spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 122: ปลดโซ่ตรวน
ก็เหมือนกับที่มันเกิดครั้งแรก พลังงานของ Leakless Fruit ได้ปลุกจุดชีพจรที่หลังของ จางเทีย เขารู้สึกได้ถึงการเผาไหม้และแสงนั่นก็เปล่งแสงสีม่วงที่สว่างกว่าเดิม แสงนั่นเองก็เริ่มขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นเมื่อไม่มีอุปสรรคใดๆ เมื่อแสงสีม่วงนั้นขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดก็เกิดระเบิดออกมาในหัวของ จางเทีย บอลแสงสีม่วงได้ระบิดออกและกลายมาเป็นฝนแสงสีม่วง หลังจากนั้นจุดชีพจนที่หลังของเขาก็มีไฟหม่นๆขึ้นมา ไฟนั้นเริ่มขยายขนาดขึ้นเปลี่ยนแสงและความร้อนรอบๆความมืดมิดและเย็นชานั้นทำให้ จางเทีย รู้สึกสบายไปทั่วทั้งตัว
ในตอนที่จุดชีพจรจุดแรกที่หลังของเขาถูกจุดขึ้นมา จางเทีย รู้สึกว่าอยู่เขาก็ได้เปิดล็อคเหล็กที่หนักหลายร้อยกิโลกรัมออก ก่อนหน้านี้ตัวล็อคนี้ได้ล็อคที่หลังของเขาไว้ วันนี้หลังจากที่เปิดล็อคนั่นแล้วทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
นี่คือช่วงเวลาที่รอคอยมานาน เขารู้สึกผ่อนคลายเหมือนภาระที่มีโดนปลดออกไป เขารู้สึกเบาจนเกือบจะบินได้
ความรู้สึกนี้มันสุดยอดจริงๆ
เพราะกระดูกสันหลังมันเป็นเส้นตรง ดังนั้นจึงมีจุดชีพจรที่กระดูกสันหลัง ในตอนที่ปลุกจุดชีพจรที่หลังขึ้นมาได้ จางเทีย รู้สึกว่าจุดชีพจรที่สองบนหลังของเขานั้นเร่มเชื่อมต่อกับจุดชีพจรที่เขาเพิ่งปลุกมันขึ้นมา Leakless Fruit นั้นเพิ่งส่งผลกับร่างกาย มันได้พุ่งเข้าไปที่จุดชีพจรที่สองบนหลังเหมือนกับหมาบ้าที่พบเป้าหมายของมัน
จากนั้นจุดชีพจรที่สองบนหลังก็เริ่มเปล่งแสงขึ้นมา....
มากกว่า 20 นาทีผ่านไปในตัวของ จางเทีย ได้สั่นไหวนิดๆอยู่สองครั้ง ในตอนที่ Leakless Fruit ถูกใช้พลังงานจนหมด จางเทีย ไม่ใช่แค่ปุกจุดชีพจรที่หลังได้แต่ยังขึ้นมาอยู่ในระดับ 2 ได้สำเร็จ แม้แต่จุดชีพจรที่สองบนหลังเองก็เริ่มเปล่งแสงออกมาเป็นสีส้มด้วย
เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใน Castle of Black Iron และได้ลืมตาขึ้นด้วยความพอใจ เขาลุกขึ้นจากพื้นและลองขยับแขนขาดู เมื่อได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังขึ้นมาเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังทั้งภายในและภายนอกที่เต็มเปี่ยมทำให้ จางเทีย นั้นตื่นเต้นจนตะโกนออกมาอย่างดัง
กัปตันเคอร์ลิน ได้บอกไว้ว่าเมื่อจุดชีพจรที่หลังถูกจุดขึ้นมาแล้ว แรงของคี,แรงของเลือด,แรงของเส้นเลือด, แรงของช่องทาง,แรงของกระดูก,แรงของไขกระดูกและแรงของพระเจ้าในตัวคนเราจะก่อตัวขึ้นมา หลังจากนั้นจะรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลาย ตอนนี้ในที่สุด จางเทีย ก็เข้าใจว่าทำไมร่างกายของ เกรซ นั้นถึงได้ดีกว่าคนอื่นเมื่อเขาเป็นนักรบระดับ 2
หลังจากที่ขยับแขนขาอยู่สักพัก จางเทีย ก็เริ่มวิ่งไปรอบๆ Castle of Black Iron เขาวิ่งเพื่อปรับตัวให้เข้ากับพลังงานใหม่ที่ได้มา
เขาเรียนรู้มาจากที่โรงเรียนว่าเมื่อปลุกจุดชีพจรบนหลังได้แล้ว เราควรจะวิ่งมากกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อปรับตัวให้เข้ากับพลังงานในตัวให้เร็วที่สุด ครูเรียกมันว่าการทดสอบระบบ นี่คือสถานการณ์ที่เครื่องจักรใหม่ถูกเอามาติดตั้งและเราต้องลองระบบมันดูอยู่หลายรอบเพื่อดูว่าส่วนไหนที่ติดขัด ผลดีของมันคือใช้ได้อย่างต่อเนื่องไปอีกนาน
ตอนแรก จางเทีย ไม่ได้วิ่งเร็วมากแต่หลังจากที่วิ่งสักพักแล้วเขารู้สึกว่ากระดูกและกล้ามเนื้อของเขานั้นปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อยจากการผ่อนคลายและแรงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นแล้ว จางเทีย เลยใช้เวลาวิ่งรอบ Castle of Black Iron ได้น้อยกว่าเดิม
ดินแดนใน Castle of Black Iron นั้นมีพื้นที่ประมาณ 300 ม. มันเป็นครั้งแรกที่ จางเทีย วิ่งเพื่อหาสิ่งน่าสนใจ หลังจากที่ปลุกจุดชีพจรที่หลังขึ้นมาแล้วเขารู้สึกว่าภาระที่เขามีนั้นได้ปลดปล่อยแรงที่ถูกขังไว้ไปทั่วร่างกาย การวิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเขานั้นรวดเร็วกว่าเดิมมาก
หลังจากที่วิ่งได้หนึ่งรอบ จางเทีย ก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกนิด ภายใน Castle of Black Iron เขายังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆเหมือนกับเด็กที่เพิ่งรู้วิธีวิ่ง
ใน Castle of Black Iron มีทุ่งหญ้าเขียวขจีเต็มไปหมด พวกข้าวโพดที่ จางเทีย ปลูกเอาไว้สูงกว่า 1 ม.แล้ว อีกอย่างต้นถั่ว,มันฝรั่งหวาน,ทิวลิปและฟักทองเองก็งอกออกมาให้เห็น
จากเมล็ดที่ ย่าเทเรซ่า ให้มา มันได้เติบโตอย่างรวดเร็ว เมล็ดที่ จางเทีย เก็บมาตอนที่ฝึกเอาตัวรอดอยู่นั้นก็เติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน
แม้แต่เมล็ดต้นสนที่ จางเทีย ได้หว่านไว้เมื่อหลายวันก่อนก็เริ่มงอกออกมาโดยหนาพอๆกับนิ้วชี้แล้ว ตอนนี้ Castle of Black Iron เริ่มดูเหมือนโลกที่ทนทาน ในเวลาเดียวกันค่าออร่าเองก็เพิ่มขึ้นไปพร้อมกับต้นไม้ที่เจริญงอกงามเหล่านี้
หลังจากวิ่งอยู่นานกว่า 20 นาที ในที่สุด จางเทีย ก็ปรับตัวเข้ากับแรงใหม่ของตัวเองได้ หลังจากพักสักหน่อย เขาก็ได้เริ่มฝึกท่าพยัคฆ์นอน ท่าพื้นฐานของทักษะหมัดเหล็กโลหิตโดยการนอนอยู่ที่พื้นเหมือนกับเสือ
ครั้งนี้เขาได้ทุ่มเทไปมากกว่าเดิม เขากัดฟันแน่นและรักษาท่าไว้จนกว่ากล้ามเนื้อเขาจะสั่นและจนกว่าเขาทนไม่ได้อีกต่อไป เขาประมาณเวลาว่าเขาทนได้นานกว่า 17-20 นาที --- พัฒนาขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ความอดทนที่เพิ่มขึ้นมาในตอนที่ฝึกท่านี้นั้นหมายถึงแรงและความอึดที่เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ปลุกจุดชีพจรบนหลังขึ้นมาได้
หลังจากที่ฝึกเสร็จ จางเทีย ได้ยืนขึ้น หลังจากพักได้สักครึ่งนาทีท่าพยัคฆ์หลับนั้นก็เหมือนจะแสดงเอฟเฟ็คลึกลับของมันออกมา แต่ละครั้งที่เขาฝึกมัน เขาจะรู้สึกมีแรงราวกับเสือซึ่งรวมถึงครั้งนี้ด้วย นี่คือความแปลกของท่านี้
ก่อนที่จะเรียนรู้หมัดเหล็กโลหิต จางเทีย ไม่คิดมาก่อนเลยว่าแค่ท่าง่ายๆเหล่านี้นั้นจะส่งผลสุดยอดได้ขนาดนี้ เพราะเขาได้ยินมาว่าทักษะนี้ส่งผ่านจากคนเอเชียมา จางเทีย เลยเริ่มหวังที่จะไปยังที่ลึกลับเหล่านั้น
ไม่นานหลังจากฝึกท่าพยัคฆ์นอนเสร็จ จางเทีย ก็เริ่มฝึกท่ามือทั้ง 36 ในทักษะหมัดเหล็กโลหิตใน Castle of Black Iron หลังจากที่ขึ้นมาอยู่ในระดับ 2 แล้วการเคลื่อนที่ของเขานั้นคล้ายกับคำอธิบายในหนังสือมากกว่าเดิม
หลังจากที่พลังงานวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมา 7 เท่า จางเทีย พบว่าความจำของเขาก็เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากเขารู้ว่าเขาสามารถจดจำเนื้อหาของทักษะหมัดเหล็กโลหิตได้ทั้งหมดหลังจากที่เปิดผ่านๆเพียงรอบเดียว ดังนั้นแล้ว จางเทีย จึงทิ้งหนังสือให้กับพวก แบร์ลี่ และคนอื่นๆแล้วออกมาอยู่ด้วยตัวคนเดียว
หลังจากที่ฝึกท่ามือทั้ง 36 แล้ว จางเทีย ได้ออกมาจากที่นั่นเมื่อปรับตัวเข้ากับแรงใหม่ได้แล้ว
เมื่อเห็นหอกที่เขาปักไว้ที่ใต้ต้นไม้ จางเทีย ก็มีความคิดหนี่งแว๊บขึ้นมา เขาเดินไปที่นั่นแล้วจับหอกขึ้นมา ไม่นานเขาก็รู้สึกแปลกขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ จางเทีย พยายามลองคิดระยะทางให้ไกลที่สุดดู ตอนนี้การโยนนั้นถึงระยะ 30-40 ม. เทียบกับ 30-40 ก้าวของนักรบระดับ 1 แล้วระยะทางนี้มัน้ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเลื่อนขึ้นมาอยู่ในระดับ 2
เขาโยนมันออกไปปักเข้าจุดที่เล็งไว้จนมันฝังไปกับพื้นกว่า 1 ฟุต
‘ ฮาฮา ... ‘
จางเทีย หัวเราะออกมา เขาเดินไปที่นั่นแล้วดึงหอกออกจากพื้นก่อนจะเก็บมันเข้าซอง หลังจากนั้นเขาก็สะพายซองนั่นไว้ที่หลังก่อนจะเอาดาบแนบเข้าที่เอวแล้วจัดของของตัวเอง
หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังต้นไม้เล็กๆใน Castle of Black Iron อีกครั้ง ครั้งนี้มีผลไม้สองอันห้อยอยู่ หนึ่งคือ Leakless Fruit ซึ่งโตมาได้ 4 วันแล้วและอีกอันคือ Iron-Body Fruit ที่สุก สำหรับ Iron-Body Fruit แล้ว จางเทีย มีวิธีทำให้มันสุกได้อยู่
หลายวันที่ผ่านมาตอนเขาอยู่ที่ฐานต้นไม้ จางเทีย ได้ทำไม้กลองขึ้นมาโดยใช้ท่อนไม้,พวกหญ้าแห้งและหนังกระต่ายที่เขาแลกจากคนอื่นมา ทุกวันเขาจะขอให้ แพนโดร่าเอามันมาตีเขา ยกเว้นหัว,หน้าและส่วนสำคัญของร่างกาย จางเทีย จะยอมให้เธอฟาดแบบรุนแรงกี่ครั้งก็ได้ตามที่เธอต้องการ
ในที่สุดความเจ็บนี้ก็ทำให้ Iron-Body Fruit สุก ในตอนที่เขาเพิ่งเข้า Castle of Black Iron มา จางเทีย ได้เห็นว่า ก่อนหน้านี้เขาวางแผนว่าจะกิน Iron-Body Fruit ไปพร้อมกับ Leakless Fruit แต่เขายังไม่แน่ใจว่าเขาจะปวดท้องเหมือนครั้งที่แล้วรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงไม่สะดวกเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอไปก่อน ถ้าเขาพบฐานใหม่ในตอนเย็นแล้ว เขาก็จะค่อยกิน Iron-Body Fruit
ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นของเขาอยู่แล้ว มันไม่มีทางบินหนีเขาไปในไม่กี่ชั่วโมงนี้แน่
เมื่อคิดแบบนั้น จางเทีย ก็ยิ้มออกมา หลังจากมองไปที่ประตูตรงหว่างคิ้ว ในไม่กี่วินาที จางเทีย ก็ได้หายไปจาก Castle of Black Iron
……
2 นาทีต่อมา จางเทีย ได้ออกมาจากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งปากทางเข้านั้นปกคลุมไปด้วยพวกเถาวัลย์ ด้วยแสงแดดที่สาดลงมาทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเพื่อมองไปรอบๆ เขาหัวเราะกับตัวเองก่อจะกระโดดลงจากถ้ำที่สูงจากพื้นกว่า 2 ม. หลังจากนั้นก็เดินหน้าเข้าสู่หุบเขาลึกไปกว่าเดิม
ถ้ำนี่น่ะห่างจากฐานต้นไม้กว่า 5-6 กม. เท่ากับที่ฐานต้นไม้นั้นห่างจากปราสาท มีไม่กี่คนที่มาทำที่นี่เป็นฐาน ดังนั้นแล้วถ้ำนี้จึงไม่เคยใช้เป็นที่พักมาก่อน ในตอนที่ จางเทีย ผ่านมาในตอนเช้า เขาได้มองไปรอบๆก่อนจะตัดสินใจใช้ที่นี่ในการเลื่อนขั้นเป็นนักรบระดับ 2
ในตอนที่เขาออกจากถ้ำมา คนใกล้ๆกับปราสาทที่ห่างออกไปกว่า 10 กม.กำลังคุยเรื่องนักรบระดับ 1 นั้นได้ออกไปเป็นผู้โดดเดี่ยว พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่า จางเทีย จะทิ้งฐานต้นไม้ไปแล้วได้กลายมาเป็นนักรบระดับ 2 ได้ ที่มากกว่านั้นเองนักรบระดับ 2 คนนี้มีพรสวรรค์ลึกลับกับตัวที่แม้แต่ตัวเขาเองก็อธิบายไม่ได้...
หลังจากที่ออกจากถ้ำมา จางเทีย ได้เริ่มเดินไปรอบๆหุบเขา เขารู้สึกได้ว่าหมาป่าสองตัวนั้นยังอยู่ในหุบเขาแห่งนี้และตอนนี้คือเวลาที่ควรไปจัดการกับพวกมัน
……
เกือบจะในเวลาเดียวกันที่ จางเทีย เดินออกมาจากถ้ำ มีชายแก่หนวดขาวหลายคนซึ่งได้นั่งสมาธิอยู่ในพื้นที่ลึกลับใกลๆกับทะเลห่างจากตอนใต้ของเมืองแบล็คฮ็อตไปกว่า 2,000 กม.ได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน
สถานที่นั้นได้แสดงถึงบรรยากาศที่สุดยอด มีเสาขนาดใหญ่ที่สูงหลายสิบเมตรและหนาหลายสิบเมตรมีให้เห็นอยู่ทั่วทุกที่ เสาเหล่านี้นั้นไม่ได้มีการประดับตกแต่งแต่งอย่างใด
พื้นในปราสาทนั้นปูด้วยหินแปลกๆสีดำ มีขาตั้งสีทองและม่วงสูงกว่า 3 ม.วางไว้ทั้งสี่มุมของปราสาท น้ำมันปลาวาฬนั้นถูกเติมลงไปเพื่อให้จุดไฟให้แสงสว่าง
ภายใต้เปลวไฟเหล่นั้นมีคำสองคำเขียนอยู่บนแผ่นป้าย ‘ ปราสาทไฮหยวน ‘ ใต้คำพูดนี้มีรูปปั้นสูงกว่า 20 ม. รูปปั้นเหล็กนี้ถือธนูยาวกว่า 10 ม.และมองไปข้างหน้า มันตั้งท่ายิงและใช้หัวลูกศรชี้ไปที่ทางเข้า
รูปปั้นนั้นดูกล้าหาญ สำหรับคนที่เข้ามายังปราสาทแห่งนี้แล้ว ในตอนที่เห็นรูปปั้น พวกเขาจะต้องช็อคทั้งในใจและภายนอกจนต้องคุกเข่าให้กับรูปปั้น
ตรงหน้าร่างขนาดใหญ่นั้นมีแผ่นศิลาบันทึกที่ถูกจัดเรียงไว้ แต่ละแถวเรียงต่ำลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งหมดมีศิลามากกว่า 10,000 อันโดยมากกว่า 20 แถวเรียงรายกันอยู่
ที่ด้านล่างศิลาเหล่านั้นมีแท่นบูชา ตรงกลางนั้นมีคริสตันสีดำโปร่งแสงแต่ไม่มีมลทินสูงกว่า 1 ม.ตั้งเอาไว้ ถ้า จางเทีย มาที่นี่และเห็นคริสตัลนี้เข้า เขาคงต้องทึ่ง
ตอนนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสตัลได้ทำให้คนแก่รอบๆนั้นต้องลืมตาขึ้นมา
มีลูกบอลเลือดขนาดพอๆกับหมัดกลิ้งไปมาในคริสตัลสีดำ บอลเลือดได้เปล่งแสงสีแดงออกมาซึ่งกลิ้งไปมาพร้อมกับตัวหนังสือบางอย่าง ในตอนนั้นในที่สุดตัวหนังสือก็ได้มารวมตัวกันและกลิ้งไปด้านบนคริสตัลเพื่อที่จะเปลี่ยนรูปแบบของมัน
“ ดูเหมือนว่าจะมีศิษย์ใหม่ในสมาคมเราได้ปลุกสายเลือดบรรพบุรุษขึ้นมา.. “
คนแก่เหล่านั้นล้วนแต่ยิ้มออกมา ด้วยอายุของพวกเขาแล้วนี่คือสิ่งที่น่าสนใจที่สุดและสนุกที่สุด สำหรับคนเหล่านี้แล้วไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าการเห็นลูกหลานตัวเองเติบโตขึ้น
ภายใต้รอยยิ้มและดวงตาที่แสดงความเอ็นดูแล้ว หลังจากนั้นสักพักก็ได้มีคนหนึ่งถอนหายใจออกมาหลายครั้งกับการที่ตัวหนังสือในคริสตัลในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นหอกสีแดงและได้หยุดเปลี่ยนแปลง
“ นั่นมันไม่เลวเลย .... “- คนแก่คนหนึ่งพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม – “ แม้ว่าเขาจะปลุกสายเลือดที่ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสายเลือดจางของเราแต่ถ้าเขาปรับเข้ากับ ‘ การโยนที่แม่นยำ ‘ เข้ากับตัวได้แล้ว เขาจะประสบความสำเร็จจนเขาเองก็คาดไม่ถึง... “
เมื่อพูดจบคนแก่นั่นได้มองไปที่หอกซึ่งมีตัวหนังสือสีแดงนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นมาก่อนจะพยักหน้าอีกครั้ง – “ ไม่เลวเลย เขาอายุเพียง 15 ปี เขาเพิ่งปลุกจุดชีพจรที่หลังขึ้นมาได้และเปิดพลังคีและพลังของเลือดทำให้คริสตัลเลือดวิญญาณนี้สัมผัสได้ถึงตัวเขา แม้ว่าเขาจะปลุกจุดชีพจรได้ช้าสักนิดแต่เขาก็ไม่ได้ปลุกสายเลือดนี้ช้าเกินไป ยังไงซะเขาก็ถือว่าพอใช้ได้และสามารถพัฒนาได้ พี่มู่อั๋น ท่านคิดว่าไง ? “
“ แน่นอนคำพูดของ น้องมู่อั๋น น่ะถูกต้องอยู่แล้ว.. “ – คนแก่อีกคนหัวเราะออกมา – “ บรรพบุรุษของเรา ดยุคไฮหยวน คือลูกหลานโดยตรงของตระกูลจางที่มาจากเอเชีย แน่นอนว่าสายเลือดของเขาน่ะต้องดีพอ ไปเอาไอ้เด็กนี่มาตรวจดูจิตใจกันดีกว่า ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เราค่อยให้ไอ้เด็กนี่เขามายังปราสาทไฮหยวนเพื่อเคารพบรรพบุรุษของเรา ถ้าเราต้องบ่มเพาะเขาแล้ว เขาอาจจะมีส่วนร่วมอันยิ่งใหญ่ในอนาคตก็ได้ ! “
“ ดี ! “
คนอื่นๆต่างก็พยักหน้าและยิ้ม จากนั้นคนแก่คนนั้นก็ได้หยิบเอาคลิปหยกขึ้นมาแล้วดีดมันจนทำให้เกิดเสียงดังก้องไปทั่วปราสาท
ก่อนที่เสียงนั้นจะหายไปก็ได้มีคนหนึ่งโผล่ออกมาคุกเข่าต่อหน้าคนแก่ทั้งหลาย
“ จางชุน เคารพท่านทั้งหลาย พวกท่านต้องการให้ผมทำอะไร ? “
“ ศิษย์วัย 15 ในสมาคมของเราเพิ่งปลุกจุดชีพจรที่หลังขึ้นมาได้ คริสตัลเลือดวิญญาณสัมผัสได้ว่าเขาปลุกสายเลือดบรรพบุรุษขึ้นมา เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับปราสาทไฮหยุน ไปเอาตัวเขามาที่นี่ เราจะต้องตรวจสอบเขา ... “ – คนแก่ที่เพิ่งดีดคลิปหยกสั่งออกมาอย่างใจเย็น
“ เข้าใจแล้วครับ... “ – ชายคนนั้นยืนขึ้นพร้อมกับไขว้หมัดไว้ที่เหนือหัวทั้งๆที่ยังกึ่งคุกเข่าอยู่แล้วออกไปจากปราสาท
ในปราสาทนั้นเหล่าคนแก่ทุกคนต่างก็มองไปยังหอกสีแดงที่กำลังจะหายไปก่อนจะเริ่มหลับตาลงทีละคนๆ
……
เกือบ 2 ชม.ต่อมาชายคนที่ออกไปนั้นก็กลับมาพร้อมกับคุกเข่าต่อหน้าคนแก่เหล่านั้นอีกครั้ง
“ ท่านทั้งหลาย ผมไปทั่วทั้ง 8 เมืองของปราสาทไฮหยุด มีเด็กฝึกหัดทั้งหมด 1,761 คนที่อายุ 15 และมีนามสุกลว่าจางรวมถึง 9 คนที่อยู่ไกลออกไปอีก ไม่นานมานี้มี 23 คนที่เพิ่งปลุกจุดชีพจรที่หลังขึ้นมาได้แต่หลังจากที่ทำการตรวจสอบแล้วดูเหมือนจะไม่มีใครที่ปลุกสายเลือดบรรพบุรุษขึ้นมาได้เลย ! “
จางชุน ตอบกลับทำให้คนแก่เหล่านั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มองหน้ากันแล้วพวกเขาก็เห็นอาการแปลกใจและโกรธในสายตาคนอื่นเมื่อได้ยินว่าคนสืบทอดโดยตรงของ ดยุคไฮหยุน นั้นไม่ได้อยู่ในเมืองของปราสาทไฮหยุนรึไม่ได้อยู่ในบันทึกของสายตระกูลจาง นั่นไม่น่าเป็นจริงได้ !
แม้แต่ชื่อของเด็กที่ก่อคดีแล้วลงโทษรึตายไปเพราะคดีต่างก็มีบันทึกไว้ในต้นไม้สายตระกูลโดยทำโดยสมาคมสาดแสง สำหรับสายตระกูลของคนเหล่านั้นยังมีบันทีกเกี่ยวกับความสำเร็จในสมาคมสาดแสงด้วยซึ่งตั้งชื่อมันว่าบันทึกอาชญากร ยังมีแม้แต่การแต่งงาน,งานศพและการส่งของซึ่งคนในสมาคมสาดแสงเองก็บันทึกเอาไว้
แต่ลูกหลานโดยตรงของ ดยุคไฮหยวน นั้นกลับไม่พบในสายตระกูล ! นี่ทำให้พวกเขากลายเป็นตัวตลก เส้นสายของมนุษย์นั้นคือรากของสมามคม ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเส้นสายเหล่านั้นแล้ว มันคงเป็นเรื่องจริงจังอย่างมาก ที่ตามขาตั้งทั้งสี่ซึ่งเป็นตัวแทนของการพัฒนาของปราสาทไฮหยวนนั้นได้รับรายงานมาว่าผู้อาวุโสนั้นหงุดหงิดซะรู้สึกเหมือนโดนคนอื่นตบหน้าเอา
“ ไปตรวจสอบมา ไปตรวจสอบมา... “
คำสั่งที่หงุดหงิดนี้ดังก้องไปทั่วปราสาท ผลก็คือได้มีลมที่หนักหน่วงพัดเข้ามาในปราสาทแห่งนี้จนทำให้ไฟของขาตั้งทั้งสี่นั้นสั่นไหวไปมาเหมือนกับไม้ขีดไฟที่กำลังไหม้ซึ่งกำลังจะดับ...
จางเทีย ไม่รู้เลยจว่าตอนที่เขาได้ปลุกจุดชีพจรที่หลังขึ้นมาได้นั้นได้สร้างพายุขนาดใหญ่ขึ้นมาในสถานที่ที่ไกลออกไปแล้ว....
……