spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 131: เด็กหนุ่มที่เหมือนสายลม
หลังจากที่แยกตัวกับกลุ่มของ บอนเดอร์ แล้ว จางเทีย ก็จบแผนการล่าหมาป่าของวันนี้ แม้ว่าเขาจะดูใจเย็นอย่างมากต่อหน้ากลุ่ม บอนเดอร์แต่ในใจไม่ใช่แบบนั้นเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ จางเทีย ได้เห็นเพื่อนร่วมรุ่นตาย รึบางทีนี่เอาจจะเป็นครั้งแรกที่มีคนตายในการฝึกนี้
ครูต่างก็บอกกันว่าคนตายกว่า 70% ในการฝึกนี้จะเกิดขึ้นเดือนที่สองของการฝึก นี่เป็นเพราะหลังจากเดือนแรกแล้วเด็กๆนั้นจะกล้าหาญกันมากกว่าเดิม แม้ว่าพลังในการต่อสู้นั้นจะไม่ได้พัฒนาได้รวดเร็วแต่มันก็ง่ายที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรม
จางเทีย เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆตามเส้นทางในหุบเขาพร้อมกับคิดถึงเรื่องแผลที่ชุ่มไปด้วยเลือดซึ่งเตือนให้เขาได้นึกตึงกฎของการเอาตัวรอดในโลกใบนี้ --- แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ระดับต่ำที่สุดก็สามารถนำไปสู่สถานการณ์เอาเป็นเอาตายได้และทำให้เกิดเรื่องสะเทือนใจขึ้นได้ สี่ครอบครัว แม่สี่คนและญาติหลายๆคนของเด็กเหล่านั้นต้องเสียใจอย่างมากซึ่งมันเกิดจากหมาป่าเมื่อตอนบ่ายนี้
จางเทีย คิดได้ว่าครอบครัวจะเศร้าแค่ไหนหลังจากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกของตัวเอง ครอบครัวของเขานั้นเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน แม้ว่าพี่ชายคนโตของเขาจะตายในสนามรบเมื่อหลายปีมาแล้วแต่ผลกระทบนั้นยังคงอยู่ตลอดไป
‘ ทักษะแรกคือพลัง ในตอนที่ใช้แรงทั้งหมดออกไป คนๆนั้นจะได้รับแก่นของทักษะ ! ‘ --- นี่คือบทบรรยายของทักษะหมัดเหล็กโลหิตที่แว๊บขึ้นมาในหัวของ จางเทีย เขาเข้าใจประโยคนี้ใหม่ เส้นทางของตัวเลขฟิโบนัลชีนั้นไม่ใช่เส้นทางของการพัฒนาแต่เป็นเส้นทางที่อิงจากแรงที่แท้จริง พลังที่ยิ่งใหญ่และสุดยอดในโลกนั้นคือพลังที่ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นและพลังที่จัดการคนอื่นให้ตายได้
‘ จะไม่มี สเนซ กับ ฮัค อีกต่อไปในชีวิตฉันอีก ‘ จางเทีย บอกกับตัวเอง ‘ นอกจากฉันแล้วจะไม่มีใครกำหนดชะตาชีวิตฉันได้ ‘ เมื่อคิดแบบนั้นเขาก็รีบเดินหน้าต่อไป...
สิบนาทีต่อมาในตอนที่ จางเทีย ได้ผ่านไปที่แม่น้ำก็ได้มีหมาป่าโดดออกมาพุ่งเข้าใส่เขา ในตอนที่มันพุ่งออกมา หอกก็ได้ตกลงมาจากฟ้าปักมันลงที่พื้น จางเทีย ได้พุ่งผ่านมันไปโดยไม่ได้สนใจกลับไปมองสักนิด เขาไม่ได้มองไปที่เหยื่อและดึงหอกกลับออกมาและเก็บมันเข้าไปที่หลังก่อนจะเดินหน้าต่อไป.....
“ ใครกัน ? “
ทีมล่าที่ประกอบไปด้วย 8-9 คนต่างก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่ จางเทีย ทำ ในตอนที่หมาป่าได้โดดออกมา เด็กพวกนั้นกำลังจะตะโกนเตือนแต่ไม่คาดคิดเลยว่าก่อนที่จะตะโกนทุกอย่างก็จบลงแล้ว
เมื่อ จางเทีย จากไป พวกนั้นก็เข้าไปเช็คหมาป่าดูและต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินจากแผลของหมาป่าแล้ว พวกเขาก็ตระหนักว่าหอกนั้นต้องเข้าไปด้านหลังคอของมันและทะลุออกมาตรงหัวใจทำให้โดนฆ่าในวินาทีเดียว นี่มันสุดยอดจริงๆ รึว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ? พวกเขารู้สึกว่าวันนี้ช่างโชคดีจริงๆเพราะได้หมาป่ามาฟรีๆ
“ เราจะทำแบบนี้ได้เหรอ ? “ – หนึ่งในกลุ่มนั้นได้ถามขึ้นมา
“ ถ้าเขารู้สึกว่าหมาป่านี้มีค่า เขาก็จะอยู่ต่อ นายคิดว่าคนที่ฆ่าหมาป่าได้ง่ายๆจะมาหวงอะไรกับหมาป่านี่ ? “
เมื่อได้ยินแบบนั้น คนอื่นๆต่างก็พยักหน้า
“ ไปกันเถอะเพื่อน นี่ยังเช้าอยู่เลย หมาป่าตัวนี้น่ะไม่พอให้เรากินได้สองวันหรอก... “- หัวหน้ากลุ่มพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือ
“ ชายคนนั้นเป็นใคร ? ฉันไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลย ! “
“ เชื่อฉันได้เลย คนเก่งแบบนั้นไม่มีทางที่จะไม่ดังหรอก เราจะรู้เองว่าเขาเป็นใครถ้าเราเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นในปราสาท ! “
……
จางเทีย ยังคงวิ่งด้วยความเร็วปานกลาง เขาเรียนรู้วิธีวิ่งในอาทิตย์แรกของการฝึก ถ้าเขาวิ่งเร็วเกินไป เขาจะวิ่งต่อไม่ได้นาน นอกจากการใช้พลังงานที่สูงแล้วถ้าเขาวิ่งเร็วเกินไปเขาอาจพลาดบางอย่าง โดยเฉพาะการเปลี่ยนไปของภูมิประเทศซึ่งอาจทำร้ายเขาได้โดยทำให้เขาหาทางตอบโต้ได้ไม่ถูกต้องในตอนที่เกิดวิกฤต
ในทางกลับกันถ้าเขาวิ่งช้าเกินไป ระยะการเคลื่อนที่ของเขานั้นจะจำกัดอย่างมากซึ่งอาจทำให้เขาพลาดบางอย่างไป โดยเฉพาะสำหรับผู้โดดเดี่ยวที่ซึ่งจำเป็นต้องล่าเหยื่อด้วยตัวเองอย่าง จางเทีย ถ้าเขาอยู่ในพื้นที่เล็กๆต่อเขาอาจทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรอจนหิวและยิ่งมีโอกาสน้อยลงไปอีกที่จะหาเหยื่อได้
ดังนั้นแล้วสำหรับผู้โดดเดี่ยวแล้วการวิ่งที่เหมาะที่สุดคือวิ่งด้วยความเร็วปานกลางซึ่งทำให้สามารถวิ่งไปได้ 1-2 ชม.โดยที่ไม่รู้สึกหมดแรงและสามารถปรับตัวคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศได้ อีกทั้งยังมีระยะการเคลื่อนที่ที่กว้างขึ้นด้วย ในอีกความหมายคือการวิ่งด้วยความเร็วปานกลางนี้สามารถใช้แรงต่อสู้สูงสุดออกมาได้ทุกครั้งและสามารถตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินได้โดยที่ไม่ต้องตึงเครียดอะไรมาก
นอกจากความเร็วในการวิ่งแล้ว จางเทีย เองก็ยังเรียนรู้วิธีการหายใจในตอนวิ่งด้วย เขาใช้เวลา 1 อาทิตย์กว่าจะเชี่ยวชาญในการวิ่งด้วยความเร็วปานกลางด้วยจังหวะที่เหมาะสม ตอนนี้ จางเทีย สามารถวิ่งด้วยความเร็วเท่านี้ไปกว่า 1 ชม.พร้อมกับรักษาแรงในการต่อสู้ของตัวเองได้
เขารู้สึกว่าการวิ่งแบบนี้มันเหมือนกับวิ่งไปเรื่อยๆและเป็นการดึงประสิทธิภาพของร่างกายเหมือนกับที่ทำกับเครื่องบินที่ครูสอนมาที่โรงเรียน จางเทีย นั้นเชี่ยวชาญทักษะของ ‘ การควบคุมการเคลื่อนที่ ‘ ในอาทิตย์แรกเมื่อมาอยู่คนเดียว ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขานั้นอยู่ที่ 15 กม./ชม. เขาสามารถวิ่งด้วยความเร็วระดับนี้ได้ไปกว่า 1 ชม.โดยที่รักษาแรงต่อสู้ตัวเองไว้ได้
ฮ่ะ ! ไม่ใช่ว่ามันน่าสนใจหรอกเหรอ ? เขากลายเป็นเครื่องบินไปแล้ว !
เขาโชคดีและได้ฆ่าหมาป่าไปอีกตัวและทำให้ผลไม้ข้างในตัวเขานั้นเริ่มที่จะสุกขึ้นไปอีก เมื่อคิดแบบนั้น จางเทีย ก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีก
เขาน่ะพอใจกับการวิ่งในหุบเขานี้ ระหว่าง 15 ปีที่ผ่านมา จางเทีย ได้ใช้ชีวิตน่าเบื่อในเมือง นอกจากไปโรงเรียนแล้ว เขาจะไปที่ร้าน ดอนเดอร์ ไม่ก็บ้าน ตอนนั้นเขาไม่ได้มีประสบการณ์ที่เป็นอิสระแบบนี้เลย
การวิ่งแบบนี้นั้น จางเทีย ค่อนข้างมีความสุขกับมัน ถ้าเขาอยู่กับมันต่อได้ เขาก็เลือกที่จะอยู่วิ่งแบบนี้ไปตลอดชีวิต ด้วยวิธีนี้เขาจะไปที่ไหนก็ได้ตามที่เขาต้องการ เขาอยากวิ่งอย่างอิสระโดยไม่ต้องสนใจอย่างอื่น เขาจะได้ชมทิวทัศน์ของโลกทั้งหมด
การวิ่งในหุบเขาด้วยตัวคนเดียวนี้ทำให้ จางเทีย รู้สึกชอบกับการเป็นผู้โดดเดี่ยวขึ้นมา
ในตอนที่พระอาทิตย์ไปอยู่ฝั่งทิศตะวันตก ในที่สุด จางเทีย ก็ได้มาถึงที่ที่เขาเรียกว่าฐานเบอร์สองหลังจากวิ่งมาได้หนึ่งชั่วโมง
นี่คือถ้ำที่เกิดขึ้นเองสูงกว่าพื้นไป 10 ม.ความชันมันอยูที่ 80-90 องศา มีเถาวัลย์ลากยาวลงไปจากด้านบน การเข้าไปในถ้ำก็ต้องอาศัยเถาวัลย์กับก้อนหินรอบๆ
ถ้ำนี้ห่างจากปราสาทมา 20 กม. ที่นี่นั้นไกลกว่าที่ที่เขาเจอกับกลุ่มของ บอนเดอร์ เมื่อวานนี้ อีกฝั่งไกลจากถ้ำไป 10 กม.นั้นคือทุ่งหญ้าพระจันทร์เสี้ยว พื้นที่ระหว่างหุบเขาทั้งสองข้างของที่นี่เปิดกว้างออกอย่างกับประตู
หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่อยู่คนเดียว ระยะทางที่เขาทำการสำรวจนั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ขัดและเริ่มเข้าใกล้ทุ่งหญ้าขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนที่เขามาถึงด้านล่างถ้ำ จางเทีย ก็มองไปรอบๆและเมื่อไม่เห็นใคร เขาก็ดึงเถาวัลย์ลงมาแล้วปีนเข้าไปที่ปากทางเข้าถ้ำ เมื่อเขามาถึงปากทางเข้าแล้ว จางเทีย ได้นั่งยองๆเช็คดูที่ใบไม้และหินที่แตกบนพื้นอยู่ประมาณ 20 วินาที หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง
ของที่พื้นพวกนี้ไม่ใช่กับดักแต่เป็น ‘ เครื่องหมาย ‘ ที่พวกนักสำรวจใช้กัน เมื่อมีใครเข้ามาที่ทางเข้าหลังจากที่ จางเทีย ได้ออกไปแล้วเครื่องหมายเหล่านี้จะกระจัดกระจายไป จางเทีย จะรู้ นี่คือทริคที่พวกนักสำรวจใช้เมื่ออยู่ในป่า เครื่องหมายที่บอกข้อมูลได้มากมาย
ทีมนักสำรวจหลายทีมได้เพิ่มภาษาลับและเครื่องหมายต่างๆไว้ในเครื่องหมายเล่านี้ที่มีแต่พวกตัวเองเท่านั้นที่จะเข้าใจมันได้ บางครั้งก็เป็นกิ่งไม้,ใบไม้,หินที่วางอยู่ตามพื้น --- ในสายตาของพวกตัวเองแล้วมันมีข้อความที่อาจบอกได้ถึงตำแหน่งและทิศทางที่พวกเขากำลังจะไป พวกเขาอาจใช้เป็นสัญญาณเตือนเหมือนที่ จางเทีย ใช้พวกมัน ตราบใดที่มีคนเข้ามาแล้วเขาจะรู้
หลังจากที่เช็คเสร็จ จางเทีย ก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นนอกจากนั่งลงบนหินตรงทางเข้า ลมเย็นๆพัดผ่านมา เขามองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ฉากตอนที่พระอาทิตย์ตกดินนี่ช่างสวยงาม ก่อนที่จะมาเป็นผู้โดดเดี่ยวนั้น จางเทีย ไม่ได้ดูมันจริงจังอะไรแต่หลายวันที่ผ่านมานี้เขามักที่จะนั่งอยู่ที่ไหนสักที่คอยมองดูพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไป
นี่คืออีกเหตุผลว่าทำไม จางเทีย ถึงชอบการมาอยู่คนเดียว นอกจากการวิ่งแล้วเขายังสามารถนั่งแบบใจเย็นที่ไหนสักที่ที่เขาต้องการ และดูพระอาทิตย์ตกดินโดยที่ไม่ต้องมีเพื่อนเรียกรึชี้นู่นั่นนี่
‘ โลกนี่ช่างสวยงามในตัวของมัน ! ‘ --- นี่คือสิ่งที่เขารู้สึกในตอนที่ดูอยู่นั้น
‘ ฉันล่ะสงสัยว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ดูพวกมันมานานแค่ไหนแล้ว ‘
เมื่อคิดถึงผมขาวที่เพิ่มขึ้นทุกวันจากการทำงานหนัก จางเทีย ก็สาบานว่าเมื่อเขารวยแล้วแน่นอนว่าเขาจะซื้อบ้านใหญ่ๆให้ทั้งคู่ บ้านใหญ่ๆนั้นจะมีระเบียงใหญ่ๆสองอัน อันหนึ่งด้านทิศตะวันตกเพื่อพ่อแม่เข้าจะได้ดูแสงแรกของพระอาทิตย์ตอนที่ตื่นนอน อีกอันอยู่ด้านทิศตะวันออกเพื่อพ่อแม่เขาจะได้ดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป
ก่อนหน้านี้ จางเทีย อาจจะทำให้ฝันเป็นจริงไม่ได้แม้ว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตามแต่ตอนนี้เขาเข้าใจว่าเมื่อเขามีความแข็งแกร่งเพียงพอ แน่นอนว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบที่เขาต้องการได้
แม้ว่าเขาจะทำมันไม่ได้ตอนที่อยู่ในระดับ 2 แล้วระดับ 3 ? 4 ? 5 ? 6 ? 7 ? 8 ? 9 ? 10 ? พี่ชายของเขาบอกว่าเจ้าหน้าที่ระดับ 10 ในเมืองในจะได้สิทธิในการได้รับที่อยู่ในเขตอิสระ....
โอ้และนั่นก็คือที่ตกลงกับ มิสไดน่า เอาไว้ด้วย !
……
ในตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไป แสงยามเย็นก็ได้หม่นลง สิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ในถ้ำต่างก็บินออกมาเพื่อใช้ชีวิตกลางคืนของพวกมัน
จากนั้น จางเทีย ได้เข้าไปในถ้ำที่เขาสามารถเข้าไปใน Castle of Black Iron และเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองโดยใช้วิธีอื่นได้ เพราะเขาได้ฆ่าหมาป่าไป 5 ตัวในวันนี้ จางเทีย รู้ว่า Trouble-reappearance Fruit ผลใหม่คงจะก่อตัวขึ้นมาแล้ว เขาสรุปได้จากหลายวันที่ผ่านมาเมื่อเขาฆ่าหมาป่าไปมากกว่า 3 ตัวรึหมาป่าตัวใหญ่สามตัว เขาจะได้ Trouble-reappearance Fruit มา
เขาได้กิน Trouble-reappearance Fruit ไปสี่ผล ทำให้เขาสามารถเลือกฉาก Trouble-reappearance Fruit ได้ 8 ที่และสามารถสู้กับหมาป่า 23 ตัวพร้อมกันได้ 22 ตัวเป็นหมาป่าธรรมดาและอีกตัวนั้นเป็นหมาป่าตัวใหญ่ เขาเริ่มที่จะพบความลับของ Trouble-reappearance Fruit ทีละนิดๆ.....
หลังจากที่กิน Trouble-reappearance Fruit ผลที่สามและสี่เข้าไป จางเทีย พบว่าผลไม้นี้มีสององค์ประกอบ ฉากที่ได้แสดงออกมาและวิญญาณของพวกหมาป่า เขาสามารถจัดแจงวิญญาณพวกนั้นได้ตามต้องการและจัดพวกมันเข้าลงในฉากที่เขาจะเข้าไปฝึกได้
หลังจากที่ใช้งานแล้ว พวกมันจะเข้าสู้กับเขา องค์ประกอบสองอย่างของ Trouble-reappearance Fruit นั้นสามารถเข้ารวมกันรึแยกกันก็ได้ตามใจที่เขาต้องการ Trouble-reappearance Fruit แต่ละอันนั้นจะเพิ่มองค์ประกอบสองอย่างนี้ขึ้นมาซึ่งทำให้เขาสามารถใช้มันในการพัฒนาทักษะต่อสู้,การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและจุดประสงค์ในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นไปอีก
Trouble-reappearance Fruit นั้นสุดยอดจริงๆ มันอัศจรรย์ หลังจากที่ฝึกอยู่ใน Trouble-reappearance Fruit จางเทีย รู้สึกว่าการทักษะการต่อสู้และการฆ่าของเขานั้นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ฆ่าหมาป่าตัวใหญ่ไปกว่า 5 ตัวในวันนี้ เขาคงรอไม่ได้ที่จะลองสู้กับหมาป่าตัวโต 6 ตัวและหมาป่าธรรมดาอีก 22 ตัวพร้อมกันใน Trouble-reappearance Fruit....