงเทียนขึ้นมา

“ใช่แล้วเฟยที่รัก”

ต้วนหลิงเทียนตอบด้วยความจริงจัง

"ที่รัก?"

ลี่เฟยสับสน

"อ๋อ มันหมายความว่าภรรยานะ แถบชนบทเขากล่าวกันเช่นนี้"

ตอนนี้หลิงเทียนพึ่งจะรู้ว่าโลกนี้ เขาไม่เรียกภรรยาว่าที่รัก

“เพ้ย! ผู้ใดเป็นภรรยาเจ้า? "

ลี่เฟยสบถออกมาด้วยความเขินอาย

"อ่า ภรรยาที่น่ารักของข้า เจ้ากลับลืมคำมั่นสัญญาของสองเราแล้ว"

ต้วนหลิงเทียนเอื้อมมือทั้งสองข้างออกมาโอบกอดร่างลี่เฟยจนหลังของนางพิงอกแกร่งของมัน

ร่างบอบบางที่แสนงดงามของลี่เฟยสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย ทว่านางกลับไม่ได้ต่อต้านขัดขืน นางเพียงกล่าวออกมาเบาๆว่า "รีบปล่อยข้าเร็วเข้า ด้านหน้ามีผู้คนแล้ว "

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาก่อนที่จะเลิกหยอกล้อนาง เอาล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปดูอาการและช่วยรักษาปู่ของเจ้า วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว คงต้องกลับไปนอนเอาแรงที่บ้านเสียก่อน เจ้านอนหลับฝันดีนะ”

เมื่อทั้งคู่กลับถึงที่พักของตระกูลลี่และหลังจากที่หลิงเทียนเดินไปส่งลี่เฟยแล้ว เขาก็รีบกลับบ้านของเขา

เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ในขณะที่เขาเดินผ่านลานบ้านมานั้น เขาเหลือบไปเห็นสาวน้อยที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางอิดโรย ...

และบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหาร

"เค่อเอ๋อ ... "

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ แค่ดูก็รู้ว่าเค่อเอ๋อนั้นเฝ้ารอเขาอย่างตั้งใจอยู่ทั้งคืน

"นายน้อย"

เค่อเอ๋อเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น นางก็รีบลุกก่อนที่ขยี้ตาเล็กน้อย เมื่อพบว่าเป็นหลิงเทียน นางก็รีบนำมันมานั่งที่โต๊ะ ก่อนที่จะกล่าวออกมา "นายหญิงกล่าวว่าท่านอาจจะทานอาหารนอกบ้านมาแล้ว แต่ข้าก็ยังทำมาเผื่อเอาไว้ นายน้อยท่านกินมาแล้วหรือไม่? "

"เด็กโง่ ข้ายังไม่ได้กินอันใดมาเลย ตอนนี้ข้าหิวมาก เจ้าก็มานั่งกินกับข้าสิ"

ต้วนหลิงเทียนนั่งลงและกินข้าวกับสาวน้อยจนอาหารเกลี้ยงโต๊ะ

ถึงแม้ตอนท้ายๆเขาจะอิ่มจนแทบอ๊วกออกมา แต่ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น

เพราะจะอย่างไรนี่ล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกของเค่อเอ๋อ

เขาไม่อยากทำให้นางผิดหวัง

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนกินอาหารของนางจนเกลี้ยง เค่อเอ๋อก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ หลังจากเก็บจานบนโต๊ะนางก็บอกให้หลิงเทียนกลับไปนอนก่อนได้เลย

"เค่อเอ๋อ ข้าอยากให้เจ้านอนห้องข้า ข้าอยากกอดเจ้า "

ต้วนหลิงเทียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่มองสาวน้อย

สาวน้อยพลันตื่นตระหนกขึ้นมาอีกทั้งแก้มของนางยังแดงเถือก ทว่านางก็พยักหน้าตอบรับ

เมื่อนอนลงบนเตียง กลิ่นหอมบริสุทธิ์จากกลิ่นกายสาวน้อยวัยแรกแย้มพลันอบอวลไปทั่วจมูกของหลิงเทียน ด้านล่างของหลิงเทียนเริ่มร้อนขึ้นทั้งยังตอบสนองต่ออารมณ์ของมัน

แต่ทว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลย เขาเพียงเอื้อมแขนไปช้อนเค่อเอ๋อมากอดเอาไว้ โดยที่มือข้างหนึ่งนั้นประทับไปที่ปทุมบริเวณหน้าอกของนาง และกอดนางเอาไว้อย่างแน่นเท่านั้น

"นะ... นายน้อย ... "

ร่างบางในอ้อมกอดสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

อีกทั้งนางยังรู้สึกถึงวัตถุบางอย่างร้อนระอุเข้มแข็งดันหลังของนาง

"เค่อเอ๋อ นอนเถิด"

เมื่อได้โอบกอดสาวน้อยอีกทั้งได้สูดดมกลิ่นหอมจากสาววัยแรกแย้มทำให้หลิงเทียนนอนหลับสนิทอย่างมีความสุข

เขาไม่ใช่ หลิวเซี่ยฮุ่ย แต่เป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความต้องการและอารมณ์

แต่อย่างไรก็ตามสาวน้อยในอ้อมกอดเขานั้นยังเด็กอยู่มาก เข้าจึงลังเลที่จะทำอะไรกับนางตอนนี้

หากสาวน้อยในอกของเขาตอนนี้คือลี่เฟยเขาจะไม่สนใจทุกสิ่งและพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์และความต้องการของเขาออกมาจากหัวใจจนหมดสิ้น

เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจคงที่ของต้วนหลิงเทียน สาวน้อยค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุข

วันรุ่งขึ้น หลิงเทียนตื่นขึ้นมาในเวลาเกือบเที่ยง

"เวรแล้ว!"

หลิงเทียนนั้นนึกขึ้นได้ถึงสัญญาที่ให้ไว้กับลี่เฟยไว้เมื่อคืน

"นายน้อย"

ตอนนี้เองสาวน้อยในอ้อมกอดก็ถูกปลุกจนตื่นขึ้นมา เพราะเขา

"เค่อเอ๋อ หากเจ้ายังง่วงอยู่ ก็นอนต่อสักหน่อยเถิด"

ต้วนหลิงเทียนรั้งร่างของสาวน้อยมากอด ก่อนที่จะประทับจุมพิตลงไปบนหน้าผากสดใสของนาง แล้วลุกจากเตียงไปสวมเสื้อผ้า

สาวน้อยเองก็ลุกออกจากเตียงและใส่เสื้อผ้าของนาง ก่อนที่จะออกจากห้องพร้อมๆกับหลิงเทียน

แต่ใครจะรู้เล่าในขณะที่หลิงเทียนเปิดประตูออกไป สาวน้อยคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ในลานกว้างจะบังเอิญหันมาทิศทางนี้พอดี

"จะ... เจ้าสองคน ... "

เมื่อเห็นฉากตรงหน้าลี่เฟยก็โกรธมากจนพูดอะไรไม่ออก

"พี่หญิงเฟยเฟย"

เค่อเอ๋อกล่าวทักทายลี่เฟยก่อนที่นางจะวิ่งกลับห้องของตัวเองด้วยความเขินอาย

กลับกันกับต้วนหลิงเทียน ท่าทางของเขายังดูปกติเป็นธรรมชาติ เขาหันไปมองลี่เฟย "เสี่ยวเฟยไปกันเถอะ เมื่อวานข้าเหนื่อยมากเกินไป จึงเผลอหลับยาวถึงเที่ยงเช่นนี้"

เผลอหลับยาว?

ดวงตาของลี่เฟยแทบจะลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง แต่เมื่อนางคิดได้ว่ายังต้องพึ่งพาหลิงเทียนเพื่อให้รักษาปู่ นางจึงต้องระงับอารมณ์เอาไว้

ในขณะที่เดินออกจากบ้านพักพร้อมกับลี่เฟยนั้น หลิงเทียนยังคงได้กลิ่นน้ำส้มสายชูทั้งไห (น่าจะหึงหวงมั้งครับ)

เขาส่ายหัวและยิ้ม

นางนั้นช่างขี้หึงจริงๆ

"จะ...เจ้าสองคน เมื่อคืน ... "

ในที่สุดลี่เฟยก็ทนไม่ได้

"เจ้าอยากรู้ว่าเมื่อคืนข้าทำอันใดใช่หรือไม่?"

ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆราวกับว่าเขาอ่านความคิดของลี่เฟยได้

ลี่เฟยแม้จะไมได้พูดอะไร แต่ท่าทางของนางนั้นฟ้องออกมาหมดสิ้น

"เฮ่อ หากเค่อเอ๋อของข้าเติบโตจนมีวัยเดียวกับเจ้าล่ะก็ หรือไม่หากเมื่อคืนนั้นเป็นเจ้า ข้าคงไม่ต้องระงับเพลิงปรารถนาของข้าตลอดทั้งคืนให้ทรมานหรอก"

ต้วนหลิงเทียนอดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่มันจะใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนามองไปยังลี่เฟย "เสี่ยวเฟยเหตุใดคืนนี้ไม่มานอนกับข้าเล่า?"

“เพ้ย! เจ้าไปนอนกับเค่อเอ๋อของเจ้านู่น "

ลี่เฟยสบถออกมา แต่ท่าทางของนางเองก็อ่อนลงเล็กน้อย

หลิวเซี่ยฮุ่ย* พวกตายด้านมั้งครับ ไม่แน่ใจ

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.