หน้าแรก > Castle of Black Iron
Chapter 212: ผู้พิชิตทั้งร้อย

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

Chapter 212: ผู้พิชิตทั้งร้อย

จางเทีย และลูกน้องนอนอยู่ที่สนามหญ้า ในขณะที่มีทหารของราชวงศ์อาทิตย์ประมาณ 100 คนเดินมาหาพวกเขาจากด้านล่างเนินเขา

เพราะนี่เป็นเขตภูเขา ทางเดินทางล่างจึงแคบอย่างมาก ทั้งสองฝั่งของทางเดินนั้นมีแต่หินสูงๆ แม้ว่าพวกนั้นต้องการที่จะผ่านเส้นทางนี้ไปให้ได้เร็วที่สุดแต่ด้วยจำนวนกว่าร้อยคนจึงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วนัก

นี่เป็นวันที 12 แล้วตั้งแต่ที่แคมป์เหล็กโลหิตนั้นได้เข้ามาทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายในเขตภูเขาแห่งนี้ ในอาทิตย์แรกนั้นจากสถิติแล้ว จางเทีย ได้ฉายามาว่าบุรุษร้อยศพซึ่งถือว่าเป็นเกียรติอย่างมาก ชื่ออันทรงเกียรติที่มอบให้กับนักรบที่แท้จริงแต่ จางเทีย นั้นไม่ได้ชอบฉายานี้ เขาไม่ชอบที่ถูกคนอื่นเรียกแบบนี้ด้วย

ในความคิดของเขาแล้วเขาโดนบังคับให้ฆ่าผู้คนในสนามรบ เพราะเป็นเพียงแค่ลูกน้องมันจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรกับการต่อสู้ระหว่างสองอำนาจใหญ่ในคารัวล์ เพราะเขาต้องการที่จะรอดและต้องช่วยลูกน้องให้รอดด้วย เขาจึงเลือกที่จะฆ่า แม้ว่าพวกนั้นจะเป็นศัตรูแต่พวกเขาก็ไม่มีความแค้นต่อกัน  ในการต่อสู้ของสองขั้วอำนาจแล้ว พวกเขาก็ถือแค่เป็นเบี้ยที่ถูกผู้มีอำนาจนั้นใช้งาน...

บางทีบางคนก็สมควรตายจริงๆแบบไอ้บัดซบนั่นที่โดนแยกร่างด้วยม้าแต่แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกราชวงศ์อาทิตย์แต่ จางเทีย ก็ยังคงไม่ได้รู้สึกถึงความต่างกับว่าพวกนี้ต่างจากคนทั่วไปเลย พวกเขาล้วนแต่เป็นเบี้ยที่ซึ่งต่างก็มีพ่อแม่ของตัวเอง

เพราะพวกเขาต่างก็เป็นมนุษย์ พวกเขาคงต้องรู้สึกแย่กับการฆ่า ถ้าจะถือว่าการฆ่านี้เป็นเรื่องมีเกียรติ มันคงถือว่าเป็นเรื่องที่เศร้าอย่างมาก

การคิดมากเรื่องความสงสารนั้นคงเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า  โดยเฉพาะในกองทัพแล้วมีไม่กี่คนที่เห็นด้วยกับ จางเทีย แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ได้น่าภูมิใจเลยกับการถูกเรียกแบบนี้ เขารู้สึกเพียงแค่เฉยชาไปกับมัน  เขาอยากถูกเรียกผู้พิชิตร้อยคนในเรื่องผู้หญิงมากกว่าแทนที่จะมาฆ่าใครในสนามรบ

สองเหตุการณ์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะอันแรกนั้นทำให้เกิดความสุขและชีวิตใหม่แต่อีกอันนั้นมีแต่ความเจ็บปวดและความตาย

จางเทีย อยากเลือกอันแรกมากกว่า

เมื่อรวมสาวๆกลุ่มกุหลาย, แพนโดร่า, อลิซ และ เบเวอร์รี่ เข้าไปแล้ว ตอนนี้ขาดอีกแค่ 16 คนเขาก็จะได้ฉายาที่ว่าผู้พิชิตทั้งร้อยซึ่งเขาภูมิใจในมันได้  เขาไม่กล้าที่จะคิดเรื่องแบบนี้มาก่อนซึ่งมันทำให้เขาภาคภูมิใจเมื่อได้ยินมัน

ในความคิด จางเทีย แล้ว  มันไม่มีอะไรน่าภูมิใจไปกับการฆ่าคนทั่วไปที่ซึ่งไม่มีทางสู้เขาได้

ตอนที่อยู่โรงเรียน มีเรื่องเล่าว่าก่อนเกิดภัยพิบัติ  ก่อนอย่างน้อยสักสองพันปี  มนุษย์นั้นได้โดนปิศาจปกครองโดยปิศาจพวกนั้นได้ปลอมตัวเป็นมนุษย์  ในตอนที่ปิศาจปกครองนั้นค่าของคนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก คนที่น่าเกลียดจะถือว่าสวยงามและผิดกลายเป็นถูก  กลุ่มผู้คนฆ่าผู้อื่น , คนต่างสีผิวต่างก็ฆ่าอีกฝ่าย คนแต่ละประเทศฆ่าแกงกัน คนเราฆ่าคนที่เชื่อต่างกัน  การฆ่าแบบนี้ถือเป็นเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

ปิศาจได้บอกผู้คนถึงเรื่องการสร้างความแตกต่าง ในตอนที่ผู้คนเกิดมา พวกเขาจะเรียนรู้ถึงวิธีแบ่งแยกโดยภาษา,สีผิว, สายเลือด, เขตแดน,ประเทศ, ความรวย, การศึกษา, หน้าตา, งานอดิเรก, ฐานะทางสังคม, จิตใจ,แม้แต่อาหาร ทุกอย่างนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่พวกเขาแบ่งแยกกัน

หลังจากนั้นผู้คนจะเรียนรู้ถึงการแก้แค้นและฆ่ากันเอง พวกเขาเรียนรู้ถึงการกำจัดคนที่ต่างออกไปจากตัวเอง สำรหับเด็กเกิดใหม่นั้น พวกเขาก็จะสอนถึงเรื่องความต่างพวกนี้ให้ไปด้วยและพวกนั้นก็จะมีความคิดพวกนั้นฝังหัว ผลก็คือแต่ละคนนั้นแยกตัวออกไปและเปลี่ยนเป็นพวกสัตว์อสูร

ในตอนที่ปิศาจนั้นกระตุ้นให้ผู้คนทำการแก้แค้นและฆ่ากันนั้น เรื่องรักระหว่างชายและหญิงที่ดูสวยงามและน่าพอใจที่สุด ทำให้ผู้คนเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น เรื่องพวกนี้ถูกปรับเปลี่ยนและทำให้การแสดงความรักออกมาเป็นเรื่องน่าอายและน่าเหยียดหยาม

หลังจากที่ทำการปกครองมากกว่าพันปี เรื่องรักในหัวใจของคนนั้นก็เริ่มจางหายไปราวกับมันถูกล็อคเอาไว้ หลายคนนั้นไม่รู้จักวิธีแสดงความรักที่ถูกต้อง  พวกเขากลับเรียนรู้แค่การแสดงออกที่รุนแรงออกมา ผู้คนเปลี่ยนรักให้กลายเป็นสิ่งอันตราย,ความโลภและความกลัว แม้แต่ทุกวันนี้ผู้คนก็ยังจำไม่ได้ถึงการแสดงความรู้สึกที่สวยงามที่สุดของมนุษย์ออกมา

จางเทีย ชอบที่จะสงสัยว่าโลกนี้มันจะดีขึ้นจากการฆ่าคนโดยไม่ละอายรึว่าการทำให้ผู้หญิงมีความสุข

เขาอาจจะไม่ได้คำตอบนั้น  แต่ จางเทีย เชื่อว่าถ้าเขาสามารถเลือกได้ เขาเลือกที่จะเป็นคนที่ไม่ภูมิใจกับการฆ่าดีกว่า

เพราะ จางเทีย นั้นไม่ชอบที่จะถูกเรียกว่าผู้พิชิตทั้งร้อยคน  สมาชิกแคมป์เหล็กโลหิตจึงเรียกเขาว่าร้อยโทมัมมี่ ตอนนี้เขาเป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งแคมป์เหล็กโลหิต เพราะ จางเทีย แสดงฝีมืออกมาได้อย่างโดดเด่น  การที่เรียกว่าร้อยโทมันมี่นี้มีอีกความหมายคือเมื่อศัตรูได้เห็นเขา พวกนั้นอีกไม่นานก็จะได้กลายเป็นมันมี่

แม้แต่ รินฮาท เองก็ยังชมทักษะการขว้างหอกของร้อยโทมัมมี่ – “มีไม่กี่คนที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 8 ถึงจะหนีจากหอกของร้อยโทมัมมี่ได้เมื่อพวกเขาเห็นมัน “ -  จริงๆแล้วเจ้าหน้าที่ระดับ 6-7 ของหน่วยปีกแสงนั้นไม่มีเลยสักคนที่เห็นมันแล้วรอดไปได้

เพราะพวกเขาต้องอยู่ในเขตภูเขานี้กว่าสองอาทิตย์  กู๊ดเดียน จึงเลือกที่ดีๆซึ่งยากที่จะเดินทางขึ้นมาได้ไว้เป็นที่ประจำเพื่อความปลอดภัย

เขาบอกว่าข้อดีอย่างแรกเลยคือที่แบบนี้นั้นได้ลดโอกาสที่จะโดนศัตรูล้อม ข้อดีอันที่สองคือสามารถตั้งแคมป์แบบย้ายไปเรื่อยๆเหมือนกับฝูงหมาป่าได้ รึให้พูดง่ายๆศัตรูจำนวนมากไม่สามารถเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ พวกที่เข้ามาได้นั้นก็ไม่อาจเทียบความแข็งแกร่งของแคมป์เหล็กโลหิตได้

พวกหัวหน้าแต่ละแผนกนั้นอาจจะเดาว่าแคมป์เหล็กโลหิตอาจจะใช้วิธีนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงได้สั่งการให้แยกตัวในที่เขตนี้โดยไม่ให้เสบียงมา  บางทีเจ้าหน้าที่พวกนั้นอาจจะรู้ว่าถ้าฝูงหมาป่าได้เคลื่อนที่ออกแล้ว พวกนั้นคงหาอาหารได้เอง

หลายวันที่ผ่านมา จางเทีย ได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสงครามจากคนอื่นๆ.....

...

ตอนนั้นในสายตาของ จางเทีย แล้ว มันเหมือนมีทีม’ ข้าวเที่ยง ‘ ที่มาหาพวกเขาโดยสมัครใจ  หลังจากที่นอนเพื่อซุ่มโจมตีมาตลอด การปรากฏตัวของทีมทหารราชวงศ์อาทิตย์ก็ทำให้ทุกคนใจชื้นขึ้นมา

“ หัวหน้า เราจะจัดการพวกนี้มั้ย ? “

ทหารสองคนเขยิบเข้ามาใกล้ จางเทีย  ตอนนี้ทหารทุกคนในหน่วย 3 , กลุ่ม 5 ไม่ได้เรียก จางเทีย ว่า ‘ ท่าน ‘ รึ ‘ หัวหน้าหน่วย  อีกต่อไป เพราะสองอย่างนี้มันดูทางการไป พวกเขาได้เรียกว่าหัวหน้าแทน

จางเทีย หรี่ตามองไปยังทหารด้านล่าง จากรูปขบวนแล้ว เขาพบว่าไม่มีความต่างเลยกับกองทัพที่พวกเขาได้เจอกมา มันมีทหารกว่า 100 คนซึ่งดูจากจำนวนแล้ว  จางเทีย  พร้อมกับทหารอีก 50 คนสามารถฆ่าพวกนี้ได้ทั้งหมดในเวลาไม่กี่นาทีแต่เพราะบางอย่าง เมื่อเห็นกองทัพนั้น จางเทีย รู้สึกร้อนรนขึ้นมา

เขาต้องการที่จะปล่อยพวกนี้ไปแต่เขาหาเหตุผลที่จะปล่อยพวกนี้ไปไม่ได้

‘ ฉันเป็นคนเมตตาเหมือนกับผู้หญิงอย่างงั้นเหรอ ? ‘ จางเทีย ถามตัวเอง

ไม่มีใครในหน่วยสามขยับ พวกเขาล้วนแต่รอสัญญาณจาก จางเทีย   หลายวันที่ผ่านมานี้พวกเขาเรียนรู้ว่าถ้าร้อยโทมัมมี่ต้องการที่จะจัดการเหยื่อ หอกจะถูกขว้างออกจากมือเขาเพื่อเป็นสัญญาณเปิดฉากการโจมตี ดังนั้นก่อนที่ร้อยโทมัมมี่จะทำการโจมตี จะไม่มีใครกล้าลงมือแต่อย่างใด

เมื่อเห็นคนด้านล่างนั้นไม่นานจะหลุดระยะโจมตี  จางเทีย ก็ยืนยันอีกรอบว่าไม่มีใครมาล้อมพวกเขาและได้กัดฟันแน่นสลัดความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามทิ้ง เขาได้ปล่อยการโจมตีออกมาโดยไม่ลังเล

นี่เป็นวิธีหนึ่งที่ จางเทีย ได้เรียนรู้มาในแคมป์เหล็กโลหิต – ในสนามรบ คุณจะไม่รู้คำตอบคำถามใดๆนอกจากการใช้ดาบสะบัดโจมตี

การลงมือน่ะดูน่าสนใจกว่าข้อสงสัยใดๆ

ในตอนที่ จางเทีย ลงมือ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ในกองทัพอีกฝ่ายก็โดนหอกเข้าโจมตีและได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

นี่คือสัญญาณ !

คนในหน่วยสามที่มีหน้าไม้ได้ยิงธนูออกไปทันที ทำให้ผู้คนและม้านั้นต่างก็ล้มลงไป

จางเทีย กระโดดลงไปก่อน หลังจากที่ทหารยิงธนูเข้าไป คนอื่นๆในหน่วยก็ตาม จางเทีย ไปด้วยและวิ่งลงจากเนิน

ในตอนที่แห่กันลงไปข้างล่าง หอกในซองที่หลัง จางเทีย นั้นได้ถูกขว้างออกมาเข้าโจมตีพวกเจ้าหน้าที่ในกองทัพก่อนที่พวกนั้นจะตอบโต้ได้  สำหรับหอกที่เหลือ จางเทีย แค่ใช้มันไปที่คนที่สูงที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศัตรูเพื่อจัดการพวกนั้นลงไป

เมื่อกระดูกสันหลังถูกจัดการ กองทัพก็พินาศทันที

“ ฆ่าพวกมันให้หมด ! “

จางเทีย พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างกับเสือ เขาพุ่งเข้าใส่กองทัพของศัตรู เขาใจเย็นและกลับมาเย็นชาอีกครั้ง

แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องฆ่าคนแต่เขาก็ต้องทำมันเนื่องจากเขายังใส่ชุดของกองทัพอยู่

...

จางเทีย ไม่ได้ใช้ดาบยักษ์ เขาเก็บมันไว้ที่ฐาน  เขาตระหนักได้ว่าถ้าเขาแบกดาบนี่ไปมาในเขตภูเขานี้ เขาคงถือ่วาเป็นคนโง่

จางเทีย ถือดาบสองมือเล็กกว่าเดิมน้ำหนัก 70 กก.  ดาบสองมือนี้คือของที่ จางเทีย ได้มาจากเจ้าหน้าที่ระดับ 7 ของราชวงศ์อาทิตย์

ดาบนี้สวยงามอย่างมาก มันมีใบมีดสีขาวอย่างกับหิมะ ด้ามดาบทำมาจากไม้เนื้อดี ปีกดาบสร้างเหมือนเป็นเกราะ  ดูจากความประณีตของมันแล้ว ดาบนี่ดีกว่าดาบยักษ์ทั้งในด้านน้ำหนักและประสิทธิภาพ

ดาบสองมือนี้หนักกว่า 70 กก. มันน้ำหนักแค่ 1 ใน  5 ของดาบยักษ์  เขาถือมันไว้ด้วยมือข้างเดียว เขารู้สึกเหมือนกับจับกิ่งไม้ มันเบาเกินไป แค่ดีดนิดเดียวมันก็สะบัดผ่านอากาศและทำให้เกิดเสียงแหลมคมราวกับเสียงร้องของหมาป่า

จางเทีย ตั้งชื่อมันว่า – ความเป็นเลิศของสตรี

แม้ว่าดาบนี่จะไม่ได้ใช้ไว้ฆ่า  จางเทีย ก็ยังต้องการเตือนตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่ให้คนตายได้ง่ายๆในการต่อสู้ พวกเขาควรมีชีวิตอยู่เพื่อให้ผู้หญิงของเขามีความสุข

มันไม่ใช่เรื่องดีเลยในการฆ่าคนแต่ จางเทีย ก็คงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายรอดไปได้

แม้ว่าดาบนี่จะเล็กกว่าเดิมแต่พลังของมันเทียบเท่าได้กับดาบยักษ์

อย่างที่สองที่ดาบนี่เตือน จางเทีย คืออาวุธที่เหมาะสมที่สุดนั้นจะมีพลังมากที่สุด  สำหรับ จางเทีย แล้วดาบยักษ์นั้นหนักไปนิด

...

ในตอนที่ จางเทีย พุ่งเข้าไป เขาได้โบกดาบสองมือแล้วส่งหัวสี่หัวกระเด็นขึ้นไปบนฟ้า หลังจากเหวี่ยงดาบอีกครั้งเขาก็สามารถตัดหอกที่ขว้างเข้ามาได้ง่ายๆ

จางเทีย พุ่งเข้าไปข้างใน หลังจากที่สะบัดดาบอีกครั้งก็ได้มีทหารมากกว่าเดิมที่กระอักเลือดออกมาแล้วร่วงลงไปที่พื้น

ในสายตาของทหารพวกนั้นแล้ว จางเทีย พุ่งเข้าใส่พวกเขาเหมือนกับหมีที่น่ากลัว  เสียงหักของกระดูกดังขึ้นมาตามด้วยทหารพวกนี้ได้กลิ้งลงจาเนินเขา

จางเทีย เหวี่ยงดาบของเขาออกไปอีกครั้งซึ่งได้แทงทะลุทหารฝั่งตรงข้ามสองคนในทีเดียว เขาใช้ร่างของพวกนั้นเป็นโล่ จางเทีย ได้ยกร่างของพวกนั้นขึ้นมาแล้วขว้างเข้าใส่ที่ที่มีคนมากที่สุด ผลก็คือมีทหารมากกว่ายี่สิบคนที่เสียสมดุล หลายคนกลิ้งลงไปจากทางเดินพร้อมกับร้องโหยหวนออกมา

ทหารส่วนที่เหลือในหน่วยสามนั้นวิ่งมาตามหลัง จางเทีย มาติดๆแต่ในตอนที่พวกเขามาถึง จางเทีย ก็ได้จัดการทหารของราชวงศ์อาทิตย์ไปกว่า 1 ใน 5 รวมพวกที่โดนเขาจัดการด้วยหอกไปด้วยแล้ว

เมื่อเห็นกลุ่มที่ไร้เจ้าหน้าที่ กลุ่มทหารหน่วยสามทุกคนก็เริ่มใจคึกขึ้นมา ส่วนพวกฝั่งตรงข้ามที่รอดอยู่นั้นต่างก็พยายามที่จะหนีอย่างกระอักกระอ่วน

“ ฆ่าพวกมันให้หมด ....“

หลังจากที่คำรามออกมาอีกครั้ง ทหารมากกว่า 50 คนก็ได้พุ่งเข้าใส่ฝั่งตรงข้าม ในเสี้ยววินาทีทางเดินตรงนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดและเสียงกรีดร้อง...

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.