หน้าแรก > Castle of Black Iron
Chapter 134: มุ่งหน้าสู่ทุ่งหญ้าพระจันทร์เสี้ยว

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

Chapter 134: มุ่งหน้าสู่ทุ่งหญ้าพระจันทร์เสี้ยว

 

หลายวันต่อมา จางเทีย ไม่ได้รับอะไรพิเศษเลย ทั้งจากในCastle of Black Iron และในหุบเขา ดูเหมือนว่าเขาจะใช้โชคทั้งหมดไปแล้ว

ตั้งแต่ที่ช่วยกลุ่มของ บอนเดอร์ ฆ่าหมาป่าตัวโต 5 ตัวและธรรมดาอีกตัวไป  จางเทีย ไม่ได้เจอกับหมาป่าเลยแม้แต่ตัวเดียวมาสองวันติดต่อกันแล้ว  แม้ว่าเขาจะเจอสัตว์ชนิดอื่นอย่างหมูป่า, กระต่าย, กวางและสัตว์อื่นๆ เขายังเห็นตัวแบดเจอร์อยู่ไม่ห่างจากเขาด้วยแต่เขาไม่ได้ฆ่าพวกมันเพราะตอนนี้เขาโฟกัสไปที่หมาป่าอยู่ซึ่ง Wild Wolf Seven-Strength Fruit อีกครึ่งเดียวก็จะสุกอยู่แล้ว  นอกจากนี้เขาก็ยังมีอาหารตุนไว้อยู่ทำให้ไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกมัน

จางเทีย ไม่เคยฆ่าสัตว์โดยไม่มีเหตุผล  แม้ว่ามันจะง่ายที่เขาจะฆ่าพวกมันแต่ก็อย่างแม่เขาเคยสนอไว้ เขาจะไม่ฆ่าถ้าไม่จำเป็น

เขาสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมาได้จากการฆ่าหมาป่าแต่เขาน่ะไม่ได้อะไรเลยจากการฆ่าสัตว์อ่อนแอเหล่านี้ แม้ว่าหมูป่านั้นจะมีภัยต่อเขาก็เถอะ

หลายวันก่อน จางเทีย ได้ฆ่าหมาตัวโตไปหนึ่งตัว ก็อย่างที่ ดอนเดอร์ บอกเอาไว้ จางเทีย จึงได้ปาดขาหลังของมัน หลังจากที่เอาไปรมควันตลอดทั้งบ่าย เขาก็เอาไปห้อยไว้ที่ปากทางเข้าถ้ำเอาไว้

ดอนเดอร์ บอกกับเขาว่าถ้าเขามีเกลือรึเครื่องเทศ เขาจะสามารถทำให้มันสดได้นานกว่าการรมควันและเอามาตากไว้  จางเทีย ลองมันดูและยืนยันได้ว่าที่ ดอนเดอร์ พูดนั้นจริง   เอาจริงๆแล้วเนื้อรมควันของหมาป่าตัวโตน่ะรสชาติอร่อยอย่างมาก เนื้อแห้งเองก็ทำงานแค่ตัดมันออกไปเป็นชิ้นๆ  ดังนั้นแล้วเขาจึงมีอาหารเพียงพอ สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือหมาป่าต่างหาก

หนึ่งเดือนตั้งแต่ที่การฝึกเริ่มต้นขึ้นมาเพื่อที่จะได้อาหารมากกว่าเดิมทีมอื่นๆได้เริ่มกล้าหาญกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนและเริ่มออกมาไกลกว่าปราสาทมากกว่าเดิม  ผลก็คือหมาป่านั้นมีที่อยู่น้อยลงไปเรื่อยๆ  จำนวนหมาป่านั้นเริ่มน้อยลงจนทำให้เขาเริ่มล่ายากขึ้นกว่าเดิม  จางเทีย ประมาณว่าตั้งแต่เริ่มฝึกมานี้หมาป่าโดนคนฆ่าไปกว่า 100 ตัว  แม้ว่าแต่ก่อนปราสาทจะเคยมีพวกมันเต็มไปหมดแต่ตอนนี้ยากที่จะเห็นได้แล้ว

เพราะมันยากที่จะล่าพวกมัน เดือนที่สองของการฝึกจึงเป็นเหมือนช่วงเวลาทดสอบสำหรับเด็กๆ ต้องขอบคุณที่ จางเทีย มีอาหารเพียงพอสำหรับเพื่อนจนกว่าจะฝึกจบ

เทียบกับอาหารแล้ว จางเทีย กลัวกับกลุ่ม เกรซ มากกว่าเนื่องจากพวกนั้นอาจจะไปหาเรื่อง แบร์ลี่ และ แพนโดร่า คนที่โหดเหี้ยมและแข็งแกร่งแบบนั้นน่ะถือว่าอันตรายที่สุด

บลู บอกว่า เกรซ น่ะแข็งแกร่งยิ่งกว่าหมาป่าทอง  จางเทีย เดาว่าบางที เกรซ คงซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงตอนอยู่โรงเรียน  เขาได้ทำลายสถิติหลายๆอย่างไป  ตอนนี้ เกรซ น่าจะเป็นนักรบระดับ 3 แล้วไม่น่าใช่ระดับ 2 อีกต่อไป

จางเทีย รู้ว่าคนอื่นเองก็ต้องเริ่มพัฒนาไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ไม่มีใครยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้แต่ ชาร์ลอน, ซูแฮร์และ การ์นเนอร์ เองก็อาจจะปลุกจุดชีพจรขึ้นมาได้ก็ได้

อย่าคิดว่าศัตรูนั้นจะใจดีเหมือนเรา  อย่างคิดว่าศัตรูนั้นเป็นคนที่เรารู้จักมาเสมอ ถ้าคุณฝ่าฝืนกฎ มันจะอันตรายอย่างมากสำหรับตัวคุณเอง

ก็คล้ายๆกับกลุ่มของ เกรซ ในวันที่เขาได้ปลุกจุดชีพจรจุดที่สองบนหลังแล้วกลายมาเป็นนักรบระดับ 3

ดังนั้นหลังจากอยู่ที่ฐานเบอร์ 2 ได้อีกสองวัน วันหนึ่งก่อนที่ Leakless Fruit จะสุก จางเทีย ก็ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ – เดินหน้าไปยังทุ่งหญ้าพระจันทร์เสี้ยว

เช้านี้หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว จางเทีย ได้แบกเป้ของตัวเองและจัดอุปกรณ์ต่างๆก่อนที่จะออกจากถ้ำไป

วันนี้เป็นวันแดดออกมีเมฆขาวลอยทั่วท้องฟ้า  ดูจากประสบการณ์ที่ตัวเขาเองผ่านมาและเรื่องที่ บลู ได้สอน  จางเทีย ได้สำรวจเส้นทางไว้ในตอนบ่ายที่แล้วและพบฐานใหม่ระหว่างชายแกดนของหุบเขาและทุ่งหญ้า

ในตอนที่เขาเดินไปข้างหน้านั้นภูมิประเทศของหุบเขานั้นเริ่มกว้างขึ้นๆ ในเวลาเดียวกันเนินเขาข้างในหุบเขานั้นก็เริ่มน้อยลงๆ พื้นที่สูงๆนั้นเริ่มน้อยลงไปด้วยราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกดทับหุบเขาเอาไว้จึงทำให้ที่ดินมันลุ่มลงไปยิ่งกว่าเดิม

ในทางกลับกันมีสมุนไพรจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นมา นอกจากทุ่งหญ้าและเนินเขาแล้ว มันยังมีสันเขาสองอันที่ยื่นมาจากหุบเขา  ทุกอย่างมันเตือน จางเทีย ว่าเขานั้นยังคงอยู่ในหุบเขาอยู่แต่ด้วยสันเขาที่น้อยลงไปนั้นมันได้บอกเขาว่าเขากำลังจะออกจากหุบเขาในไม่ช้า

พื้นที่ราบโล่งแบบนี้มันเป็นอันตรายสำหรับพวกเด็กๆ  พวกเขายากที่จะหนีการโจมตีจากพวกสัตว์อสูรได้เพราะไม่ค่อยมีสิ่งรอบข้างให้เข้าไปซ่อนรึหลบเท่าไหร่

เพราะแบบนั้น จางเทีย จึงได้เลือกที่จะเดินหน้าไปตามสันเขาที่ทางตอนใต้ของหุบเขา ถนนตรงภูเขานั้นไม่ดีเท่าไหร่ เทียบกับเส้นทางในหุบเขาแล้ว มันใช้แรงและเวลาเยอะกว่ามากกว่าเขาจะเดินได้ในระยะทางเท่ากันแต่ที่นี่น่ะเจออันตรายได้ง่ายกว่า

ในตอนที่ตกอยู่ในอันตาย คนเราสามารถใช้ภูมิประเทศมาช่วยได้ สิ่งที่ทำให้ดูวางใจมากที่สุดคือเส้นทางง่ายๆที่ไม่มีพุ่มไม้สูงๆข้างทางให้เห็น ที่สันเขานี่ก็พอมีบ้างซึ่งที่นี่ก็ยังพอมีเนินเล็กๆไว้ใช้คอยเป็นที่หลบจากการโจมตีของสัตว์อสูรได้อยู่

จางเทีย ได้ฝึกปืนต้นไม้มาหลายวันแล้ว

ระหว่างทาง จางเทีย ก็ยังเห็นถ้ำที่งูกินทองทำขึ้นมาแต่เทียบกับจำนวนรอบๆปราสาทแล้ว ยิ่งใกล้ทุ่งหญ้านี่มากเท่าไหร่ยิ่งมีถ้ำที่งูกินทองสร้างขึ้นน้อยลงซึ่งบอกบอกได้ว่าพวกมันไม่ค่อยเป็นภัยกับสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นที่นี่ รึในอีกความหมาย อันตรายน่ะอยู่ภายนอก  ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งแต่จำนวนเองก็เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย

ปกติแล้วทุ่งหญ้าน่ะก็คือพื้นที่ล่าของพวกหมาป่า !

ระหว่างทางเพราะมุมอันได้ที่ของสันเขา จางเทีย มองเห็นฝูงหมาป่าที่อยู่ไกลออกไป น้อยสุดก็ 2-3 ตัว มากสุดก็ 10 ตัว นี่ทำให้เขาคึกขึ้นมาอย่างมาก เขารู้สึกว่า Wild Wolf Seven-Strength Fruit นั้นกำลังทักทายเขาอยู่

‘ พลังของหมาป่า ! ‘ จางเทีย เริ่มน้ำลายไหล

“ ช่วยด้วย..อ่า.. “

ในตอนที่ จางเทีย อยู่ห่างจากฐาน 1 กม.ก็ได้มีลมเย็นๆจากทุ่งหญ้าพัดเข้ามาพร้อมกับเอาเสียงร้องของความช่วยเหลือมาด้วย  ตอนแรกเขาคิดว่าเขาคิดไปเองเพราะเขายังไม่เจอใครเลยในตอนเช้า ครั้งนี้เขาตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้หูฝาดแต่เป็นเสียงร้องจริงๆดังขึ้นมาจากข้างหน้า

“ ชะ....ด้....”

จางเทีย รีบดึงหอกออมา  เขาก้มตัวลงแล้วแอบเดินไปข้างหน้า  ไม่ถึง 20 ม. ตรงหน้านั้นเขาได้เห็นผู้ชายที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงที่อ่อนแรง

ตอนแรกเขาเห็นชายคนนั้นนอนอยู่ที่พื้นแต่ จางเทีย ไม่ได้เข้าไปตรงนั้น เขานั่งยองๆและมองรอบๆเพื่อยืนยันว่าไม่ใช่กับดักรึการซุ่มโจมตีและชายคนนี้ไม่ได้แกล้งเป็นแผลเพื่อล่อให้ จางเทีย วิ่งเข้าไปหา ...

ตั้งแต่ที่เขาเกิดมา จางเทีย ได้เห็นคนซวยมามากมายแต่วันนี้นี่คือคนที่ซวยที่สุด  แม้แต่ ดั๊ก ก็ยังไม่โชคร้ายขนาดนี้ ใครจะซวยจนเดินไปเหยียบกับดักหมีที่คนอื่นตั้งเอาไว้

 บนพื้นหญ้าที่ตีนภูเขาด้านหน้านั้นมีนักสำรวจคนหนึ่งนอนอยูที่พื้นพร้อมกับมีกับดักหมีงับหน้าแข้งซ้ายของเขา ผลก็คือเลือดนั้นไหลออกมาจนเลอะพื้นและกางเกงของเขา  เลือดบางส่วนมาจากชายผู้โชคร้ายคนนั้น ส่วนที่เหลือนั้นมาจากหมาป่าสองตัวที่นอนตายอยู่ที่พื้น

จางเทีย เดินเข้าไปหาและพบว่าชายคนนั้นยังคงหลับตาอยู่ หน้าเขาซีดราวกับกระดาษ เขาเกือบที่จะหมดสติแล้วเหลือเพียงแค่ลมหายใจที่พูดคำว่าช่วยด้วยโดยใช้แรงทั้งหมดที่มีของตัวเอง

อย่างแรก จางเทีย ได้เช็คคราบเลือดบนแผลและกับดัก ตัดสินจากคราบเลือดสีดำแล้ว จางเทีย รู้ว่าชายคนนี้คงโดนกับดักมามากกว่า 10 ชม.  หน้าแข็งของชายโชคร้ายนั้นหักเพราะกับดัก ส่วนคมเขี้ยวของกับดักนั้นฝังลึกเข้าไปในเนื้อของเขา เมื่อเห็นแผลแล้ว จางเทีย ก็ต้องช็อค

หลังจากที่เช็คแผลดูแล้ว จางเทีย ก็มองไปยังหมาป่าสองตัวที่ตายไป หลังจากที่ลองจับตัวพวกมันดู  จางเทีย ก็พิสูจน์ความคิดแรกของเขาได้  --- ชายโชคร้ายคนนี้นอนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน

จางเทีย พอคิดออกว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี้บ้างในตอนนั้น --- ชายคนนี้ได้เดินเตร็ดเตร่เมื่อคืนและบังเอิญเหยียบเข้าไปบนกับดัก ผลก็คือเขาล้มลงและกรีดร้องออกมาจนเรียกความสนใจของหมาป่าสองตัว  ต้องขอบคุณที่เขาฆ่ามันได้  หลังจากนั้นเขาก็นอนอยู่ที่พื้นตั้งแต่ตอนนั้นมา โชคดีที่เขายังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งตอนนี้แม้ว่านี่จะเป็นลมหายใจเสี้ยวสุดท้ายก็ตาม

จางเทีย มองไปรอบๆและพบว่าไม่มีใคร ชายคนนี้นอนอยู่คนเดียว  ในเวลาเดียวกันก็ได้มีจุดสีดำหลายจุดโผล่ขึ้นบนฟ้าซึ่งน่าจะเป็นพวกอีแร้งไม่ก็อินทรีย์

ถ้า จางเทีย ไม่ช่วยชายคนนี้ในวันนี้ เขาคงยากที่จะรอดคืนนี้ไปได้  เขาอาจจะโดนกินในตอนเย็น  ในตอนที่เดินทางมาที่นี่ จางเทีย ได้เห็นหมาป่าเริ่มเข้ามามองดูรอบๆ ตัดสินจากสภาพของชายคนนี้แล้ว แน่นอนว่าโดนโจมตีอีกครั้งคงตายแน่ไม่ว่าอะไรจะโจมตีก็ตาม

“ ชะ....”  - ชายคนนั้นพึมพำออกมาอีกครั้ง จางเทีย เกาหัวตัวเองและมองไปที่หน้าตาที่อายุประมาณ 30 อีกครั้ง ตอนนั้นเขาก็จำที่แม่เขาร้องออกมาเมื่อเห็นรูปพี่ชายของเขาและได้ถอนหายใจออกมา ‘ ฉันจะช่วยนาย... ‘

หลังจากที่วางเป้และซองหอกลง  จางเทีย ก็ค่อยๆไปช่วยให้ชายคนนั้นลุกขึ้นนั่ง  เขาตั้งหลังเหยียดตรงแล้วให้ขานั้นชิดกัน  เขาไม่ต้องการที่จะไปเปิดกับดักโดยบังเอิญเมื่อชายคนนี้ได้สติขึ้นมา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงชายคนนี้คงถือได้ว่าเป็นคนซวยที่สุดในโลก

หลังจากดิ้นรนมาหนึ่งคืนและเสียเลือดไปจำนวนมาก ชายคนนี้ได้หน้าซีดราวกับกระดาษและริมฝีปากของเขาก็ซีดราวกับศพ  จางเทีย พยุงอีกฝ่ายขึ้นด้วยมือข้างเดียวแล้วหยิบขวดน้ำจากเอวป้องเข้าไปที่ปากของชายคนนั้นให้เขาได้จิบน้ำ

น้ำข้างในขวดนี้มาจากน้ำใน Castle of Black Iron  นี่คือน้ำที่ดีที่สุดที่ จางเทีย เคยดื่มมาตั้งแต่เกิด  มันใสราวกับคริสตัลและยังหวานอีกด้วย  ตั้งแต่ที่เขาดื่มมันไป เขาก็เอามันออกมาดื่มอยู่ตลอด

แค่จิบน้ำได้ 10 วินาที ชายคนนั้นดูเหมือนจะกลับมารู้ตัว เขาเริ่มพึมพำออกมา – “ น้ำ....น้ำ.....น้ำ ... “
จางเทีย ค่อยๆป้อนเพราะกลัวว่าชายคนนี้จะสำลัก หลังจากที่ดื่มอยู่นาน ลำคอของชายคนนั้นก็สั่นไหว จากนั้นเขาก็เริ่มดื่มเร็วขึ้นอีก  เขาไม่หยุดจนกระทั่งน้ำหมดไปครึ่งขวด จางเทีย จึงได้ยึดขวดน้ำกลับคืนมารอให้ชายคนนั้นฟื้นฟูแรงและสติกลับมา

หลังจากนั้นหนึ่งนาที ชายคนนั้นได้ลืมตาขึ้น หลังจากที่มองมายัง จางเทีย แล้วเขาก็ปิดตาลงทันที มากกว่า 10 วินาทีต่อมาเขาก็เปิดตาขึ้นมาอีกครั้งสบตากับ จางเทีย อีกรอบ  เขาค่อยๆพึมพำขึ้นมาด้วยเสียงแหบพร่า – “ ขอบคุณ...”

เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นพอได้สติบ้างแล้วและรู้ว่า จางเทีย นั้นมาช่วยเขา  ในที่สุด จางเทีย ก็ถอนหายใจออกมา ถ้าเขาตื้นได้ ทุกอย่างก็จะจัดการง่ายขึ้น  นอกจากลืมตาแล้วตัดสินจากอกที่ขยับไปมา ชายคนนี้ก็หายใจเริ่มราบรื่นขึ้น  ดังนั้นแล้วเขาคงไม่น่าจะตายแล้ว

ก็เหมือนกับที่ครูได้สอนเอาไว้  น้ำน่ะคือแหล่งของชีวิตซึ่งไม่มีอะไรมาแทนได้  ถ้าไม่มีน้ำก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนจะรอดไปได้

เขาให้อีกฝ่ายพิงขาเขาไว้  จางเทีย วางแผนว่าจะให้ชายคนนี้ฟื้นฟูแรงให้ได้สักนิด

หลังจากนั้นแค่เพียง 2 นาที ชายคนนี้ก็ดูเหมือนที่จะฟื้นฟูแรงได้มากกว่าเดิม

“ นายมีน้ำมั้ย... “
จางเทีย ส่งขวดน้ำเขาให้  ครั้งนี้ชายคนนั้นถือขวดน้ำเองแล้วกระอึกลงไป จางเทีย ลองดีดที่ขวดน้ำที่เอวของชายคนนั้นดูและพบว่ามันว่างเปล่าซึ่งทำให้เขาหมดคำพูดอีกครั้ง
---- คนอะไรซวยฉิบหาย ! หลังจากที่น้ำหมด เขาก็เดินมาเหยียบกับดักแล้วนอนอยู่นี่ทั้งคืน  ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้หิวน้ำแบบนี้

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.