spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 227:การปิดม่านของวิทยาศาสตร์
มีคำพูดว่ามันง่ายมากที่จะทำระเบิดก่อนภัยพิบัติ ในยุคนั้นคนมีวิธีการมากมายที่จะสร้างระเบิด พวกเขาสามารถทำระเบิดที่มีพลังอันน่ากลัวขึ้นมาได้ แค่ระเบิดลูกเดียว พวกเขาสามารถทำลายทั้งเมืองได้,ฆ่าผู้คนนับล้าน หลายคนถึงกับทำระเบิดมากมายไว้ที่บ้าน
ด้วยการมาถึงของภัยพิบัติและเทพดวงดาว กฎทุกกฎในโลกนั้นได้เปลี่ยนไปซึ่งทำให้ผู้คนเสียความสามารถที่จะทำระเบิดขึ้นมากว่าหลายร้อยปีหลังจากภัยพิบัติ มันเป็นแบบนั้นจนกระทั่งก่อนสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สอง ในระหว่างการขุดชั้นใต้ดินของเมืองที่โดนทำลาย ผู้คนได้ความสามารถนี้กลับมาอีกครั้ง มีคำพูดว่าความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับคริสตัลแต่เทียบกับก่อนภัยพิบัติแล้ว จำนวนของคนที่สามารถสร้างระเบิดขึ้นมาได้น่ะน้อยยิ่งกว่าจำนวนของสัตว์หายากในสวนสัตว์ก่อนภัยพิบัติอีก
หลายคนยังคงพยายามหาความลึกลับว่าทำไมสารแต่ละสารถึงระเบิดได้แต่พวกเขาก็ยังล้มเหลว พวกเขาได้มีคำอธิบายมากมายโดยหลักๆแล้วจะมีสองอย่าง อย่างแรกเลยคือการเปลี่ยนทฤษฎีความเห็นเกี่ยวกับสารในทางวิทยาศาสตร์ อย่างที่สองคืออนุภาคของพระเจ้าซึ่งเกี่ยวข้องกับเทพแห่งดวงดาว
ตามการเปลี่ยนแปลงของสารได้เปลี่ยนโรงเรียนไป ภัยพิบัติและเทพแห่งดวงดาวได้เปลี่ยนสถานะของสารตั้งต้น, กฎของสถานะในจักรวาล ผลลัพธ์ก็คือกฎพื้นฐานหลายอย่างในจักรวาลได้เปลี่ยนไป
ความเห็นนี้มีผู้สนับสนุนมากมาย ทฤษฎีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันก่อนเกิดภัยพิบัติ แม้ว่าความเห็นเรื่องนี้จะได้เปลี่ยนทฤษฎีไปแต่มันก็ดูเหมือนว่าจะสามารถอธิบายทุกอย่างหลังจากภัยพิบัติได้ – มันไร้ความหมาย เพราะคนทั่วไปไม่อาจที่จะเข้าใจมันได้
นอกจากทฤษฎีเส้นเชือกนี้แล้ว ยังมีทฤษฎีเกี่ยวกับอนุภาคอันลึกลับที่เทพแห่งดวงดาวได้นำพามา ทฤษฎีนี้เองก็มีผู้สนับสนุนมากมาย ตามทฤษฎีอนุภาคของพระเจ้าแล้ว เทพแห่งดวงดาบได้นำพาอนุภาคเล็กๆนี้เข้ามา หลังจากที่พวกมันถูกเอามาใส่ในจักรวาลนี้ ทุกกฎในจักรวาลก็ได้เปลี่ยนไป
นอกจากทฤษฎีที่คนได้ทำการศึกษามาก่อนภัยพิบัติ ผู้คนที่ซึ่งสนับสนุนทฤษฎีอนุภาคนั้นชื่นชอบ ‘ ทฤษฎีเก้าอี้ที่ว่างเปล่า --- ในห้องเรียนที่มีเก้าอี้อยู่ 50 ตัว แม้ว่า 49 ตัวจะมีคนนั่งแล้วแต่ด้วยเก้าอี้หนึ่งที่ว่าง ทั้ง 49 คนจะสามารถเปลี่ยนตำแหน่งกันได้ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนยังไง มันก็มักจะมีที่ว่างเสมอ
นี่คือกฎวิทยาศาสตร์ที่โลกนี้บูชาก่อนภัยพิบัติ พื้นฐานของกฎนี้คือเก้าอี้ที่ว่างในห้อง ด้วยเก้าอี้ที่ว่างนั้น ทุกคนในห้องจะเคลื่อนที่ไปมาได้ตอลด
แต่หลังจากภัยพิบัติ เพทแห่งดวงดาวได้จับจองเก้าอี้ตัวนั้นไป ผลก็คือ การเคลื่อนที่นั้นได้หายไป แม้ว่าจะไม่มีที่ว่างอีกต่อไปแต่ด้วยลำแสงของเพทแห่งดวงดาว ผู้คนในห้องจะเห็นโลกภายนอกได้ พวกเขาเริ่มตระหนักได้ถึงขีดจำกัดของมิติที่พวกเขาอยู่ ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เริ่มสนุกไปกับสีสันของมิติภายนอกที่ซึ่งพวกเขาคิดว่ามันมีแต่ความมืดมิด
นี่น่ะคือความเห็นที่มีมากที่สุด ครูวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียน จางเทีย เองก็เป็นคนสนับสนุนความเห็นนี้ ตามบทเรียนตอนนี้และความเข้าใจของมนุษย์ก่อนภัยพิบัติแล้ว มนุษย์ก่อนภัยพิบัติได้หล่นลงไปสู่กับดักวิทยาศาสตร์ภายใต้การยั่วยวนของปิศาจและความเชื่อมั่นของตัวเอง
ในยุคนั้นมนุษย์น่ะตามืดบอดคิดว่าวิทยาศาสตร์นั้นคือความจริงของจักรวาลแต่ความจริงคือคนที่บ้าบูชาวิทยาศาสตร์น่ะทำได้แค่อยู่ในเกมคนตาบอดไล่จับช้าง คนนส่วนมากโดนคนอื่นชักจูง ช้างน่ะคือตัวตนและความจริงของจักรวาล ส่วนวิทยาศาสตร์ของคนนั้นไม่อาจแม้จะแตะต้องการมีอยูและความจริงทั้งหมดได้ แม้ว่าจะแตะที่ผิวของช้างแค่เดียงนิ้วเดียวแต่ผู้คนจะเข้าใจผิดคิดว่าจักรวาลนั้นหยาบกระด้างและเป็นกำแพงที่ยืดหยุ่นซึ่งคือเขตแดนของมิติของคน
ความลึกลับที่ใหญ่ที่สุดของวิทยาศาสตร์ได้ฝังรากลงไปในจิตใจคน สิ่งที่คนเห็น, ได้ยิน, ได้กลิ่นและสัมผัสได้จริงๆแล้วเกิดขึ้นมาจากสารตั้งต้นที่มีความถี่ของแสงมากมาย ความพี่ในระยะที่คนสามารถสัมผัสได้นั้นมันก็แค่น้ำขันเดียวในถังน้ำขนาดใหญ่ ในตอนที่วิทยาศาสตร์แตะไปที่นั่น คนจะได้ยินเสียงและคิดว่านั่นคือทั้งหมดของความจริง
วิทยาศาสตร์นั้นจำกัดประสาทของคนไว้ที่ห้าด้าน ประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนนั้นนำไปสู่ขีดจำกัดของวิทยาศาสตร์ ตอนแรกวิทยาศาสตร์นั้นได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของคน แต่หลังจากนั้นโดยเฉพาะ 100 ปีก่อนเกิดภัยพิบัติ วิทยาศาสตร์ได้กลายมาเป็นโซ่ตรวนและเครื่องมือที่ปิศาจใช้เพื่อทำลายมนุษย์
ตอนนั้น ‘ นักวิทยาศาสตร์ ‘ ได้บอกผู้คนว่าคนเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีความฉลาดในจักรวาลทั้งหมด
ตอนนั้น ‘ นักวิทยาศาสตร์ ‘ ได้บอกผู้คนว่าจักรวาลนั้นคือของแข็ง นอกจากลาวาและหินแล้ว มันไม่มีอะไรอยู่ข้างใน
ตอนนั้นเขาได้บอกผู้คนว่าคนที่มีร่างกายดีจะทำให้วิ่งเร็วกว่า,กระโดดสูงกว่าและฉลาดกว่า....
ตอนนั้นเขาได้บอกผู้คนว่าบรรพบุรูษของมนุษย์นั้นคือโปรตีนที่เกิดมจาการการที่สายฟ้าฟ้าลงเข้าใส่น้ำ หลังจากที่พัฒนามาหลายปี มันกกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง...สุดท้ายแล้วลิงก็กลายมาเป็นคน คนน่ะไม่ได้มีประวัติศาสตร์เลยสักนิด ตราบใดที่คุณเดินรอบๆสวนสัตว์และพิพิธพันธ์ คุณจะเข้าใจมันเอง
โอ้ ตอนนั้นวิทยาศาสตร์ได้บอกมนุษย์ว่ากว่า 98% ของยีนส์มนุษย์น่ะไร้ค่า
ผู้คนเชื่อมัน ผลก็คือปิศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในบรรดาพวกเขาต่างก็ดีใจ
ตอนนั้นมนุษย์น่ะเป็นแกะที่กำลังจะโดนเชือด ตาของมันมีผ้าดำที่ปิศาจนำมาปิดตาไว้ มนุษย์ถูกฆ่าโดยปิศาจไปเป็นจำนวนมากด้วยวิธีการต่างๆแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำ ในโลกมนุษย์เมื่อมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในวิทยาศาสตร์ บทบาทสำคัญของวิทยาศาสตร์คือสร้างกรงที่จำกัดมนุษย์ไว้,มัดพวกเขา,และฆ่าด้วยวิธีที่เลวร้ายก่อนจะเอาเรื่องเดิมๆมาเล่นงานต่อ
หลายคนก่อนภัยพิบัติโดนปิศาจควบคุมตั้งแต่เกิดมา พวกเขาน่ะโดนปิศาจจับตามองอยู่ตลอด
โดยบอกว่าพวกมันคือไวรัสที่ฉีดเข้าไปในร่างกายแต่มันกลับทำลายระบบภูมิต้านทานของคน ไวรัสเหล่านั้นน่ะจะเป็นขีดจำกัดของการพัฒนาของคนด้วย อีกทั้งยังหยุดการพัฒนาของ DNA หลังจากนั้นคนก็ต้องอยู่ในโลกที่มีแต่ความผิดพลาด,รุนแรงที่ปิศาจได้สร้างขึ้นมา
ในโลกนั้นคนจะถูกฆ่าในสงคราม,ความวุ่นวาย,สภาพแวดล้อมที่มนุษย์ได้ทำขึ้นมาเอง นอกจากนี้คนยังโดนฆ่าโดยการทำให้ขาดแคลนอาหาร ช่องว่างระหว่างคนรวยและจนอีกทั้งยังระบบที่แบ่งแยก ... ทุกคนล้วนแต่ใช้ระบบที่น่ากลัวนี้ที่สุดท้ายมันจะเป็นการกำจัดมนุษย์ทุกคนแม้ว่าจะรู้หรือไม่ก็ตาม
หลายคนในยุคนี้เชื่อว่าเทพแห่งดวงดาวได้ปลดปล่อยมนุษย์จากความน่ากลัวนั้น คุณสมบัติของคนได้เปลี่ยนไปในโลกของเทพแห่งดวงดาว พวกเขาคาพดหวังจะหาคำตอบที่อธิบายทุกสิ่ง
การมาถึงของเทพแห่งดวงดาวบ่งบอกได้ว่าวิทยาศาสตร์ของมนุษย์นั้นได้ปิดม่านลงไปและยุคเหล็กดำได้เริ่มต้นขึ้น ดังนั้นอนุภาคของพรเจ้าจึงส่งผลอย่าสงมาก
นอกจากคำอธิบายสองอย่างข้างบนแล้ว จางเทีย ได้ยินคำอธิบายอื่นมาจาก ดอนเดอร์ -- ตั้งแต่ภัยพิบัติและการมาถึงของเทพแห่งดวงดาว ดาวที่มนุษย์อาศัยอยู่นั้นได้เข้าสู่อีกช่วงเวลาและมิติในจักรวาบล ในเวลาและมิติที่แตกต่างจากเดิม สารตั้งต้นนั้นก็จะมีคุณสมบัติและความสามารถที่เปลี่ยนไป ทฤษฎีความต่างของเวลาและมิตินี้อยู่ก่อนภัยพิบัติ เผยแพร่กันไปทั่วองค์กรลับ มันคือทฤษฎีที่คงอยู่มานานที่สุด
จากความรู้ของ จางเทีย และความฉลาดของเขาแล้ว เขาไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าทฤษฎีนี้มันจริงรึเปล่า เขาทำได้แค่โฟกัสความจริงที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง ทฤษฎีพวกนี้แค่ความจริงข้อเดียว --- ในยุคนี้เมื่อม่านของวิทยาศาสตร์ได้ปิดลง สารตั้งต้นที่สามารถระเบิดและเอาไปทำระเบิดได้นั้นล้วนแต่มีค่าเหมือนเพชร
คนทั่วไปไม่มีโอกาสแม้จะได้เห็นระเบิดทั้งชีวิตของพวกเขา แม้แต่ในสงคราม ระเบิดนั้นก็ยากที่จะเอามาใช้ มันไม่ได้หมายความว่าพวกมันน่ะไร้ประโยชน์แต่ในทางตรงกันข้ามคือมันมีประโยชน์มากเกินไป ไม่กี่คนที่หามันมาได้ การใช้ระเบิดในสงครามเหมือนกับการโยนอิฐทองใส่คน ถ้าไม่ได้กลับคืนมาสักสิบเท่าคงไม่มีใครยอมใช้อิฐทองนั้นแน่
ระเบิดนั้นมาพร้อมกับเสียงดังสนั่นและเปลวไฟซึ่งนี่คือส่วนสำคัญในการบ่งบอกว่ามันเป็นระเบิดรึไม่ก็ตามที่ ดอนเดอร์ บอกไว้ เพราะ จางเทีย ไม่เคยเห็นระเบิดมาก่อน เขาจึงไม่แน่ใจว่ามันเป็นระเบิดรึเปล่า เขารู้สึกแค่ว่าไฟในท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างนั้นดูสวยงามในยามค่ำคืน
หลังจากนั้นก็มีเสียงดังสนั่น ทั้งเมืองตกอยู่ในความวุ่นวายทันที
...
วันต่อมาในตอนที่ จางเทีย เตรียมตัวที่จะออกจากบ้านในชุดเครื่องแบบ เขาก็พบว่าถนนในเมืองนั้นเต็มไปด้วยทหารชุดแดง พวกเขากำลังสอบสวนคนเดินผ่านไปมา บรรยากาศในเมืองตอนนี้ดูเครียดกว่าเมื่อวานเป็นสิบเท่า
เพราะบาปีนั้นห่างจากแนวหน้าแค่ 100 กม. ควันและการทำลายนี้เกิดขึ้นเพราะการต่อสู้ที่แนวหน้าของทั้งสองฝ่ายหลังขยายมาสู่ที่เมืองนี้ นี่ก็สองอาทิตย์แล้วตั้งแต่ที่ จางเทีย ได้มาประจำเมืองนี้...
ความสงบของเมืองนี้ได้โดนทำลายลง
ช่วงยุ่งยากได้มาถึง แล้วความสงบไปไหน ?
ความรู้สึกวิกฤตเกิดขึ้นมาในใจของ จางเทีย อีกครั้ง