spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 323: โครงสร้าง
ความต่างที่สุดของปราสาทจีนและยุโรปคือปราสาทยุโรปมักจะสร้างให้มียอดแหลม ส่วนปราสาทจีนนั้นจะมีหอคอยที่มีชายคา
แน่นอว่าในยุคนี้ปราสาทจีนน่ะสร้าง โดยการออกแบบเดียวกันและมีอาวุธป้องกัน ทั้งปราสาทประกอบด้วยกำแพงส่วนนอก, ประตู, แนวโจมตี, ป้อมปืน, สะพานและเครื่องไอน้ำ
ทั้งปราสาทมีพื้นที่ 30,000 ตร.ม.ซึ่งรวมถึงตึกหลักที่มีพื้นที่กว่า 10,000 ตร.ม.และลานจอดยานที่มีพื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม. ตำแหน่งที่สร้างปราสาทนั้นอยู่ที่ตีนภูเขาหยุนจูซึ่งใกล้กับเมืองมังกรขาว ทั้งปราสาทนั้นต้องใช้เงิน 460,000 ทองซึ่ง จางเทีย ได้ยืมมาจากธนาคารที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการค้าลองวิน จางเทีย ได้มอบหมายหน้าที่พวกนี้ให้ทีมก่อสร้างของกลุ่มการค้าลองวิน
จางเทีย ต้องคุยเรื่องฟังก์ชันการทำงานของปราสาทกับทีมสร้างและบอกความต้องการและความเห็นของเขาต่อปราสาท ดังนั้นแล้วทีมช่างจึงเลือกตำแหน่ง 3 ที่ให้ จางเทีย และเขาก็ได้เลือกภูเขาหยุนจูเป็นตำแหน่งที่สร้าง
อีกอย่างแล้วเขาได้เซ็นเอกสารข้อตกลงสองฉบับ อันแรกเป็นการยืมเงิน อีกอันนั้นคือค่าตกลงการสร้าง หลังจากที่เซ็นเอกสารทั้งสองอันแล้ว ในบ่ายวันเดียวกัน ทีมก่อสร้างกว่า 600 คนก็ได้มาถึงที่ภูเขาหยุนจูโดยยานขนาดใหญ่และเริ่มขนของจำนวนมากที่ใช้ไว้ในการก่อสร้างลงมา
ตอนนั้น จางเทีย ไม่รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิจะมาสร้างตึกบนเกาะ นอกจากเขตพักอาศัยบนเกาะแล้ว คนเราสามารถสร้างบ้านและโรงงานในเมืองได้บ้าง มีแค่นักเรียนของวังมังกรลับเท่านั้นที่จะซื้อที่ดินและสร้างตึกได้ นี่แหละคือวิธีที่เกาะนี้ได้พัฒนาขึ้นมา
ที่ดินพื้นที่กว่า 200,000 ตร.ม.บนภูเขาหยุนจูนั้นคิดเป็นเงิน 18,000 ทองซึ่งถือว่าแพงอย่างมาก ในที่อื่นเขาสามารถซื้อได้เป็นแสนตารางเมตรรึอาจจะซื้อภูเขาได้ทั้งลูก
ในยุคนี้แล้วที่ดินด้านนอกกำแพงนั้นไม่ได้มีค่ามากมายเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเขตที่กำลังพัฒนา เอาเมืองแบล็คฮ็อตเป็นตัวอย่าง เขตดำมากมายบนแผนที่รอบเมืองนั้นไม่มีเจ้าของ ใครที่แข็งแกร่งพอก็จะไปสร้างปราสาทที่นั่นได้ถ้าต้องการ
แต่ตอนนี้ จางเทีย ได้จมอยู่กับความพอใจที่มีปราสาทของตัวเอง ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่สนถึงราคาที่ดินเลยสักนิด อีกอย่างแล้วเมื่อเขาคิดว่าเขาจะได้เป็นเจ้าของปราสาท เขาก็เริ่มเพ้อและรู้สึกว่าตรงหน้าเขานั้นไม่ใช่ความจริง
จางเทีย ไม่คิดมาก่อนเลยว่ายีสต์พลังงานจะเปลี่ยนชีวิตเขาได้ขนาดนี้ เมื่อคิดถึงไส้เดือน,ด้วงทองคำและปลาเกล็ดทราย จางเทีย ก็เริ่มทึ่งกับโลกนี้และผู้ที่สร้างมัน
ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ถือว่าไม่มีคุณค่า นี่คือสิ่งที่ จางเทีย กระจ่างมาในหลายวันมานี้ ด้วยความกระจ่างนี้ จางเทีย เริ่มสงสัยว่าแม้แต่ไส้เดือนและยีสต์เองก็มีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลก ความสามารถพิเศษนั้นคือมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดที่สร้างโดยผู้สร้างงั้นเหรอ ?
จางเทีย สงสัยว่าแต่ละคนจะมีความสามารถพิเศษรึเปล่า ยกตัวอย่างเช่นไส้เดือนที่เกิดมากับความอึดและกันพิษ ด้วงทองคำที่เกิดมาพร้อมกับแรงที่แบกของหนักกว่าตัวเองได้เป็นพันเท่า ยีสต์ก็เกิดมามีความสามารถในการหมัก ไม่มีใครสอนพวกมันให้ทำแบบนั้นแต่พวกมันรู้ พวกมันทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง
มนุษย์เกิดมามีสัญชาตญาณและความสามารถที่เปลี่ยนแปลงโลกได้มั้ย ? นี่ใช่สัญชาตญาณมั้ยที่คนเราต้องหายใจและทำสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ?
‘ คนเราน่ะระดับสูงกว่าพวกสิ่งมีชีวิตอย่างไส้เดือน, ด้วงทองคำและยีสต์ ‘ จางเทีย คิดว่าถ้าคนเราไม่มีความสามารถพิเศษแบบนั้น นั่นนี่ก็คงยืนยันกฎของจักรวาลไม่ได้ แน่นอนสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องมีความสามารถที่สุดยอด
ถ้าคนมีความสามารถนี้ล่ะ ? ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ? ในยุคนี้แม้แต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ คนส่วนมากเรียนรู้พรสวรรค์มาจากโรงเรียนและที่อื่นๆ ไม่มีใครสามารถใช้มันออกมาได้ตั้งแต่เกิด แล้วเหตุผลมันคืออะไร ? มนุษย์น่ะคือข้อยกเว้นของกฎจักรวาลรึลืมพรสวรรค์พิเศษไป ?
จางเทีย คิดไปต่างๆนาๆและสงสัยแต่เขาไม่ได้คำตอบมัน แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้คำตอบแต่ จางเทีย ก็ไม่ได้มัวแต่จมปลักกับมันทั้งวัน เขากลับฝังมันไปในสมองตัวเอง -- มนุษย์เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่สุดยอดแต่กลับไม่ใช้มันออกมางั้นเหรอ ?
จางเทีย พบว่าปราสาทของเขาเริ่มก่อปรากฏขึ้นมาบนภูเขาอย่างรวดเร็วโดยฝีมือช่างเหล่านี้
ในวันที่สามตั้งแต่ที่ทีมก่อสร้างมาถึง อยู่ๆก็มีเสียงระเบิดของเครื่องจักรหลายอัน ที่ดินของพื้นที่จอดยานได้ถูกเคลียร์ออก หลังจากนั้นพวกเขาก็ปูพื้นด้วยรางรถต่างๆ หลังจากนั้นยานขนาดต่างๆก็บินไปที่นั่นทุกวันและได้ขนวัตถุก่อสร้างมากมายออกมา
ในตอนที่ลานจอดยานง่ายๆนั้นสร้างเสร็จ ภายใต้เสียงระเบิด ลานของปราสาทก็เสร็จใน 4 วัน หลังยากนั้นโครงสร้างเหล็กก็เริ่มถูกสร้างขึ้นมาก่อนจะเทปูนลงไป จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสร้างบล็อกขนาดใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ
โครงของปราสาทนั้นถูกสร้างด้วยเหล็กซึ่งกลุ่มการค้าลองวินได้ส่งผ่านยานมา ทีมก่อสร้างได้ต่อมันเข้าหากันก่อนจะเทปูนลงไป ผลก็คือปราสาทเริ่มต่อกันเหมือนไม้ไผ่หลังจากที่งอกขึ้นมา
ภายใต้โครงสร้างนี้ ทีมก่อสร้างได้ใช้เวลาแค่ 13 วันก็ทำโครงสร้างเสร็จ
หลังจากที่ทำโครงเสร็จแล้ว ก็ได้มีก้อนปูนขนาดใหญ่มาที่ภูเขาซึ่งแม้ว่าจะดูน่าเกลียดแต่มันก็ยังแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาทได้
ในวันที่ 15 มิถุนายน หลังจากที่ปลุกจุดชีพจรได้แล้ว จางเทีย ก็ปลุกจุดชีพจรจุดที่ 13 ที่หลังได้และเป็นนักสู้ระดับ 7 ตราบใดที่รวมไฟวิญญาณของตะขาบมาได้ จางเทีย ก็จะกลายเป็นนักสู้ระดับ 7 อย่างเป็นทางการ ผลก็คือพลังฉีต่อสู้ของ จางเทีย ได้เปลี่ยนจากแมงมุมยักษ์เป็นตะขาบที่ดูน่ากลัว อีกอย่างแล้วพลังฉีต่อสู้เหล็กโลหิตนั้นก็ได้พัฒนาขึ้นไปอีก
ในวันเดียวกัน จางเทีย ได้รับแจ้งเตือนจากหุบเขาสมุนไพรว่าขวดยาล็อตแรกของเขาได้มาถึงแล้ว
ในตอนที่พวกพนักงานเห็น จางเทีย ที่หุบเขา หยางหยวนคัง ก็ได้มาทักเขาที่หน้าประตูของสนามฝึกดาบ
เทียบกับพื้นที่ฝึกการเคลื่อนไหวแล้ว พื้นที่ฝึกดาบนี้น่ะแปลกมากว่าและมีใครสามารถผ่านการทดสอบได้โดยโชค
มีท่าพื้นฐานของดาบแค่ 8 ท่าซึ่งมีผ่า,แยก,สับ,ยก,สะบัด,ยกขึ้น,แทง, เฉือน...
ถ้าใครต้องการที่จะผ่านการทดสอบไปได้ ต้องฝึกแต่ละท่ามากว่า 1 ล้านครั้ง ทุกคนได้ฝึกกับหุ่นยนต์เหล็กซึ่งจะคำนวนว่าพวกเขาได้โจมตีได้กี่ครั้งในจุดที่โจมตี ยกตัวอย่างเช่นถ้าโจมตีตา,คอรึหัวใจ ข้อมูลก็จะแสดงตัวเลขที่สูงกว่าเดิมออกมา
ก็คล้ายๆกันถ้าโจมตีไปที่คอ, มือ,และเท้า ข้อมูลก็จะเปลี่ยนไป แขนทั้งสี่ของหุ่นยนต์นั้นใช้อาวุธต่างกันไปด้วยจังหวะที่กำหนดไว้แล้ว การป้องกันรึการโจมตีของแขนทั้งสี่นั้นเป็นเส้นตรงที่ใช้ท่าต่างๆออกมา
เพื่อรับมือกับการโจมตีของหุ่นยนต์แล้ว มาตรฐานต่ำที่สุดในการผ่านการทดสอบไปได้คือต้องทำมันให้ได้ 1 ล้านครั้งในแต่ละท่า
นี่คือการฝึกที่ยากที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยไม่ไปถึงจุดที่ชำนาญ
ก่อนหน้านี้ จางเทีย สงสัยว่าทำไมทักษะดาบถึงได้เป็นวิชาเลือกในแผนก แทนที่จะเป็นวิชาดาบยาวรึหอก ในที่สุด จางเทีย ก็เข้าใจว่าทำไมคนจีนถึงเรียกดาบว่าราชาของอาวุธเพราะท่าพื้นฐานทั้ง 8 นั้นเกือบจะเป็นพื้นฐานของอาวุธทั้งหมด เทียบกับดาบแล้ว ดาบยาวน่ะโฟกัสไปที่การผ่าและสับมากกว่า ส่วนหอกนั้นโฟกัสไปที่การยกและสะบัด
ในตอนที่ หยางหยวนคัง เห็น จางเทีย เขาก็รีบมาก่อนอีกฝ่ายไว้ – “เพื่อน เจ้าต้องช่วยข้าหน่อยนะคราวนี้ ! “