spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 216: ความเป็นความตาย
คนอื่นที่มีแผลแบบ จางเทีย คงตายไปนานแล้ว ในตอนที่ส่งตัว จางเทีย มาที่แผนกรักษาในสนามรบที่แนวหน้า เขามีแผลกว่า 186 แผลและกระดูกหักกว่า 47 ที่ หลังจากที่โดนพลังคีต่อสู้ระดับ 8 โจมตีเข้า อวัยวะภายในของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง แม้แต่จำนวนเลือดที่เสียไปก็เสียไปแทบจะเท่ากับสองชีวิต
ในตอนที่หมอสนามนั้นเห็น จางเทีย เขาไม่ได้มองเป็นรอบที่สองด้วยซ้ำ หลังจากมองไปรอบแรกไปที่เกราะที่พัง เขาก็ส่ายหน้าและบอกเจ้าหน้าที่ที่แบก จางเทีย เข้ามาว่า – “ ชายคนนี้ตายแล้ว ไม่จำเป็นต้องช่วยเขาอีก “
สุดท้ายแล้วหมอสนามจำนวนมากก็โดนเจ้าหน้าที่ของแคมป์เหล็กโลหิตใช้ดาบจ่อคอและต้องรักษา จางเทีย
มันคือปาฏิหาริย์ที่เขายังไม่ตาย หลังจากนั้นเขาก็ได้ถูกส่งตัวมาที่บาปี
แต่มันไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับ จางเทีย อีก หอกที่หักนั้นจะไม่มีทางมีรูปร่างเดิมได้อีกแม้ว่ามันจะซ่อมแล้วก็คาม
ตอนนั้นร่างของ จางเทีย ก็เหมือนกับหอกที่ถูกซ่อม กระดูก,อวัยวะภายใน,กล้ามเนื้อ, เส้นเลือดได้รับบาดเจ็บอย่างมาก ในอนาคตแม้ว่าจะไม่มีแผลเป็นเหลืออยู่ที่ผิว จางเทีย ก็จะไม่มีทางเป็นเหมือนแต่ก่อน ความเสียหายที่มองไม่เห็นนั้นไม่ใช่แค่ทำลายการบ่มเพาะของเขาแต่ยังทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมากด้วย
หมอบอกว่าเขาอาจจะรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดหลายที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงฤดู หมอได้บอกว่าให้ดูแลสุขภาพตัวเอง ในตอนที่เขาแก่หลังจาก 40 ปีไป อาการเหล่านี้ก็จะแสดงผลมากกว่าเดิม
‘ ฉันฟื้นขึ้นมาเพื่อแบบนี้เหรอ ? ‘
จริงๆแล้วมันง่ายมากที่จะทดสอบข้อสรุปนี้ ในตอนที่ จางเทีย สามารถเดินได้ เขาลองสัมผัสไปที่จุดชีพจรของเขา
หัวของเขาและไอ้จ้อนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ส่วนพลังวิญญาณสีทองก็ยังมีอยู่ในสมองเขา อันที่จริงแล้วมันทำให้ จางเทีย รู้สึกว่าโชคดีอย่างมาก
จุดบ่มเพาะและจุดชีพจรที่หลังนั้นเหมือนกับมันยังไม่ถูกจุดเลยสักนิด จางเทีย ไม่รู้สึกถึงมันเลย ในตอนที่เขาลองส่งพลังวิญญาณเข้าไปที่จุดชีพจรในตัว กระแสพลังวิญญาณนั้นก็ได้หายไปในตอนที่มันออกจากหัวเขา ไม่ว่าเขาจะลองดูกี่ครั้งแต่เมื่อเทียบกับในอดีตที่เขาจุดมันขึ้นมาได้ ความรู้สึกของการหายไปกับพลังวิญญาณนี้ทำให้เขาอึดอัดจนเกือบกระอักเลือดออกมา
ในอดีตนั้น จางเทีย รู้สึกว่าร่างกายนั้นเป็นเหมือนท่อน้ำ พลังวิญญาณนั้นคือน้ำที่ไหลเวียนในท่อส่วนจุดชีพจรคือที่ดินที่ต้องไปทำให้ชุ่มชื้น ระหว่างการบ่มเพาะคุณต้องส่งพลังวิญญาณไปที่จุดเหล่านั้นแต่ครั้งนี้ จางเทีย รู้สึกว่าร่างกายเขาไม่ใช่ท่อแบบนั้นอีกต่อไปแต่เป็นตะกร้าไม้ไผ่ มันมีรูเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเทน้ำลงในตะกร้ามากแค่ไหน มันก็รั่วออกอยู่ดี คุณไม่สามารถใช้มันในการทำให้ที่ดินชุ่มชื้นได้เลย
หลายวันที่ผ่านมา จางเทีย พยายามใช้พลังวิญญาณของเขาตลอดแต่มันก็ล้มเหลว เขาไม่สามารถใช้พลังวิญญาณแม้เพียงเศษเสี้ยวเข้าไปในจุดชีพจรได้เลย
เขาหมดความหวัง พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลของเขาตอนนี้ใช้ได้แค่เพียงฝึกจำลองลูกคิด แม้ว่าหลังจากที่ลองใช้ Trouble-Reappearance Fruits เขาก็รู้ตัวว่าเขาไม่สามารถจะทนแรงกระทบจาก Trouble-Reappearance Fruits, ได้ ดังนั้นแล้วเขาก็ไม่อาจใช้มันได้เช่นกัน
จางเทีย รู้สึกว่าเขากลายเป็นขอทานที่ไร้ไอ้จ้อน ถ้าพลังวิญญาณของเขานั้นไม่สามารถใช้ปลุกจุดบ่มเพาะได้แล้วมันจะมีไว้ทำไม ?
‘ ไม่มีทางอื่นจริงๆเหรอ ? ‘ จางเทีย ถามกับตัวเอง
‘ ไม่ มันยังไม่สิ้นหวัง ‘
ความคิดหนึ่งแว๊บขึ้นมาในหัว เขายังมี Castle of Black Iron และต้นไม้นั่น
ตอนนี้สองอย่างนั้นคือความหวังสุดท้ายที่ยื้อเขาไว้
หลังจากที่หมอหลายคนได้วินิจฉัย โรงพยาบาลได้สรุปว่า จางเทีย น่ะสามารถเป็นได้แค่คนธรรมดาที่ซึ่งไม่อาจปลุกจุดบ่มเพาะได้อีก ในยุคนี้ข้อสรุปนี้หมายถึงว่า จางเทีย น่ะคือคนพิการ
คนธรรรมดาที่ไม่อาจปลุกจุดบ่มเพาะขึ้นมาได้ เขาจะไม่สามารถบ่มเพาะ,สู้รึวิ่งได้เร็วเหมือนกับสายลม เขาไม่อาจใช้ดาบยักษ์รึดาบสองมือได้อีก เขาน่ะทำงานหนักๆยังไม่ได้เลย นักรบระดับ 2 คนไหนก็จัดการ จางเทีย เป็นสิบคนได้สบาย ในกองทัพเขาเหล็กนั้นถ้าพูดกันตามตรง จางเทีย น่ะมี่สิทธิเป็นทหารระดับต่ำสุดเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้ว พลตรีชวาซ จึงย้าย จางเทีย ไปที่แผนกคลังและจัดเตรียมตำแหน่งให้กับเขา
ในวันที่ห้าหลังจากที่ใช้ไม้เท้าเดินได้ เขาก็เดินไปที่สวนโดยมีพยาบาลคอยประคอง ในตอนที่เขากลับมาที่ห้อง เขาก็เห็น รินฮาท, กู๊ดเดียน, หลิวซิง, และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆของแคมป์เหล็กโลหิตมารอเขาอยู่
“ หัวหน้า ! “
เมื่อเห็นพวกนั้น จางเทีย ตื่นเต้นอย่างมาก
เมื่อเห็น จางเทีย กลับมา เจ้าหน้าที่ทุกคนที่รอยอยู่ก็ได้ยิ้มออกมาและเดินเข้าไปหา
“ เป็นไงบ้าง ? “ - รินฮาท ตบไหล่พร้อมกับร่องรอยความเหนื่อยที่แสดงผ่านมาทางสายตา
“ ไม่เลว ผมเดินได้แล้ว “ - เมื่อพูดจบ จางเทีย ได้มองไปที่คนอื่นในห้อง เขาไม่เห็นคนคุ้นหน้าหลายคนโดยเฉพาะชายหัวล้าน หัวใจของ จางเทีย เต้นรัวขึ้นมาทันที – “ ร้อยโทขั้นหนึ่งเฟโอ ไปไหน ?”
หลังจากที่ถาม จางเทีย ก็มองไปที่พวกนั้นแล้วเห็นว่ารอยยิ้มไม่ได้เป็นเหมือนเดิม ในตอนที่พวกเขาได้ยินชื่อ เฟโอ รอยยิ้มของทุกคนก็ได้หายไป
“ เฟโอ เสียสละตัวเองในคืนนั้น ! “ - กู๊ดเดียน ตอบเบาๆ
“ เป็นแบบนั้นได้ยังไง ? “
จางเทีย เชื่อไม่ได้ ร้อยโทขั้นหนึ่งที่ซึ่งโบกขวานสองอันและเข้าต่อสู้อย่างกับเสือจะตายได้ยังไง ? จางเทีย จำได้ว่าหลังจากที่เขาโยนหอกเพื่อฆ่าชายเป่าขลุ่ย เขายังได้ยินเสียงคำรามของ เฟโอ ในสนามรบอยู่เลย ตอนนั้นหน่วยปีกดำน่ะวุ่นวายแล้ว เพราะ เฟโอ ยังมีชีวิตอยู่ก่อนตอนนั้นแล้วชายคนนั้นจะตายได้ยังไง
“ หลังจากที่นายได้รับบาดเจ็บหนักและล้มลงกับพื้น เพื่อที่จะช่วยนาย เฟโอ ได้พุ่งเข้าไปในวงล้อม เพราะศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าและ เฟโอ ต้องการที่จะปกป้องนาย ในตอนที่เขาอุ้มนายขึ้นมาและเตรียมที่จะถอย เขาก็ต้องรับการโจมตีหลายอย่างเพื่อนาย... “ - ร้อยโทขั้นหนึ่งอธิบายให้ จางเทีย ฟังด้วยเสียงที่แหบแห้ง
ตอนนั้น รินฮาท ที่ซึ่งต้องการจะช่วย จางเทีย ถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอีกฝ่ายหยุดไว้ เขาโดนล้อมด้วยทหารจำนวนมาก ดังนั้นแล้วเขาจึงฝ่าวงล้อมไปไม่ได้สักพัก เพราะหน่วยปีกดำต้องการที่จะฆ่า จางเทีย สมาชิกคนอื่นๆในแคมป์เหล็กโลหิตก็ไม่อาจจะฝ่าไปข้างในได้ ถ้าไม่มี เฟโอ จางเทีย คงโดนฟันเป็นชิ้นๆไปแล้ว
เฟโอ เสียสละตัวเองเพื่อ จางเทีย
น้ำตาของ จางเทีย เริ่มไหลอาบมาทั้งสองแก้ม...
“ ไม่ต้องเสียใจ จากตอนที่นายขึ้นรถไฟมา ทุกคนในแคมป์เหล็กโลหิตก็พร้อมที่จะสละตัวเองเพื่อนายเหมือนกับที่นายยอมสละตัวเองเพื่อทุกคน ! “
เมื่อได้ยินคำพูดของ รินฮาท จางเทีย ก็ร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็ก
...
หลังจากที่พวกนั้นมาเยี่ยม จางเทีย ได้รู้เรื่องของศัตรู วันนั้นเสมบัติที่เก็บได้ของแคมป์เหล็กโลหิตได้มียาแปลกๆพ่นอาบเอาไว้ รวมไปถึงอาวุธ,เกราะ,เงิน คนเราไม่ได้กลิ่นรึเห็นยานั้นแต่สัตว์ที่เรียกกว่าจิ้งจอกดำที่เลี้ยงโดยราชวงศ์อาทิตย์สามารถได้กลิ่นมันได้ ด้วยทหารจำนวนมากที่เป็นเหยื่อ ราชวงศ์อาทิตย์ได้ทำให้แคมป์เหล็กโลหิตเผยตำแห่งของตัวเองออกมาโดยอาศัยสมบัติพวกนั้น
หลังจากที่รู้ถึงฐานทัพพวกเขา ศัตรูก็ได้ส่งกองทัพที่น่ากลัวที่สุดออกมาและได้รวบรวมคนจำนวนมากเพื่อทำลายแคมป์เหล็กโลหิตโดยต้องการกำจัดให้สิ้นซากในตอนเที่ยงคืน
แต่การบุกกลับล้มเหลวและได้เปลี่ยนเป็นการต่อสู้ระยะใกล้และในที่สุดก็กลายเป็นการต่อสู้นองเลือดระหว่างทั้งสองกองทัพ ในการต่อสู้นองเลือดนั้น แคมป์เหล็กโลหิตได้เสียคนไปมากกว่า 600 คน ส่วนหน่วยปีกแสงนั้นเสียคนไปกว่า 1700 คนหลังจากที่ไล่ล่าแคมป์เหล็กโลหิตมากว่า 20 กม.
ดูจากจำนวนแล้วผู้ชนะคือแคมป์เหล็กโลหิต จำนวนของทหารทั้งหมดในหน่วยปีกดำที่ซึ่งกินอยู่และฝึกกับยาลับและวิธีพิเศษอื่นๆนั้นมีไม่ถึง 10,000 คนในกองทัพปีกแสง และแคมป์เหล็กโลหิตได้ฆ่าพวกนั้นไป 1 ใน 5 ในคืนนั้น สำหรับการต่อสู้ระหว่างทั้งสองหน่วย นี่คือชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของแคมป์เหล็กโลหิต
ถ้า จางเทีย ไม่ฆ่า หมิวหลิง ที่ใส่ชุดดำที่ซึ่งคอยสั่งการหน่วยปีกดำโดยการเป่าขลุ่ย ผลลัพธ์สุดท้ายคงเป็นว่าแคมป์เหล็กโลหิตไม่มีตัวตนอีกต่อไป แม้ว่าคนกว่า 1700 จะตายก็ตาม
ตันสินจากประวัติที่เขาทำแล้ว จางเทีย น่ะมีสิทธิได้เลื่อนขั้นเป็นร้อยโทขั้นหนึ่ง ไม่มีใครพูดแย่ๆเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นของเขา
ถ้า จางเทีย เป็นร้อยโทขั้นสองที่เด็กที่สุดในทีม 39 มาก่อน งั้นเขาก็จะเป็นร้อยโทขั้นหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพเขาเหล็ก
ตอนนี้แคมป์เหล็กโลหิตแทบจะถือได้ว่าอัมพาต ด้วยการเสียคนไปจำนวนมาก ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 เดือนเพื่อพักฟื้นและจัดเตรียมโครงสร้างใหม่เพื่อจะได้กลับไปยังสนามรบอีกครั้ง สำหรับหน่วยระดับสูงแบบนี้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเพิ่มจำนวนคนมาทดแทนประสิทธิภาพในการต่อสู้
“ ไม่ว่ายังไงก็ตาม นายต้องมีชีวิตที่ดี แม้ว่านายจะกลับไปสนามรบไม่ได้แต่นายต้องมีชีวิตต่อเพื่อ เฟโอ “ - รินฮาท บอกกับ จางเทีย ก่อนจะออกไป
จางเทีย รู้ว่าชีวิตของเขาไม่ใช่ของเขาคนเดียวแล้วแต่เป็นของ เฟโอ ด้วย ดังนั้นแล้วไม่ว่ายังไง แม้ว่าเขาจะถือว่าพิการแต่เขาก็ต้องใช้ชีวิตดีๆ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองแต่ก็เพื่อ เฟโอ ด้วย..
ในเดือนแรกตั้งแต่ที่มาคารัวล์ จางเทีย ได้เจอกับสี่อย่าง : กลายเป็นผู้พิชิตทั้งร้อย, ได้เลื่อนขั้นเป็นร้อยโทขั้นหนึ่ง, เป็นคนพิการและต้องถูกแยกออกจากแคมป์เหล็กโลหิต
ระหว่างเดือนนี้ จางเทีย อายุ 15 ปี เข้าใจความจริงที่สำคัญที่สุดในชีวิต ชายควรจะเกิดมาเหมือนดอกไม้ในฤดูร้อนและตายไปด้วยสายฟ้าในฤดูใบไม้ผลิ....