spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 113: การตัดสินใจส่วนตัว
เพราะเป็นข้อห้ามที่ห้ามบอกว่าเกิดอะไรขึ้นในเหมืองเลยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หลังจากที่ทำข้อตกลงกันแล้วพวกเขาแค่บอกคนอื่นด้านนอกถ้ำว่า จางเทีย แค่เล่าประสบการณ์ในถ้ำให้ฟัง
ไม่คาดคิดว่าในวันเดียวกันกลุ่มคนกว่า 64 คนที่ทำสัญญากันนั้นต่างก็อยากเข้าร่วมโบสถ์โบราณ
นี่คือผลลัพธ์ของการหลอกลวงของ จางเทีย ทุกอย่างในพิธีนี้ได้ทำให้ทุกคนนั้นซึ้ง สำหรับ จางเทีย แม้ว่าทักษะการอวยพรนั้นไม่ใช่ว่าไร้ความหมายไปซะทีเดียวเพราะสิ่งที่ จางเทีย ได้สอนคือสุภาษิตของจีนที่ว่าไม่ลงมือก็ไม่ได้อะไร อีกอย่างเหตุที่ จางเทีย กล้าสร้างเรื่องหลอกลวงนี้ขึ้นมาเพราะประสบการณ์ในการเป็นกระสอบทรายในคลับต่อสู้ จางเทีย รู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อต้องโดนอัดแต่สู้กลับไม่ได้ ก็คล้ายๆกันในตอนที่เรียนรู้ว่าจะต้องยอมรับและเข้าใจมุมมองใหม่ๆ หลังจากที่ได้รับข้อดีจากที่ต่างๆจึงทำให้ จางเทีย รู้สึกว่ามันเท่มากเพราะเขารู้สึกได้ถึงความสุขที่อยู่ในใจของเขา
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดแต่สิ่งที่ค่อนข้างสำคัญที่สุดนั้นคือมุมมองและความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างน่ะมีสองด้าน ด้านดีและด้านที่แย่ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณมองมันยังไง ถ้าคุณรู้สึกว่ามันดี งั้นมันก็จะทำให้คุณมีความสุข ถ้าคุณคิดว่ามันแย่ มันก็จะแย่และทำให้คุณเป็นทุกข์ ในตอนที่เขาเปิดวิญญาณละทิ้งทุกอย่างจากมุมมองเก่าๆและโฟกัสแต่ด้านดี จางเทีย พบว่าเขารู้สึกสดชื่น ก็เหมือนกับน้ำที่ทะลักออกมา ในตอนที่เปิดมันออก น้ำจะไหลออกมารดทั่วตัว นี่คือสิ่งที่ จางเทีย รู้สึกและสะสมมาจนเขารู้ได้ถึงความหมายของการอวยพรนั้นคืออะไร --- เมื่อไหร่ก็ตามและอะไรก็ตามที่คุณเผชิญหน้าอยู่ ถ้าคุณสนใจในด้านบวก งั้นคุณก็จะรู้สึกสนุกและนั่นก็คือการอวยพรนั่นเอง !
จางเทีย ได้คิดกุเรื่องโบสถ์ขึ้นมา เขารู้สึกว่าไม่มีใครจะตามภาพลวงตานี้ต่อไปเมื่อจบการฝึกแล้วเพราะพวกเขาต่างก็มีเรื่องของตัวเองให้ไปจัดการ เพื่อเปลี่ยนการอวยพรให้กลายเป็นจริงและช่วยพวกเขากลายเป็นผู้อุทิศตัวและทำให้พวกเขาเข้าถึงข้อกำหนดต่ำสุดของโบสถ์แล้ว.....ทุกอย่างน่ะเป็นแค่เรื่องหลอกลวงเล็กๆที่ จางเทีย กุขึ้นมาเพื่อที่จะให้เขาออกจากสถานการณ์นี้ได้ จางเทีย ไม่เชื่อว่าเรื่องหลอกลวงนี้จะโดนเปิดโปงและเนื่องจากมันเป็นของที่แต่งขึ้นด้วย นอกจากนี้แล้วการให้คนเหล่านี้เผชิญกับความยากลำบากในชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่การอวยพรรึแม้แต่ จางเทีย เองจะสามารถบังคับคนอื่นๆได้
‘ แล้วถ้าสิ่งที่เกิดในถ้ำถือว่ามันคือคำโกหกที่ส่งผลดีและเป็นการอวยพรพวกนั้นล่ะ ‘ นี่คือสิ่งที่ จางเทีย บอกกับตัวเอง
ก่อนหน้านี้มีคนแค่ไม่กี่สิบคนในถ้ำแต่หลังจากวันนี้ไปแล้วก็มีหน้าใหม่ 50-60 คนเข้ามาทำให้ที่นี่มันเสียงดังกว่าแต่ก่อน แม้แต่อุโมงค์ที่ จางเทีย ทำงานอยู่ก็ยังมีคนมากมายหลายคน
มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนที่ยอมรับในโชคชะตาและคนที่ขี้แพ้และได้มาทำงานที่นี่ คนเหล่านี้น่ะถูกล้างสมองโดย จางเทีย แล้วและสิ่งที่พวกเขาได้แสดงออกมานั้นทำให้พวกเขาดูเหมือนเป็นกลุ่มคนบ้าในสายตาคนอื่น
ต่างกันกับพวกที่เพิ่งเริ่มขุดเหมืองในตอนที่มาถึงพร้อมกับตะกร้า คนพวกนี้น่ะตอนแรกจะมาคุกเข่าและสวดภาวนาแสดงความขอบคุณก่อนที่จะลงมือทำงาน
“ ฉันขอบคุณนักบวชเจ้าที่นำฉันมาที่นี่ ฉันเป็นแค่แร่ดิบแต่กลับได้รับการอวยพรจากนักบวชเจ้า ทุกครั้งที่ฉันใช้พลั่วและแบกของตลอดในอุโมงค์นั้นฉันขอขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ฉันได้รับการอวยพรและของขวัญที่ยิ่งใหญ่ ท่านได้สร้างเลือดเนื้อและกระดูกให้หมดแรงและปวดได้แต่ท่านได้มอบแรงอันแสนดีงามและความทนทานให้ ท่านได้สร้างแร่ที่ยากที่จะทำลายเพื่อที่จะเพิ่มความอดทนและความกล้าหาญของฉันในตอนที่ทำลายมันลงมา เพราะท่าน ฉันจึงได้รับอาหาร เพราะท่านฉันจึงมีแรง เพราะท่านฉันจึงมีร่างกายที่ดีขึ้น เพราะท่านฉันจึงผ่านพ้นความยากลำบากทั้งหมดมาได้ ฉันรู้ว่าไวน์ชั้นสูงนั้นมักจะมีรสขมในตอนแรกที่ชิม ฉันรู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจากการอวยพรนั้นมักจะยากลำบากและมีปัญหา จากวันนี้เป็นต้นไปการบ่นทุกอย่างจะหายไปจากตัวฉันและฉันจะผ่านพ้นความยากลำบากและปัญหาทั้งหมดไปโดยไม่สงสัยในผลลัพธ์ที่ออกมา มันก็เหมือนกับการลิ้มรสไวน์ ฉันจะเปิดใจรับการอวยพร ปัญหาและความยากลำบากน่ะคือการอวยพรที่นักบวชเจ้าได้มอบให้ ฉันจะรับการอวยพรนั้นด้วยความกตัญญุและซาบซึ้ง ฉันจะดูดซับพลังของการอวยพรนั่น ! ของนักบวชเจ้าสถิตกับฉันด้วย ! “
หลังจากที่ภาวนะแล้วพวกนี้ได้แตะและจูบลงไปที่หินก่อนที่จะเริ่มใช้พลั่วทำงาน พวกเขาทำราวกับขุดหาทอง พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าพอใจกันออกมา
พอตเตอร์ นั้นเป็นคนแรกที่ทำแบบนั้น สุดท้ายก็มีคนทำตามเขาและก่อนที่พวกนี้จะออกจากเหมือง ทุกคนจะเริ่มภาวนาสำหรับการอวยพรที่ได้รับ แม้แต่ผู้เสียสละทั้งสี่ที่นำโดย วู๊ด เองซึ่งไม่ได้เข้าพิธี ‘ ศักดิ์สิทธิ์ ‘ ก็เริ่มภาวนาไปด้วย ในตอนที่ภาวนานั้น วู๊ด และผู้เสียสละทั้งสี่ก็รู้สึกนิดๆได้ถึงแก่นของการอวยพรและเริ่มซาบซึ้งไปกับมัน
ตลอดคืนนั้น พอตเตอร์ ได้คิดถึงเรื่องวิธีการภาวนา หลังจากเขาคิดอยู่นาน ในวันต่อมา เขาก็เข้ามาถาม จางเทีย ผู้ชี้ทางเพื่อขอคำแนะนำ หลังจากที่อ่านบทสดแล้ว จางเทีย ก็ช็อคและรู้สึกตกใจขึ้นมา
“ นายคิดเองรึเปล่า ? “ - จางเทีย จ้องไปที่ พอตเตอร์ ด้วยความสงสัย เขาสงสัยว่าไอ้โคร้ายที่เพิ่งยอมรับชะตาตัวเองในการขุดเหมืองเมื่อวานนี้กลับมีพรสวรรค์ขึ้นมา จางเทีย ช็อคจริงๆกับบทสวดนี้โดยเฉพาะท่อนที่เกี่ยวกับไวน์ นี่มันโคตรมีความหมาย
“ ใช่ !” - ในตอนที่เขาพูดบทสวด พอตเตอร์ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาและหน้าของเขาก็เริ่มแดงขึ้น – “ ฉันไม่รู้เหมือนกัน ฉันตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อคืนจนนอนไม่หลับและคำพวกนี้มันก็ค่อยๆเข้ามาในหัวทีละคำๆ ! “
“ ดูเหมือนว่าการอวยพรนั้นจะส่งผลกับนายแล้ว.... “ - จางเทีย พูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม – “ คำพูดของบทสวดนี้ดีมากราวกับว่ามันรวมกันจากการอวยพรและความรู้สึกภายในของนายแต่มีข้อเสียอยู่อย่าง ถ้านายเพิ่มประโยคนี้เข้าไปในตอนจบจะทำให้บทสวดนี่สมบูรณ์แบบเลย ! “
“ ฉันต้องเพิ่มตรงไหน ? “ – พอตเตอร์ ถามอย่างกังวล
“ ถ้านายเพิ่มคำว่า ‘ ขอให้นักบวชเจ้าสถิตกับฉัน ‘ ที่ตอนจบ มันจะทำให้ได้ผลดีมากขึ้น ! “ - จางเทีย เสนออย่างกับผู้เชี่ยวชาญ
ดังนั้นในตอนบ่ายก็ได้มีบางคนเห็น พอตเตอร์ นั่งคุกเข่าลงที่พื้นพร้อมกับสวดบทสวดที่ได้คุยกับ จางเทีย มา ในตอนเช้าคนทั้ง 64 คนต่างก็สวดบทสวดนี่ ทุกคนนั้นพึงพอใจกับบทสวดอย่างมากโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ จางเทีย เพิ่มเข้ามาให้ ทำให้พวกเขามั่นใจในความลึกลับของโบสถ์มากขึ้น
ในยุคนี้ ความเชื่อของมนุษย์นั้นมีมากมาย ในโลกนี้แม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นนักบวชเจ้าจริงๆแต่คนที่บูชานักบวชเจ้าก็มีให้เห็นอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะที่ไหน จางเทีย ก็รู้ว่ามันต้องมีในพันธมิตรอันดามันแน่ๆ แม้แต่ในราชวงศ์อาทิตย์ก็ยังมี มีคนมากกว่า 7 กลุ่มที่ใช้นักบวชอาทิตย์นั้นเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนแห่งความเชื่อ มีกลุ่มอื่นจำนวนมากที่ซึ่งบอกว่าเป็นผู้ติดตามเทพอย่างแท้จริงสุดท้ายแล้วกลุ่มพวกนั้นก็โดนคนโกหกนั้นควบคุมเอาเพื่อที่จะทำเงินและนอนกับผู้หญิงและสุดท้ายก็เจ๊งไป เทพน่ะมักจะลงมาและจากไปกับพวกกลุ่มพวกนั้นทำให้พวกนั้นลืมเลือนกันได้ง่ายๆ ในกรณีนี้แล้ว จางเทีย รู้สึกว่ามันมีเหตุผลและรับได้ที่เขาจะแต่งเรื่องเทพโบราณนี้ขึ้นมา
ในพันธมิตรแล้วผู้คนที่ซึ่งแต่งเรื่องเทพขึ้นมานั้นมีความผิดน้อยกว่าคนที่แต่งเรื่องความสัมพันธ์ของคน อย่างหลังน่ะอาจจะทำให้มีปัญหาได้ ส่วนอันแรกนั้นไม่เคยได้รับการสนใจจากคนอื่นเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่ลองขุดเหมืองกับพวกที่ได้รับการอวยพรในเหมืองมา 3 วัน จางเทีย ก็แทบจะทรุด แม้ว่า Leakless Fruit จะสุกมาได้สามวันแล้วแต่ระหว่างสามวันที่ผ่านมา จางเทีย ไม่ได้มีโอกาสที่จะเข้าไปใน Castle of Black Iron เลย ในตอนที่เขาเข้ามาในเหมือง เขามักจะเป็นคนที่โดนจับตามองมาที่สุด เทียบกับก่อนหน้านี้กับคนในเหมืองตอนนี้แล้วมันมากกว่าเดิมถึง 4-5 เท่า เหมืองนี่ไม่มีที่ซ่อนสำหรับเขาให้เข้าไปใน Castle of Black Iron อีกแล้วและไม่มีที่ไหนที่เขาจะเพิ่มพลังงานให้กับ Castle of Black Iron อีกด้วย
นี่ก็ผ่านการฝึกไปเกือบครึ่งแล้วและ จางเทีย รู้ว่าถ้าเขายังอยู่ในเหมืองแบบนี้ต่อไปงั้นเขาก็คงต้องอยู่กับพวกนี้ในเหมืองต่อไปอีกเดือนนึงแน่ๆ แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ จางเทีย ต้องการ
ดังนั้นหลังจากที่ขุดเหมืองในวันที่สามตั้งแต่ที่พวกนี้มาอยู่ด้วย จางเทีย ได้ประกาศการตัดสินใจของเขาออกมา เขาต้องการที่จะออกจาเหมืองนี้และออกไปใช้ชีวิตคนเดียวในการฝึก เขาต้องการที่จะได้รับความแข็งแกร่งที่มากกว่าเดิมจากการผจญพภัยและสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายกว่านี้..