spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 218 แม้แต่องค์ชายยังนินทา
ยายจาวไม่เคยคิดเลยว่านางจะเห็นฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลบุออกจากพระราชวัง นางยังพูดคุยและหัวเราะได้ นางยังได้รับความช่วยเหลือจากนางกำนัล ตระกูลบุ…มันไม่ได้ถูกทำลายจนเกือบสิ้นชื่อหรือ ? พระชายาบุเสียชีวิตและบุหนี่ชางถูกส่งไปอยู่ในสำนักแม่ชี ฮูหยินผู้เฒ่าบุยังคงมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไร?
ยายจาวนิ่งงันเป็นเวลานาน หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลบุเข้าไปในรถม้าของนางและจากไป นางก็เดินไปหาเฟิงเซียงหรู
พอเฟิงเซียงหรูเห็นฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลบุ จิตใจของนางก็เริ่มกระวนกระวายมากขึ้น
ซวนเทียนฮั่วอยู่ข้างนาง แต่เขายืนมือไพล่หลัง วันนี้ค่อนข้างหนาวเย็นและเขาก็ไม่ได้สวมเสื้อคลุม แต่ดูเหมือเขารู้สึกเย็น ๆ เล็กน้อย ยายจาวเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “คุณหนูสาม” จากนั้นนางคุกเข่าลงบนพื้นแล้วพูดกับซวนเทียนฮั่วว่า “บ่าวรับใช้คารวะองค์ชายเจ็ดเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ“
ซวนเทียนฮั่วยกมือขึ้นและกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด”
เฟิงเซียงหรูเดินไปข้างหน้าและช่วยประคองยายจาวลุกขึ้น “ท่านย่ากังวลใช่ไหมเจ้าคะ ? องค์ชายเจ็ดและข้ารอที่นี่ตลอดเวลา แต่พี่รองยังไม่ออกมาเจ้าค่ะ”
ยายจาวถอนหายใจแล้วพูดว่า “จริง ๆ ท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมทานข้าวเย็นเลยเจ้าค่ะ ท่านกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่”
ซวนเทียนฮั่วมองดูทั้งสองและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าจะพาพวกเจ้าทั้งสองคนเข้าไปในพระราชวังได้อย่างไร รอที่นี่ต่อไป…” เขาพูดอย่างนี้ขณะมองมือของเฟิงเซียงหรูซึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความเย็น “มือเจ้าเย็นหมดแล้ว”
“เราเข้าไปในพระราชวังได้หรือไม่เพคะ ? ” ยายจาวก็ไม่มีเหตุผลชัดเจน เมื่อนางเคยเข้าไปในพระราชวังพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่าตลอด แต่เป็นงานเลี้ยง วันนี้จะแตกต่างกัน
ซวนเทียนฮั่วพยักหน้า “ไปกับข้า”
เฟิงเซียงหรูไม่เห็นด้วย “เราไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับฝ่าบาทได้เพคะ เรารออยู่นอกพระราชวังจะดีกว่า ข้างนอกอากาศหนาวมาก ฝ่าบาทไม่ควรมารอกับเฟิงเซียงหรูที่นี่ ตอนนี้ยายจาวมาแล้ว เราสามารถรออยู่ที่นี่ได้เจ้าค่ะ”
ซวนเทียนฮั่วไม่ตอบสนองต่อสิ่งนั้น แต่เขาชี้ไปที่ประตูพระราชวัง “ไม่มีใครต้องรอต่อไป พวกเขาออกมาแล้ว”
ทั้งสองมองไปในทิศทางที่เขาชี้ และแน่นอนว่าพวกเขาเห็นเฟิงหยูเฮงเข็นซวนเทียนหมิงมาที่ประตูพระราชวัง ทั้งสองคน คนหนึ่งสวมชุดสีขาวและอีกคนสวมชุดสีม่วงเดินเล่นในหิมะ มันสวยงามมาก
เฟิงเซียงหรูมองดูทั้งสองและพึมพำอย่างไม่รู้ตัว “ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ซวนเทียนฮั่วหัวเราะอีกครั้ง “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าควรมีความเชื่อมั่นในตัวพี่สาวของเจ้าเอง” หลังจากพูดอย่างนี้เขาก็เดินไปข้างหน้าเพื่อรับพวกเขา
“พี่เจ็ด” เฟิงหยูเฮงเรียกเขาจากระยะไกล “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” มองไปข้างหลังเขา นางเห็นเฟิงเซียงหรูซึ่งใบหน้าเล็ก ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจากความเย็น นางยังเห็นยายจาวซึ่งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
ซวนเทียนหมิงนั่งอยู่บนรถเข็นและอธิบายกับนางว่า “ดูเหมือนว่าน้องสามของเจ้าไปหาพี่เจ็ด และยายจาวก็ถูกส่งมาโดยท่านย่าของเจ้า”
ในเวลานี้ซวนเทียนฮั่วมาถึงด้านข้างของพวกเขาและพยักหน้าพูดว่า "หมิงเอ๋อพูดถูก"
เฟิงเซียงหรูและยายจาวรีบวิ่งไปข้างหน้า ทั้งสองรีบไปคำนับซวนเทียนหมิง เมื่อพวกเขายืนขึ้นพวกเขาทั้งสองก็เดินไปข้างหน้าแล้วแย่งกันถามว่า "คุณหนูรอง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหนูใช่หรือไม่เจ้าคะ ? พี่รองถูกลงโทษหรือไม่เจ้าคะ?”
เฟิงหยูเฮงยิ้ม “ข้าเป็นแค่เด็กผู้หญิง และข้าไม่ได้ละเมิดกฎใด ๆ ทำไมต้องถูกลงโทษ”
ยายจาวมองที่เฟิงหยูเฮง แล้วมองที่ซวนเทียนหมิง จากการปรากฏตัวของพวกเขาไม่เหมือนว่าถูกลงโทษ จากนั้นนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"ดีแล้วเจ้าค่ะ บ่าวรับใช้จะรายงานความปลอดภัยของคุณหนูรองแก่ท่านฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูรองจะกลับพร้อมกับข้าหรือไม่เจ้าค่ะ แล้วคุณหนูสามจะพร้อมข้าด้วยไหมเจ้าคะ ? ”
เฟิงเซียงหรูชี้ไปที่ด้านหลังของนาง “ข้ามีรถม้า ยายจาวกลับก่อนได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าค่ะ” ยายจาวกำลังจะจากไป แต่ถูกหยุดโดยเฟิงหยูเฮง “พวกเรากำลังจะไปทานอาหารที่โรงเตี๊ยมครัวเทพ ยายจาวต้องไปกับข้าด้วย ข้าจะให้พ่อครัวทำอาหารเพิ่มเพื่อนำกลับไปให้ท่านย่าด้วย หลังจากทานเสร็จแล้วค่อยกลับไปรายงานท่านย่า”
ยายจาวรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี นางพยักหน้า “ท่านฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ได้ทานข้าว นำอาหารกลับไปด้วย ท่านคงจะชอบเจ้าค่ะ”
จากนั้นกลุ่มก็ขึ้นรถม้า เนื่องจากรถม้าของซวนเทียนหมิงมีขนาดใหญ่เพียงพอ ทุกคนจึงนั่งด้วยกัน เช่นนี้เฟิงเซียงหรู, ยายจาว, หวงซวน และฉิงซวงนั่งในรถม้าคันเดียวกัน รถม้าเปล่าวิ่งตามหลังพวกเขาไป
ข้างในรถม้า ใครจะรู้ว่ามันเป็นการจงใจหรือไม่ แต่ซวนเทียนหมิงกุมมือของเฟิงหยูเฮงและพูดกับนางว่า “ไม่เป็นไร อย่าไปใส่ใจ ข้าไม่ต้องการบัลลังก์”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คนอื่น ๆ มีปฏิกิริยา แต่ยายจาวตกใจ นางไม่สามารถพูดได้ว่าอะไรคือเหตุผล แต่จิตใจที่นางเพิ่งสงบลงก็กลายเป็นกังวลเล็กน้อยอีกครั้ง
บัลลังก์ ? เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮ่องเต้มีแผนที่จะมอบบัลลังก์ให้กับองค์ชายเก้า ? ตอนนี้ขาของเขาไม่สามารถรักษาให้หายได้ ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้กับความคิดนี้ ? หากเป็นกรณีนี้ ความผิดของคุณหนูรจะใหญ่หลวงมาก !
นางหวังอย่างแท้จริงว่าซวนเทียนหมิงจะพูดมากกว่านี้อีกเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงสามารถนำกลับไปวิเคราะห์สถานการณ์กับฮูหยินผู้เฒ่า น่าเสียดายที่ซวนเทียนหมิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ทุกคนนั่งเงียบในรถม้าจนกระทั่งรถม้ามาถึงทะเลสาบซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมครัวเทพ พวกเขาเท่านั้นที่ได้ยินองครักษ์พูดว่า “ฝ่าบาท เรามาถึงแล้วพะยะค่ะ”
เมื่อทุกคนออกจากรถม้าแล้ว เรือก็เข้ามาทันที เรือเล็กลำเล็ก ๆ ไม่ใหญ่ และนั่งได้แค่ 2 คน เฟิงหยูเฮงไปกับซวนเทียนหมิง และเฟิงเซียงหรูก็ไปกับซวนเทียนฮั่ว หวงซวนและฉิงซวงไปด้วยกัน ปล่อยให้ยายจาวนั่งกับบ่าวรับใช้ของเฟิงเซียงหรู, เหม่ยเซียง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทำให้นางมีโอกาสถามบ่าวรับใช้ “เมื่อคุณหนูสามไปที่ตำหนักชุน องค์ชายเจ็ดพูดอะไรบ้าง ? ”
บ่าวรับใช้คิดครู่หนึ่ง “พระองค์พูดว่าคุณหนูสามต้องเชื่อใจคุณหนูรอง” ที่เหลือนางไม่เข้าใจจริง ๆ
“เห้อ” ยายจาวถอนหายใจอีกครั้งแล้ว “เราจะเชื่อใจนางได้อย่างไร ! ”
ที่ทางเข้าโรงเตี๊ยมครัวเทพ องค์ชายสามซวนเทียนเย่ยืนที่นั่นพูดถึงบางอย่างกับเจ้าของร้าน เมื่อเห็นกลุ่มของซวนเทียนหมิงมาถึง องค์ชายสามยิ้มกว้าง “เจ้าของร้านของเจ้าบอกว่าไม่มีห้องส่วนตัวเหลือแล้ว ข้าคิดว่าข้าคงมาเสียเที่ยว โชคดีที่ข้าได้พบกับน้องเจ็ดและน้องเก้า ให้ข้าร่วมห้องได้หรือไม่ ? ”
ซวนเทียนฮั่วรักษารอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเขาไว้ “การทานอาหารร่วมกับพี่สามคือความสุขของเรา”
ซวนเทียนเย่โบกมือของเขา “เราเป็นพี่น้องไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งนี้” เขาพูดขณะที่ยื่นมือออกไปไสรถเข็นของซวนเทียนหมิง “ข้าได้ยินมาว่ามีปัญหาแทรกซ้อนกับขาของน้องเก้า ข้าไม่รู้ว่าข้าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
ซวนเทียนหมิงยังคงแสดงท่าทีไร้กังวลและไม่พูดอะไร แต่มันเป็นเฟิงหยูเฮงที่ยิ้มและพูดว่า “พี่สามแย่งงานข้าเช่นนี้ อาเฮงยิ่งดูไร้ประโยชน์มากขึ้น”
“น้องสะใภ้พูดอะไรแบบนี้ พี่สามจะส่งคืนให้เจ้า” ในขณะที่เขาพูดอย่างนี้เขาก็เข็นรถเข็นไปยังเฟิงหยูเฮง
เมื่อทุกคนมาถึงชั้นสามและนั่งอยู่ในห้องส่วนตัว ซวนเทียนหมิงพูดในที่สุด “พี่สามมาคนเดียวหรือ ? เหตุใดจึงต้องหาห้องส่วนตัว ชั้นสองมีโต๊ะว่างมากมาย”
เฟิงหยูเฮงแอบกลั้นหัวเราะ ในขณะที่นางคิดกับตัวเอง คนนี้ต้องการอย่างชัดเจน “เจอกันโดยบังเอิญ” เจ้าจะไม่ให้โอกาสเขาบ้างเลยหรือ
“ข้าไม่ชอบนั่งในห้องรวม” ซวนเทียนเย่กล่าว อย่างไรก็ตามทำ เขาทำใจให้เยือกเย็นและยืนยันเรื่องนี้ “เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันมานาน วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี”
“อ่า” ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “เป็นโอกาสอันดีจริง ๆ ”
ไม่ต้องการที่จะดูพี่น้องพยายามจะทะเลาะกัน เฟิงหยูเฮงนำยายจาวเข้าไป พวกเขาสั่งอาหารและบอกเสี่ยวเอ้อให้ห่อกลับ จากนั้นก็บอกให้ยายจาวรออยู่ในห้องโถงใหญ่จากนั้นตรงไปที่คฤหาสน์
ยายจาวต้องการถามบางอย่างแต่เห็นว่าเฟิงหยูเฮงไม่อยากพูดอะไร นางก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับ
เมื่อนางกลับไปที่ห้องส่วนตัว ซวนเทียนเยพูดถึงองค์ชายห้าซวนเทียนหยานและการที่เขามีนางสนมเพิ่มอีกคน “เห็นได้ชัดว่ามันเป็นน้องสาวคนที่สี่ของนางสนม ในท้ายที่สุดเมื่อนางถูกนำตัวเข้าไปในตำหนัก พี่สาวโกรธมากจนนางวิ่งเอาหัวชนเสาตาย และน้องสาวเอามือปิดจมูกนาง และพูดพึมพำว่าเป็นลางร้าย”
ซวนเทียนฮั่วส่ายหัวอย่างไร้ประโยชน์ “เสด็จพ่อได้พูดถึงปัญหาของพี่ห้ามาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถปรับปรุงตัวได้”
ซวนเทียนหมิงตะโกนอย่างเย็นชา “มองพวกนางจากด้านหน้าและด้านข้าง นางสนมทุกคนก็ดูเหมือนกัน”
“ใช่” ซวนเทียนฮั่วพยักหน้า “โดยเฉพาะดวงตาที่มีความคล้ายคลึงกัน”
เฟิงหยูเฮงไม่สามารถช่วยได้ นางส่ายหัวเมื่อฟังคำพูดทั้งสามนี้ “เมื่อผู้ชายนินทา ก็ไม่ด้อยกว่าผู้หญิงจริงๆ”
ไม่มีใครในปัจจุบันสามารถเข้าใจสิ่งที่นางหมายถึง "นินทา" แต่มันคือซวนเทียนเย่ผู้ที่สามารถเดาความหมายของมันโดยพูดว่า "ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดมันเป็นเรื่องไร้สาระ เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะ”
ซวนเทียนหมิงยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าไม่มีนางสนมแม้แต่คนเดียวที่ถูกตีจนตาย”
หัวข้อนี้จบลงอย่างกะทันหันและทุกคนเงียบไป ซวนเทียนเย่ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ และถามเฟิงหยูเฮง “ข้าได้ยินมาหลังจากช่วงราชสำนักตอนเช้า ขาของน้องเก้าไม่สามารถรักษาให้หายได้จริงหรือ ? ”
เมื่อได้ยินเขาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เฟิงหยูเฮงก็รู้สึกหดหู่ใจและมองไปที่ซวนเทียนหมิงเป็นเชิงขอโทษ ก่อนที่จะตอบว่า “เพราะอาเฮงไร้ความสามารถ และขออภัยโทษจากเสด็จพ่อแล้ว”
“ฮะ” ซวนเทียนเย่ถอนหายใจ “มันยากที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตเมื่อนำกองทัพไปสู้รบ ในเวลานั้นเราแนะนำน้องเก้าไม่ให้ไปที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เขาปฏิเสธไม่เชื่อฟัง”
ซวนเทียนฮั่วพูด “พี่สามควรรู้จักบุคลิกของหมิงเอ๋อ เขาอยากทำอะไรเขาไม่ฟังคนอื่นอยู่แล้ว”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดอยู่นั้น เฟิงหยูเฮงมองตาของซวนเทียนเย่ นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูโกรธอยู่เสมอ แต่วันนี้ดวงตาของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความกังวลสำหรับอาการบาดเจ็บที่ขาของซวนเทียนหมิง แต่อาจมีบางครั้งที่ความโลภจะซึมผ่าน มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนส่วนใหญ่ที่จะสังเกตเห็น แต่เฟิงหยูเฮงได้คอยสังเกตเขาอย่างละเอียด
อย่างที่นางคาดไว้ อาการบาดเจ็บที่ขาของซวนเทียนหมิงเป็นข่าวดีอย่างแน่นอนสำหรับซวนเทียนเย่ และการปรากฏตัวของเขาในวันนี้มีแนวโน้มที่จะค้นหาความจริงด้วยตัวเอง เฟิงหยูเฮงรู้ว่าขณะที่นางกำลังตรวจสอบเขา เขาก็ตรวจสอบนางด้วยเช่นกัน แต่นางเชื่อมั่นว่านางเสแสร้งเก่งกว่าเขา นางสามารถสังเกตเห็นรายละเอียดบางอย่างที่ซวนเทียนเย่ไม่สามารถทำได้
“เสด็จพ่อตรัสว่าพระองค์ผิดหวังในตัวข้ามาก” เฟิงหยูเฮงกล่าวเสริมเรื่องนี้ ใบหน้าของนางเริ่มเศร้าเมื่อมองไปที่ซวนเทียนหมิง ดวงตาของนางเปิดเผยให้เห็นความรู้สึกและสำนึกผิดอย่างมาก
“เจ้าไปฟังเขาทำไม” ซวนเทียนหมิงไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะเขายังดูไร้มารยาทและไร้ความรับผิดชอบ เขาถือถ้วยไวน์ในมือข้างหนึ่งและเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งเพื่อลูบหัวเฟิงหยูเฮง “คนที่แต่งงานกับเจ้าคือข้า ไม่ใช่เสด็จพ่อ”
ซวนเทียนเย่หัวเราะเสียงดัง “ในท้ายที่สุดมีแต่น้องเก้าที่ใจคอกว้างขวาง”
ซวนเทียนฮั่วส่ายหัว และยิ้มอย่างขมขื่น “มีเพียงหมิงเอ๋อเท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนี้”
เฟิงหยูเฮงเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนางและควานมือหาอะไรสักพัก นางดึงกล่องยาวและประณีตออกมา โชคดีที่เสื้อผ้าฤดูหนาวมีแขนที่ใหญ่กว่า ถ้าเฟิงหยูเฮงดึงกล่องนี้ออกจากชุดฤดูร้อนของนางคงมีคนเห็นแล้วและรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าฤดูหนาวปิดได้ดี
นางเปิดกล่องเล็ก ๆ และทุกคนก็สูดหายใจลึก ๆ เมื่อมองเข้าไปข้างใน ข้างในกล่องเป็นปิ่นปักผมหงส์เพลิงที่เฟิงหยูเฮงได้เป็นรางวัลในงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วง
พวกเขาได้ยินซวนเทียนหมิงพูดว่า “สิ่งนี้ควรเสียบอยู่บนหัวของเจ้าหรือเอาไว้ที่เรือน เจ้าคิดจะทำอะไร ? ”
เฟิงหยูเฮงกล่าว “ข้าต้องการคืนปิ่นปักผมหงส์เพลิงให้เสด็จพ่อ แต่ตอนนั้นข้ารู้สึกประหม่าและกลัวจนข้าลืมไป”
ขณะที่นางพูดสิ่งนี้ นางหันไปมองฉิงซวงซึ่งอยู่ข้างนาง ดวงตาของนางเห็นชัดเจนว่านิ้วของฉิงซวงกระตุกเมื่อเห็นปิ่นปักผมหงส์เพลิง