spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
“ฮู !”
หลังจากผ่านไปสองวันเจี้ยงเฉินเปิดตาขึ้นอีกครั้ง. การตัดผ่านถึงระดับที่แปดทำให้เกิดแรงดึงดูดของพลังงานจากภายในมากขึ้น,ความคิดพุ่งออกมาเหมือนกับเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ.
ประโยชน์ของการกลั่นหัวใจนกกาเหว่าไฟเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในแต่ละวัน.
"ช่างน่าเหลือเชื่อที่ประโยชน์ของหัวใจของนกกาเหว่าไฟจะมีมากมาย. ในอัตรานี้,ถ้าข้ายังคงอยู่ในพื้นที่ส่วนนภาในอีกสักสามเดือน,ข้าอาจจะตัดผ่านระดับสู่อาณาจักรปราณจิตวิญญาณระดับที่เก้า "
เจี้ยงเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามหาสมุทรวิญญาณของเขามีพลังวิญญาณที่เต็มไปด้วยแหล่งพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุดจากหัวใจนกกาเหว่าไฟ.
"อืม,นี่เป็นเส้นทางของเต๋าศิลปะการต่อสู้ที่ข้าต้องการ. นี่เป็นชีวิตที่น่าตื่นเต้นของเต๋าศิลปะการต่อสู้ ! " เจี้ยงเฉินเบิกบานใจเมื่อรู้สึกถึงพลังวิญญาณอันสดใสในใจของเขา.
"ข้าอยู่ที่นี่มาได้สักระยะแล้ว. ข้าสงสัยว่าโลกภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง? นิกายตะวันม่วงคงไม่หยุดนิ่งหลังจากที่ข้าสังหารหลงยู่ซื่อ. หากพวกเขาระบายความโกรธลงกับคนของข้า,จะไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาที่จะหลบภัยในอาณาจักรนภาจันทร์.
เจี้ยงเฉินเป็นห่วงคนของเขาเสมอ. เขารู้สึกว่าถึงแม้ว่าภูเขาอมตะจะเหมาะสำหรับการบ่มเพาะ,แต่ยังไงวันหนึ่งเขาก็ต้องออกจากที่นี่.
มิฉะนั้นความห่วงใยที่เขามีต่อคนข้างนอกจะทำให้จิตใจของเขาระส่ำระสาย. นี่เป็นผลเสียต่อการบ่มเพาะ.
"ตอนนี้ข้าอยู่ที่ระดับปราณจิตวิญญาณระดับที่แปด,และห่างจากระดับที่เก้าเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น. เมื่อข้าไปถึงระดับที่เก้า,ข้าจะสามารถทำทุกอยากที่ต้องการได้ในสิบหกอาณาจักร,ยกเว้นการแทรกแซงจากบรรพบุรุษ. ถึงข้าจะอยุ่ในระดับแปดตอนนี้,ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเมื่อต้องเผชิญกับคนที่อยู่ในระดับที่เก้า. แม้แต่ระดับเทพวิญญาณข้าก็สามารถรับมือได้ "
การตัดผ่านที่ต่อเนื่องของเจี้ยงเฉิงยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง.
เมื่อระดับการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นและเขาสามารถควบคุมเทคนิค "กระแสน้ำแห่งมหาสมุทร" ได้ทุกรูปแบบ,เขาเริ่มพัฒนาเทคนิคในระดับที่สูงขึ้นโดยใช้ความลึกลับที่ไม่พบในวิธีการดั้งเดิม.
ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับเต๋าดาบเกินกว่าที่คาดเมื่อเขาสังหารหลงยู่ซื่อ.
เขาเข้าใจเก้าวัฏจักรของการบานและเหี่ยวแห้งจากเทคนิค "หมัดศักดิ์สิทธิ์อันนิรันดร์" ด้านที่แข็งแกร่งที่สุดของเทคนิคนี้คือความสามารถในการเกิดใหม่.
ความลึกลับภายในเทคนิค "หมัดศักดิ์สิทธิ์อันนิรันดร์" หมายความว่าเมื่อเจี้ยงเฉินฝึกเทคนิคอื่นๆ, เขาจะสามารถดูดซึมเทคนิคต่างๆได้ตามธรรมชาติ,และทำให้เขาเข้าใจถึงจุดสำคัญ.
เจี้ยงเฉินยังมีประสบการณเกี่ยวกับทั้งสี่ทักษะของเทคนิค "มีดบินทะลวงจันทรา" ตอนนี้. อีกทั้งมีดบินถูกหลอมให้เข้ากับขนนกกาเหว่าไฟ,และมันก็เหมือนกับการใส่ปีกให้กับเสือ.
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อสี่ทักษะของเทคนิค "มีดบินทะลวงจันทรา" พัฒนาต่อไป,พลังของเทคนิคนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน.
ทักษะนัยน์ตาของพระเจ้า,ทักษะหูของเทพแห่งลมประจิม,ทักษะหัวใจดั่งศิลาและทักษะญาณทิพย์,ทั้งหมดยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเมื่อเจี้ยงเฉินตัดผ่าน.
ไผ่ตายของเขา,บงกชอัคนีเหมันต์,ตอนนี้เขาสามารถควบคุมมันได้ถึงสี่สิบเก้าเถาวัลย์ในเวลาเดียวกัน.
ความสามารถของดอกบัวขึ้นอยู่กับระดับการบ่มเพาะของเขา.
ยิ่งร่างกายและมหาสมุทรวิญญาณแข็งแกร่งมากเท่าใด,ดอกบัวก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น.
นั่นหมายความว่าดอกบัวยังพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง.
มันเป็นสมบัติแห่งของสวรรค์,แต่รูปแบบปัจจุบันของมันยังคงห่างไกลจากระดับสูงสุด.
เจี้ยงเฉินตระหนักดีถึงเรื่องนี้ดังนั้นเขาจึงกังวลเกี่ยวกับวิวัฒนาการของดอกบัว.
"มันน่าเสียดายที่วันนั้นบนสังเวียนข้าไม่สามารถกลั่นเลือดของหลงยู่ซื่อได้. ถ้าข้าสามารถใช้ร่างฟีนิกซ์สวรรค์ของหลงยู่ซื่อ,พลังของดอกบัวจะเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งระดับ "
เจี้ยงเฉินรู้สึกเสียดายแต่มันไม่ถึงกับทำให้เขาเศร้าใจ. มันยังมีโอกาสอื่นๆอีกมากมายเช่นนี้ในอนาคต.
นอกเหนือจากดอกบัว,ภูเขาแม่เหล็กสีทองยังเป็นขุมสมบัติอันล้ำค่า.
นับตั้งแต่เข้าอาณาจักรปราณจิตวิญญาณนภา,เจี้ยงเฉินเริ่มสามารถควบคุมอำนาจพลังแม่เหล็กได้ดีขึ้น. เขาสามารถเรียกสนามแม่เหล็กได้อย่างง่ายดายในตอนนี้,ส่วนที่เหลือก็คือพายุแม่เหล็กที่เขายังเรียกไม่ได้.
"ถ้าข้าสามารถสร้างพายุแม่เหล็ก,ข้าก็สามารถต่อสู้กับบรรพบุรุษได้. อย่างน้อยที่สุดข้าก็มั่นใจว่าจะหนีรอด,หากไม่สามารถยื้อการต่อสู้ไว้ได้. "
แม้ว่าพลังของเขายังไม่ถึงระดับที่เขาจะสร้างพายุแม่เหล็ก,แต่เขาก็ฝึกสายตาสาปอมหิตไว้บ้างแล้ว.
ลำแสงที่ยิงออกมาจากสายตาชั่วร้ายบนภูเขาแม่เหล็กสีทองได้สร้างความประทับใจให้กับเจี้ยงเฉิน.
ทักษะนี้มีประโยชน์มากกว่าอาวุธลับ. ศัตรูทั้งหมดจะถูกแช่แข็งด้วยพลังแม่เหล็กอันยิ่งใหญ่ก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกตัว. เป็นทักษะที่น่าเกรงขาม !
ดังนั้นเจี้ยงเฉินใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเพื่อฝึกวิชาลับนี้.
การฝึกสายตาสาปอมหิตไม่ใช่เรื่องง่าย. ดีที่เจี้ยงเฉินได้ฝึกฝนทักษะนัยน์ตาของพระเจ้าไว้บ้างแล้ว,ถือว่าเขามีฐานที่มั่นคงในศิลปะที่ใช้ประโยชน์จากดวงตา.
เขาใช้พลังของโลหะเป็นประจำทุกวันเพื่อหลอมและเพิ่มพลังให้กับตัวเอง.
วิชาสายตาสาปอำมหิตไม่ใช่แค่ศิลปะแห่งดวงตาเท่านั้น,แต่มันยังเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของหัวใจด้วย. มันรวมพลังโลหะด้วยพลังของหัวใจเพื่อสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ที่ใช้แช่แข็งวิญญาณและจิตสำนึกของคนในชั่วขณะหนึ่ง,แล้วใช้พลังโลหะเพื่อทำให้คนที่ถูกสาปเป็นรูปปั้นแข็ง.
สำหรับเจี้ยงเฉิน,วิชาสายตาสาปอมหิตนี้เป็นศิลปะศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะสำหรับเขา.
เขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นในการฝึก.
หลังจากได้ฝึกทักษะนัยน์ตาของพระเจ้าแล้ว,ทักษะเกี่ยวกับดวงตาของเขาก็สูงก
ต้องขอบคุณทักษะหัวใจดั่งศิลา,หัวใจของเขาแข็งแรงมากจนแม้แต่บรรพบุรุษระดับอาณาจักรต้นกำเนิดยังชื่นชมเขา.
แหล่งที่มาของพลังโลหะจะไม่มีวันหมดสิ้นไปจากภูเขาแม่เหล็กสีทอง. เจี้ยงเฉินเพิ่มการกลั่นกรองพลังงานประจำวันลงในร่างกายเพื่อฝึกฝนตัวเองและฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงเก้ารูปแบบของปีศาจและเทพเจ้า,เขาจึงไม่ขาดแคลนพลังของธาตุโลหะ.
เขามีครบทั้งสามข้อกำหนดอย่างอุดมสมบูรณ์.
ดังนั้น,เจี้ยงเฉิ่นจึงฝึกฝนทักษะสายตาสาปอำมหิตอย่างรวดเร็ว. ต้องขอบคุณประสบการณ์ศิลปะเกี่ยวกับดวงตา,เพราะมันช่วยทำให้เขาแทบจะไม่เจอกับปัญหาและความเจ็บปวดในระหว่างการฝึกซ้อม.
ด้วยพลังแห่งหัวใจและทักษะความเข้าใจที่แท้จริง,เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาทักษะสายตาสาปอำมหิตในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา. ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับรูปปั้นตัวใหญ่บนภูเขา,เจี้ยงเฉินก็สามารถควบคุมพลังของรูปปั้นได้ประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์.
"อืม,ถ้าข้าสามารถปรับใช้พลังของรูปปั้นได้สักห้าสิบเปอร์เซ็นต์,ข้าจะสามารถทำลายล้างคนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ทันที. ถ้าข้าควบคุมได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์,ข้าคงสามารถทำให้จิตใจของเทพวิญญาณสับสนได้. ถ้าข้าสามารถควบคุมพลังได้ร้อยเปอร์เซ็นต์,ข้าจะมีหวังที่จะท้าทายบรรพบุรุษอาณาจักรต้นกำเนิด. ถ้าข้าทำได้ดีกว่านั้น ... ข้าจะมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะอาณาจักรต้นกำเนิด "
เจี้ยงเฉินรู้ดีว่าพลังของทักษะสายตาสาปอำมหิตไม่มีข้อจำกัด,เช่นเดียวกับที่พลังของรูปปั้นที่ถูกสาปไม่ใช่พลังขั้นสูงสุดของมัน.
พลังของทักษะสายตาสาปอำมหิตขึ้นอยู่กับผู้ฝึกฝนบ่มเพาะ.
ถ้าเจี้ยงเฉินตัดผ่านจนถึงอาณาจักรต้นกำเนิด,เขาจะสามารถบดขยี้เพื่อนของเขาได้อย่างง่ายดายเมื่อเขาใช้ทักษะสายตาสาปอำมหิต.
ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากประตูหลังจากที่เขาพยายามจะเข้าใจถึงเทคนิคของเขาทั้งหมด. เขาอารมณ์ดีมากในขณะที่เขาสูดอากาศที่ไม่เหมือนใครของพื้นที่ส่วนนภา.
ในช่วงที่ข้ายุ่งกับการการฝึกฝนบ่มเพาะ,ข้าสงสัยว่าอาการของฮ่วงเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง?
เจี้ยงเฉินไม่ได้ลืมความรับผิดชอบของตัวเอง,เขาผลักประตูและเดินไปเข้าไปในบ้านพักของฮ่วงเอ๋อและอาวุโสชุน.
"อะไรรึ? เจ้าอยากจะออกไปจากที่นี่? "
เจี้ยงเฉินบอกความปรารถนาที่จะออกไปเมื่อเห็นว่าอาการของฮ่วงเอ๋อคงที่. อาวุโสชุนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้.
เจี้ยงเฉินพยักหน้ายืนยัน. "ข้าอยู่ที่นี่นานเกินไป,ข้ายังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบอีกมากมายข้างนอก. ข้าอยากจะกลับไปดูแทนที่จะนั่งกังวล. เพราะหากข้ายังกังวลอยู่,ข้าก็ไม่สามารถฝึกฝนต่อไปได้ง่ายๆ "
หากใจของผู้ฝึกฝนวุ่นวายในระหว่างการบ่มเพาะ,มันก็จะทำให้เกิดปีศาจภายในได้ง่ายมาก.
อาวุโสชุนเงียบนิ่งครู่หนึ่งและพยักหน้าเบา ๆ ถามว่า "เจ้าวางแผนที่จะกลับไปยังนิกายพฤกษาสวรรค์ใช่หรือไม่ ?"
"ใช่แล้ว,ข้าเลือกพวกเขาแล้ว,ข้าต้องให้คำตอบพวกเขาด้วยเช่นกัน. ตอนนี้วิกฤติคือการอยู่รอดของสหราชอาณาจักรทั้งสิบหกและสถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว,มันน่าเสียดายที่จะพลาดทุกอย่าง "
เจี้ยงเฉินไม่ได้วางตัวหยิ่งแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง. เท้าของเขายังติดแน่นอยู่บนพื้นดิน.
เมื่อเขาคิดว่าพันธมิตรทั้งสิบหกอาณาจักรเป็นเพียงมุมเล็กๆของโลก,ความสุขที่เขารู้สึกได้จากการเอาชนะหลงยู่ซื่อดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย.
การสังหารหลงยู่ซื่อเป็นเพียงการชำระความแค้น,มันไม่ได้เป็นเรื่องสุดท้ายของชีวิต. ความท้าทายที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้น.
เขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่จะขึ้นไปบนฟากฟ้าเพียงก้าวเดียว,แต่อยากจะทำทุกสิ่งอย่างช้าๆ แต่ให้มันแน่นอน.
อาวุโสชุนชื่นชมทัศนคติของเจี้ยงเฉินอย่างชัดเจน. ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนอวดดีและไม่รีบร้อน,และไม่คิดว่าตัวเองเก่งกาจหลังจากวินิจฉัยโรคของฮ่วงเอ๋อ. เจี้ยงเฉินไม่เคยร้องขออะไรหรือต้องการเรียนรู้เรื่องซุบซิบจากเขา.
เขาไม่หยิ่งเมื่อได้รับชัยชนะและไม่หดหู่ใจเมื่อพ่ายแพ้,เขาไม่ได้ไปหาอะไรนอกเหนือจากความเข้าใจและไม่หลงตัวเอง.
"ไม่เป็นไร,ถึงเวลาที่เราต้องจากกันแล้ว. ถ้าเช่นนั้น,ข้าอาจต้องรบกวนเจ้าเกี่ยวกับการรักษาฮ่วงเอ๋อ. ข้าจะออกไปหาไม้จตุชาติสุคนธ์,แต่ฮ่วงเอ๋อป่วยและไม่เหมาะสมที่จะเดินทางไปกับข้า. หากอาการของนางกำเริบข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี. มันจะเป็นการก้าวก่ายเกินไปมั้ยหากขอให้เจ้าช่วยดูแลฮ่วงเอ๋อ? "
อาวุโสชุนใช้คำพูดอย่างรอบคอบ,เนื่องจากเขาได้พิจารณาเรื่องนี้ไว้แล้ว.
เขาต้องการที่จะออกไปตามหาไม้จตุชาติสุคนธ์.
อย่างไรก็ตามเขาไม่อยากทิ้งฮ่วงเอ๋อไว้และทำให้นางรู้สึกลำบากใจ.
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน,ก่อนที่เขาจะพูดเรื่องนี้ออกมา,เขามั่นใจว่าเจี้ยงเฉินเป็นคนที่เชื่อถือได้.
เจี้ยงเฉินมองฮ่วงเอ๋อ. นางก็มองเขาเหมือนกัน. ดวงตาของนางดูสดใส,แต่เขาเข้าใจความหมายในสายตานั้น.
แม้ว่าเขาจะปฏิเสธคำขอนี้,นางก็จะเข้าใจและจะไม่โทษเขาเลย.
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเจี้ยงเฉินได้ทำการวินิจฉัยแล้ว,เขาจึงตัดสินใจที่จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่างไปจนจบ. เขารู้ว่าอาวุโสชุนอยากไปตามหาไม้จตุชาติสุคนธ์. เนื่องจากอาวุโสชุนได้ร้องขอเรื่องนี้,ทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้ด้วยความเคารพ.
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม,มันก็เป็นหน้าที่ที่เจี้ยงเฉินต้องทำหลังจากที่อาวุโสชุนได้ช่วยชีวิตเขาไว้ถึงสองครั้ง.
"หากฮ่วงเอ๋อไม่คิดว่าข้าเป็นคนหยาบคายและต่ำช้า,ข้าก็ยินดีที่จะดูแลนาง. ฮ่วงเอ๋อเองเป็นคนมีไหวพริบมาก,ข้าจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก.
คำพูดของเจี้ยงเฉินแปลว่าเขาเห็นด้วยกับอาวุโสชุน.
อาวุโสชุนรู้สึกยินดีเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้. เขากลัวว่าเจี้ยงเฉินจะปฏิเสธ.
เมื่อฮ่วงเอ๋อได้ยินว่าเจี้ยงเฉินยอมรับ,แสงแวบวับกระพริบผ่านดวงตาของนางเช่นกัน. หัวใจของนางสั่นสะเทือน,นางรู้สึกซาบซึ้งกินใจ.
นางปลอมตัวโดยแกล้งทำให้หน้าตาของตังเองอัปลักษณ์น่าเกลียดเพราะต้องการจะทดสอบสาวกสามัญคนนี้.
เมื่อนางเห็นว่าเขาไม่ได้รังเกียจใบหน้าอัปลักษณ์ของนาง,นางจึงมั่นใจว่าเจี้ยงเฉินเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง.
อย่างไรก็ตามการจากไปของอาวุโสชุนทำให้นางรู้สึกเศร้าเล็กน้อย. นางเคยชินกับการมีอาวุโสชุนอยู่ข้างเรื่อยมา.
นางอดที่จะรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้ถึงนางจะรู้ดีว่าการจากไปอย่างกะทันหันของเขาเป็นเพาะโรคของนาง.