spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 108: ชีวิตแบบคนเถื่อนในเหมือง
จางเทีย จำเรื่องที่ ดอนเดอร์ บอกเขาได้ตอนที่เขาทำงานในร้านชำ เรื่องราวของกลุ่มคนเถื่อนที่อาศัยอยู่ในถ้ำตั้งแต่เกิด วันหนึ่งกลุ่มคนเถื่อนได้พบพื้นที่ใหม่ในถ้ำที่มีเงาของคนยักษ์สั่นอยู่บนกำแพง เงานั้นใหญ่ซะจนคนเถื่อนเหล่านั้นคิดว่ามันคือพระเจ้ารึเทพ ทุกปีและทุกวันนั้นพวกเขาจะทำการบูชาเงานั่นตลอด หลายปีผ่านไปคนหนุ่มในเผ่าได้เห็นเงาบนกำแพงนั่นแต่เขาไม่เหมือนคนอื่นที่ซึ่งบูชาเงานั่น เด็กหนุ่มคนนี้น่ะฉลาด เมื่อเห็นเงานั่นเขาต้องการอยากรู้ว่าเงานั่นน่ะเกิดมาจากอะไรเพื่ออธิบายให้ทุกคนได้รู้ หลังจากนั้นหลังจากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมามากมายเด็กหนุ่มได้กลายเป็นคนแรกที่ออกจากถ้ำ เมื่อเขาออกมาแล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าเทพนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง ลำแสงที่สาดลงมาตรงทางเข้าทำให้เกิดเงาของหินฉายบนกำแพงในถ้ำเป็นรูปร่างของคน เพราะการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ เงานั้นจึงมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ
เมื่อพบเหตุผล เด็กหนุ่มนั้นกลับมาด้วยความตื่นเต้นและบอกคนอื่นๆเรื่องที่เขาเห็นภายนอกแต่แทนที่จะช็อค พวกนั้นกลับหงุดหงิด พวกเขาจับเด็กหนุ่มมัดเพราะการหมิ่นเทพ พวกเขาฆ่าเด็กนั่นตรงหน้าของ ‘ เทพ ‘ และทำการบูชาเงานั้นต่อไป
มีความจริงสองข้อในเรื่องนี้ที่ ดอนเดอร์ ต้องการที่จะสอน จางเทีย อย่างแรกคือทุกคนเชื่อในอย่างหนึ่ง แม้ว่ามันจะผิด นายก็ไม่ควรที่จะเผยความจริงและไม่ควรที่จะเอาตัวเองไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้คนเพราะทุกคนนั้นถือว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง นี่คือกฎการเอาตัวรอดของสังคมมนุษย์ อย่างที่สองคือความจริงมีคนรู้เพียงไม่กี่คน สำหรับคนส่วนมากแล้วพวกเขาไม่รู้ความจริงว่าเป็นยังไงและเลือกที่จะเชื่อภาพลวงตาที่สร้างจากอารมณ์ของพวกเขา ดังนั้นอารมณ์จึงสำคัญกว่าความจริง
มันเป็นเรื่องจริงตามที่ จางเทีย คาดเอาไว้ว่าเรื่องตลกของเขาได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
การขุดเหมือง....วิธีการบ่มเพาะอันลึกลับ ? เหี้ย ! นี่มันไปกันใหญ่แล้ว
เมื่อเห็นความต้องการในดวงตาของพวกนั้นแล้ว จางเทีย ก็ตระหนักได้ว่าถ้าเขาบอกความจริงไปเขาต้องโดนฝังและเปลี่ยนให้คนพวกนี้กลายเป็นศัตรูเขาแน่ๆ
‘ ฉันควรบอกความจริงไปเลยมั้ย ? ‘
‘ แน่นอนว่าไม่ พ่อคนนี้ไม่ใช่คนโง่ ! ‘
‘ ดูเหมือนว่าฉันคงต้องใช้ท่าไม้ตายแล้ว.... ‘
‘ 3...2....1 ฉันเข้าใจแล้ว ชีวิตแบบคนเถื่อนในถ้ำขุดเหมือง ‘
ภายในวินาทีเดียวความคิดต่างๆก็แว๊บขึ้นมาในหัวของ จางเทีย ภายใต้สายตาของทุกคน สีหน้าของ จางเทีย ได้เปลี่ยนไปจากช็อคมาเป็นเคร่งขรึม
จางเทีย ดูจริงจังอย่างมากในตอนนี้
“ ฉันคิดไม่ออกเลยว่าความลับของฉันจะถูกค้นพบ...อั๊ก ! “ - จางเทีย อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของ จางเทีย ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นมา มันคือความลับจริงๆ ! ก่อนหน้านี้มีพวกนี้หลายคนต้องการที่จะลองดูแต่พวกเขาคิดว่าพวกเขาไม่คิดว่าพวกเขาจะได้ของดีแบบนี้
“ มันเป็นความรู้ลึกลับจริงๆเหรอ ? “ - วู๊ด นั้นตื่นเต้นขึ้นมาพร้อมกับเอามือถูกกัน
“ มันไม่สะดวกที่จะพูดที่นี่ เข้าไปที่เหมืองกันเถอะ ! “ - เขาทำท่าเป็นระวัง จางเทีย หันซ้ายหันขวาก่อนที่จะกลับมามองพวกเด็กตรงหน้า - “ จากนี้โปรดอย่าทำตามใจ เงียบๆไว้แล้วทำตามคำสั่งฉัน คนที่ทำไม่ได้ก็ออกไปซะ สำหรับคนที่จะมาฟังคำสั่งก็ตามเข้ามา ! “
ในตอนที่เขาพูด จางเทีย ได้เอาคบไฟออกมาจากตะกร้าและจุดไฟมัน เขาโบกมือให้ วู๊ด และกระซิบ
“ สักพักตอนที่เราเข้าเหมือง นายควรอยู่ด้านหลัง จำไว้ว่าอย่าจุดคบไฟ หลังจากที่เข้ามาได้ประมาณ 100 ม. นายควรระวังด้านหลังสักห้านาทีเพื่อดูว่ามีคนตามเรามารึเปล่า เราจะไปรอนายที่ด้านหน้าอุโมงค์ ! “ - จางเทีย บอกกับ วู๊ด เบาๆ
“ แต่ฉันไม่มีนาฬิกานิ นายบอกฉันได้มั้ยว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ในความมืด ? “ - วู๊ด เกาหัวตัวเอง
ไม่คาดคิดเลยว่าชายที่ชื่อ วู๊ด นี้จะคิดเรื่องนี้จริงจังด้วย จางเทีย ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสอนเขาคิดเรื่องเวลา – “ ตอนนายอยู่ด้านหลังก็กดชีพจรและนับถึง 300 ก่อนนายจะออกมา....”
“ ได้ ! “ – ตาของ วู๊ด เป็นประกายขึ้นมา มันเป็นความรู้ลับ สิ่งที่ลึกลับที่สุดและเป็นความรู้จากตะวันออก ! ตอนนี้ไม่ใช่แค่ วู๊ด เท่านั้นแต่หัวใจของเด็กคนอื่นต่างก็เต้นรัว
วู๊ด นั้นยืนอยู่ข้างๆและมองมาที่ จางเทีย ที่ซึ่งจุดคบไฟขึ้นมา ตอนนี้ จางเทีย มองไปรอบๆเห็นใบหน้ากระกายของเด็ก 50-60 คน จางเทีย เห็นว่ามีหลายคนหน้าคุ้นๆ พวกเขาคือพวกโชคร้ายที่มาขุดเหมืองกับเขาเมื่อหลายวันที่ผ่านมา พวกนี้น่ะเป็นพวกโชคร้ายที่ไม่สามารถจับสัตว์ใดๆได้ อีกอย่างความจริงที่พวกนี้น่ะเป็นพวกเก็บตัวและไม่ค่อยมีเพื่อนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาขุดแร่เพื่อที่จะเอาตัวรอด
ในตอนที่ จางเทีย มองไปที่พวกเหล่านั้นที่มาขุดเหมืองกันที่นี่ พกวนั้นล้วนแต่ลองใช้วิธีทุกอย่างแล้ว แม้ว่า จางเทีย เองจะไม่รู้เรื่องนี้แต่เขาน่ะก็ถือว่าเป็นไอดอลของเหล่านักขุดแร่ที่นี่แล้ว นอกจากภาพลักษณ์อันสุดยอดของ จางเทีย ที่แสดงออกมาทั้งความฉลาดและพลังในการต่อสู้เมื่อวานนี้ รวมถึงในเรื่องงานเลี้ยงเมื่อคืนด้วย เขาได้ทำให้เด็กเหล่านี้เคารพเขาอย่างแท้จริง
“ เพื่อนที่เคยขุดแร่ที่นี่ โปรดก้าวออกมาข้างหน้าด้วย ! “
เมื่อได้ยินคำพูดของ จางเทีย พวกเหล่านั้นต่างก็ก้าวกันออกมา พวกเขามองหน้ากันกลัวว่าจะโดน จางเทีย ไล่หนี สำหรับคนเหล่านี้แล้วกว่าสิบปีที่พวกเขามีชีวิตมานั้นพวกเขาชินกับการโชคร้ายและโดนคนอื่นเมินทั้งในโรงเรียนและที่อื่นๆ ดังนั้นในตอนที่ จางเทีย เรียกพวกเขาออกมาแล้ว พวกเขาต่างก็กังวล บางคนนั้นถึงกับขมวดคิ้วเลยก็มี
“ เรา...เราต้องการตามนายเข้าไป ! “ – ชายคนนั้นรวบรวมความกล้าพร้อมกับตะโกนออกมาทั้งๆที่หน้าแดง
“ แน่นอน ตอนที่ประตูศักดิ์สิทธิ์เปิดจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ ! “ – เมื่อคิดถึงการใช้ชีวิตแบบคนเถื่อน จางเทีย ก็ทำตัวง่ายๆและยิ้มแบบอบอุ่นออกมา ยิ้มแบบพวกนักบวชชอบยิ้มตอนที่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้ศรัทธา – “ เนื่องจากพวกนายคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าคนอื่น ฉันต้องการที่จะให้พวกนายเดินนำหน้าพร้อมกับคบไฟไปเพื่อไม่ให้คนอื่นไปผิดทาง พวกนายจะทำภารกิจนี้ได้มั้ย ? “
“ ได้แน่นอน เราทำได้ ! “ - คนพวกนี้รีบตอบกลับด้วยความตื่นเต้น
“ งั้นพวกนายไปได้ ใช้คบไฟติดตามทางให้คนอื่นด้วย ! “ – ความคิดของเริ่มกระจ่างขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้ เขานั้นฉลาดที่จะใช้ชีวิตแบบคนเถื่อนและคำพูดมาใช้เป็นเรื่องลึกลับสำหรับคนพวกนี้ – “ ตอนที่เริ่มจุดไฟตามทางให้แสงสว่างคนอื่น เส้นทางของนายในอนาคตเองก็จะสดใส่ขึ้น ! “
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็เริ่มแสดงท่าทีเคร่งขรึม มีบางคนถึงกับหน้าแดงเลยก็มี เขาได้แสดงความต้องการว่าอยากติดตาม จางเทีย และตอนเดินเผ่าน จางเทีย ยังก้มหัวเลยก็มี หลังจากนั้นเชิดอกและหัวขึ้น พวกเขาได้เข้าไปในถ้ำพร้อมกับคบไฟที่มีอยู่ในมือ
“ ทุกคน ตามมา “- จางเทีย ตะโกนสั่งคนอื่นด้านหลัง บางคนนั้นก็มีคบไฟในมือพร้อมกับคนอื่นด้วย แม้ว่าจะมีคนแค่ 30 ที่มีคบไฟ มันก็สว่างมากพอที่จะทำให้พวกเขาเดินหน้าต่อได้ หลังจากที่รับการฝึกและการศึกษามาหลายปี มันก็ทำให้พวกนั้นสามารถเดินหน้าต่อได้ ไม่มีใครพูดอะไรรึไม่มีใครอยากจะออกไป ทุกคนต่างก็เดินตาม จางเทีย ด้วยความใจเย็น เพราะความรับผิดชอบที่ได้มา วู๊ด เองก็ค่อยๆเดินตามหลังกลุ่มไปเพราะ จางเทีย ได้สั่งเขาไว้...
สำหรับเด็กพวกนี้ที่ซึ่งตาม จางเทีย อยู่นั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เข้ามาในเหมือง รอยที่งูกินทองทิ้งไว้บนกำแพงนั้นมีให้เห็นอยู่ทั่วทุกที่ ทุกคนเดินเข้าไปในอุโมงค์ที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแม้ว่ามันจะลึกลับก็ตาม
ไม่มีใครพูดอะไรเลย ในถ้ำนั้นมีแค่เสียงของเท้าและบางครั้งก็มีเสียง ‘ ซี่ ‘ ซึ่งดังมาจากคบไฟที่ตัวเองใช้
ความเร็วในการเดินของ จางเทีย นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงและคนที่ตามเขาเองก็ด้วย เมื่อเดินเข้ามาในอุโมงค์แม้ว่า จางเทีย จะดูใจเย็นแต่เขาก็รีบคิดหาวิธีต่างๆและเรื่องที่ ดอนเดอร์ เล่าให้เขาฟัง ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในถ้ำ จางเทีย ยื้อเวลาไปเรื่อยๆเพื่อให้แผนออกมาดี ต้องขอบคุณที่เดินมาจากปากถ้ำได้ 300 ม.ก็ได้มีความคิดหนึ่งที่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ จากนั้น จางเทีย ก็เริ่มทำตามแผนที่ตัวเองคิดออกมา
ไม่ว่ายังไงแม้ว่าจะรู้ว่านี่มันจะไร้ประโยชน์แต่ยังไงซะมันก็ไม่ได้ทำร้ายพวกเขา พวกเขาอาจถือว่ามันเป็นแค่การวิ่งไล่จับเท่านั้น จากนั้น จางเทีย ก็เริ่มคิดขั้นต่อไป แม้ว่าเขาจะหัวเราะในใจแต่หน้าของเขาก็ยังซีเรียสเหมือนเดิมอยู่
“ หยุด ! “ - จางเทีย สั่งออกมาพร้อมกับหยุดเดิน ทุกคนเองก็หยุดตามด้วยเพราะไม่รู้ความคิดของเขา
จางเทีย ไม่ได้อธิบายอะไรออกมา เขายังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม เพราะ จางเทีย ได้บอกให้พวกเขาเงียบ ทุกคนจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะกลัวว่าจะเสียโอกาสในการเรียนรู้ความรู้ลึกลับเมื่อตัวเองเปิดปากพูด ในตอนที่เงียบนั้นบรรยากาศในเหมืองอันมืดมิดน่ะเริ่มดูลึกลับและดูซีเรียสขึ้นเรื่อยๆ
ห้านาทีต่อมาในตอนที่ จางเทีย ได้คิดแผนอีกครั้งและได้เพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีก เสียงเท้าของ วู๊ด ก็ได้ดังชัดขึ้นๆพร้อมกับเดินเข้ามาหาพวกเขา
“ ไม่มีใครตามเรามา ! “ - แม้ว่า วู๊ด นั้นจะไม่ได้พูดเสียงดังแต่คำพูดของเขาก็ฟังชัดเจนดี เมื่อเห็นว่า จางเทีย นั้นทำเรื่องพวกนี้แบบจริงจัง ทุกคนเลยมั่นใจว่าความรู้ลึกลับเกี่ยวกับเหมืองที่พวกเขากำลังจะได้เรียนรู้นั้นคือเรื่องจริง
วิธีนี้ปกติคนโกหกมักจะใช้ในการควบคุมความคิดของคน ไม่ว่ามันจะไร้สาระแค่ไหนแต่ถ้าคนทำนั้นทำตัวแบบจริงจังและระวังแล้วล่ะก็สิ่งนี้ก็จะกลายเป็นจริงและเป็นเรื่องสำคัญในสายตาของคนอื่น ก็เหมือนที่ ดอนเดอร์ เคยบอกไว้ สำหรับคนส่วนมากแล้วความคิดของคนๆหนึ่งที่มีต่อบางอย่างน่ะไม่สำคัญเท่าการตัดสินใจและมุมมองของตัวเองแต่นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนอื่นมองความคิดเราเป็นยังไง ดังนั้นแล้วในที่สาธารณะแบบนี้แม้ว่าจะไม่มีเอะไรอยู่เลยก็ตาม ตราบใดที่เราทำตัวยึดมั่นก็จะมีคนที่มาคิดเหมือนเราเพิ่มขึ้นๆ พวกเขาจะพยายามสุดตัวเพื่อที่จะมีความคิดเหมือนเราให้ได้ ดังนั้นแล้วคำโกหกนี้เขาอาจต้องใช้มันโกหกตัวเองแต่ถึงยังไงตอนนี้มันก็ถือได้ว่าสำเร็จมาได้ครึ่งทางแล้ว....