spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 89: ความรู้ลึกลับและนางฟ้า
เขาถือหนังสือลึกลับไว้ในมือ จางเทีย ลองเปิดดูประมาณ 200 หน้าโดยไม่นอน กระดาษนั้นทั้งกันน้ำและกันไฟและมีเคลือบด้วยเงิน จางเทีย รู้ว่าเงินที่เคลือบนี้นั้นแพงอย่างมาก มีแค่สาระสำคัญรึหนังสือศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่เคลือบด้วยเงินแต่กระดาษเคลือบเงินนั้นพิมพ์ออกมาไม่ได้ ผู้คนเลยต้องใช้ปากกาและหมึกพิเศษเพื่อที่จะเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษ ดังนั้นหนังสือรึสารทุกอย่างที่ทำขึ้นมาด้วยกระดาษเคลือบเงินแล้วนั้นรวมถึงทักษะเล่มนี้ด้วยแล้วจะต้องทำการคัดลองกันด้วยมือ แม้ว่ารูปแบบด้านในนั้นจะทำการคัดลอกกันด้วยมือแต่ชัดแล้วว่าหนังสือที่คัดลอกมานี้ถูกคัดลองด้วยคนที่มีทักษะสูง คำพูดและรูปแบบด้านในหนังสือนั้นจะทำให้คนรู้สึกมีความสุขและเข้าใจเนื้อหาข้างในได้
ต้นกำเนิดมันมาจากอาณาจักรนอแมน แม้ว่าเนื้อหาข้างในจะถูกสอนกันอย่างกว้างขวางแล้ว แต่ต้นกำเนิดของทักษะหมัดในทวีปซึ่งไม่ต้องเทียบกับหนังสือธรรมดาอื่นๆ แค่หน้าแรกอย่างเดียว จางเทีย ก็หลงใหลมันแล้ว
ความรู้ลึกลับมากมายนั้นถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ หลังจากอ่านมาหนึ่งคืน ในสมองของเขานั้นมีภาพของการบ่มเพาะทักษะหมัดเหล็กโลหิตมากมายในหัว
ระบบบ่มเพาะของทักษะนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน :
ส่วนแรกนั้นคือเสาหลักของการบ่มเพาะ ตามหนังสือนี้แล้วเสาหลักนั้นคือพื้นฐานของการบ่มเพะและยกระดับพลังของหมัดเหล็กโลหิต มีเสาหลักสามแบบที่แนะนำอยู่ในหนังสือ พยัคฆ์หลับ, มังกรแหวกว่าย,และกางเขน สำหรับพยัคฆ์หลับนั้นเป็นการบ่มเพาะส่วนบนของร่างกายและหมอบลงกับพื้นเหมือนกับเสือที่อยู่นิ่งกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนจะขยับขาไปยังท่าต่อไป สำหรับมังกรแหวกว่ายคือการนั่งไขว้ขาจนกว่าเข่าจะแตะกันจนเหมือนมังกรที่แหวกว่าย มันจะทำให้สันหลังตั้งตรงและยกหัวขึ้นให้สมมาตรกับไหล่ การบ่มเพาะมีการขยับไปมาโดยทำการเคลื่อนที่ซ้ำๆโดยการลุกนั่งแล้วบังคับให้หลังตั้งตรงเหมือนกับงูที่ขดตัวพร้อมฉก สำหรับท่ากางเขนนั้นมันเป็นการผสมกันระหว่างสองท่าและทำการบ่มเพาะท่านี้ก็ต่อเมื่อทำท่าสองท่าก่อนหน้าได้สมบูรณ์แล้ว ท่ากางเขนนั้นจำเป็นต้องมีการบ่มเพาะร่างกายส่วนร่างเหมือนกับงูที่กำลังเลื้อยและร่างกายส่วนบนทีร่แสดงเหมือนเสือที่ซึ่งต้องถือหอกในมือทั้งสองข้างแล้วทำให้หอกนั้นไขว้กัน...
ส่วนที่สองของหนังสือเกี่ยวกันการรวมและต้นกำเนิดของท่าการเคลื่อนที่อิสระของมือทั้ง 36 ท่าและท่าทางการเดินพื้นฐานทั้ง 5 ท่าของทักษะหมัดเหล็กโลหิต...
ส่วนที่สามของหนังสือนั้นคือรูปแบบภายในของการรวมกันของพลังคีของเหล็กโลหิตซึ่งไม่สามารถทำการฝึกฝนได้จนกว่าคนๆนั้นจะทำท่าพยัคฆ์หมอบที่เหมาะสมแล้ว การใช้ทักษะลมหายใจเพื่อปลุกจุดชีพจรไปพร้อมกับการช่วยเหลือของเสาหลักและทักษะหมัด การบ่มเพาะนี้ยังต้องใช้การรวมกันของแรงทั้งหหกในร่างกายมนุษย์และก่อรูปร่างของแรงลับและแรงที่แท้จริงขึ้นมา เทียบกับสองส่วนก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนนี้ยากสำหรับ จางเทีย กว่าจะชำนาญมันได้ ส่วนที่ยากที่สุดของหนังสือเล่มนี้ทำให้ จางเทีย หัวปั่นกับการบ่มเพาะทักษะคีของมัน ส่วนนี้มีตัวหนังสือน้อยที่สุดและมีตัวหนังสือจีนแค่เพียงบรรทัดเดียว ‘ หลังจากที่ก่อแรงที่แท้จริงได้แล้วและแรงทั้งหกได้ถูกใช้ร่วมกันได้ ใช้ไฟของพระเจ้าเพื่อชำระจุดประสงค์ของหมัดคุณ ทักษะคีเหล็กโลหิตจะเริ่มเติบโตขึ้นมาหลังจากที่ตาย 9 ครั้งและจะก่อรูปร่างเมื่อตาย 100 ครั้ง ! ‘
อะไรคือจุดประสงค์ของหมัด ? แล้วอะไรคือการใช้ไฟของพระเจ้าชำระล้างจุดประสงค์ของหมัดมันหมายความว่าไง ? อะไรคือการตายเก้าครั้ง ? ตาย 100 ครั้ง? เมื่ออ่านตัวหนังสือพวกนี้แล้ว จางเทีย ก็งงสักพัก ต้องขอบคุณที่เขาโดนพ่อแม่บังคับให้อ่านหนังสือจีนตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาเลยเรียนรู้ตัวอักษรจีนได้หลายตัว เพราะแบบนี้เขาจึงรู้ว่าความหมายเดิมของบรรทัดสุดท้ายที่เขียนไว้นี้หมายความว่าไง หลังจากแปลมาเป็นภาษอังกฤษแล้ว จางเทีย ตระหนักได้ว่าคน 99 ใน 100 คนที่ซึ่งก่อแรงที่แท้จริงของทักษะนี้ขึ้นมาได้จะไม่สามาถผ่านไปยังขั้นสุดท้ายได้ เหี้ย ! คนต่างประเทศคงไม่เข้าใจความหมายของมัน ในสมาคมแบล็คซอนแล้วบางทีคงมีแค่คนชั้นสูงของอาณาจักรนอแมนเท่านั้นที่เข้าใจมันได้
หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งคืนอ่านหนังสือเล่มนั้น ตาของ จางเทีย ก็แทบจะแดงสนิท ตอนตี 3-4 ตอนที่เขาเกือบอ่านหนังสือเกือบหมดทั้งเล่าม จางเทีย ก็ยกย่องผู้หญิงระดับสูงทุกคนในอาณาจักรนอแมนและก็ได้ปิดหนังสือลง หลังจากนั้นเขาก็หลับ ตอนช่วงเวลานั้นมันมีความหมายในการพักฟื้นของเขา มันไม่ได้มีอะไรสำคัญให้ทำในวันต่อไป ดังนั้น จางเทีย เลยไม่สนใจในตอนที่เขาเข้านอน
ในวันที่สองก็อย่างที่คาดเอาไว้ จางเทีย ได้ตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย หลังจากลุกขึ้นมาเขาก็ได้ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนที่จะเตรียมเก็บของเพื่อกลับออกไป
อันที่จริง จางเทีย ไม่ได้มีของมากมายอยู่แล้ว เขาใช้กระเป๋านักเดินทางที่ทำมาจากหนังซึ่ง แบร์ลี่ ใช้ให้เขาเก็บอาหารเอาไว้ จางเทีย เก็บอาหารและเมล็ด,หนังสือเอาไว้ในกระเป๋าก่อนจะออกจากห้องที่เขาอาศัยอยู่นานกว่าอาทิตย์
ก่อนที่จะออกมาจากห้องนั้น จางเทีย ได้ไปยังห้องกรรมการเพื่อจัดการกับเรื่องต่างๆ จากนั้นเขาไปลา กัปตันเคอร์ลิน กับ เซรอม โชคร้ายที่สองคนนั้นออกไปตรวจตั้งแต่เช้า ดังนั้นเขาจึงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไป
ระหว่างการฝึกนี้ครูและโค้ชเองก็มีหน้าที่ของตัวเองให้รับผิดชอบ สำหรับครูที่เป็นกรรมการแล้ว พวกเขามีหน้าที่ในการจัดการพวกสัตว์อสูรและสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตนักเรียนในหุบเขา ดังนั้นมันก็กลายเป็นหน้าที่ประจำวันที่ต้องออกไปตรวจการ สำหรับครูหลายๆคนแล้วงานง่ายๆแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับออกไปพักผ่อน
หลังจากที่รู้ว่า กัปตันเคอร์ลิน กับ เซรอม นั้นไม่อยู่ จางเทีย ก็ลาคนอื่นๆในโรงหลอมที่ซึ่งเขารู้จักไม่กี่วันก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้เดินออกมาจากปราสาท
ลานของปราสาทนั้นเต็มไปด้วยผู้คนในตอนบ่าย บังเอิญว่า จางเทีย เห็น แพนโดร่า อีกครั้งในท่ามกลางผู้คน แพนโดร่า นั้นมักจะอยู่ที่มุมที่เขาขายของกันและไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไหร่ เธอนั่งอยูที่มุมและกอดขาตัวเอง
ตอนที่ จางเทีย มาถึง ร้านของ แพนโดร่า สาวผอมบางตัวน้อย เธอถึงได้เงยหน้าขึ้นมาและมองมาที่ จางเทีย – “ ฉันขอโทษจริงๆ วันนี้ฉันเก็บผลไม้ไม่ได้เลย... “
ตรงหน้าของ แพนโดร่า นั้นคือกองผักธรรมดากองเล็กๆ จางเทีย มองไปที่ แพนโดร่า และตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าของเธอนั้นเปียกชุ่มจากหมอกในตอนเช้าแต่ระหว่างการฝึกนี้มีหลายคนเลือกที่จะเข้าไปในป่าเพื่อเก็บผักและผลไม้ ดังนั้นมันจึงทำให้ยากกว่าเดิมที่จะหาเจอเพราะมันมีจำนวนน้อย เพราะแบบนั้นสาวๆเลยต้องมาจับคู่กับผู้ชายเพื่อตั้งทีมจะได้ผ่านการฝึกนี้ไปให้ได้ ยังไงซะมนุษย์นั้นก็อยู่กับเป็นกลุ่ม ถ้าอยู่คนเดียวนอกซะจากว่าจะแข็งแกร่งจริงๆแล้ว มันคงเป็นเรื่องยากที่จะเอาตัวรอดในป่าได้
เด็กสาวผู้น่าสงสารทำให้ จางเทีย ช็อคนิดๆ...
“ อ่า แผลฉันไม่ได้ร้ายแรงแล้วและฉันเคลื่อนที่ได้อิสระแล้ว ฉันจะกลับออกไปวันนี้แล้วเลยมาบอกลา ! “ - จางเทีย รู้สึกอายขึ้นมาพร้อมกับเอามือเกาหัว
“ โอ้ ฉันหวังว่านายจะหายดีนะ ! “ - แพนโดร่า ยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่ จางเทีย เห็นรอยยิ้มของเธอ ด้วยตาสีฟ้าคู่สวยนั้นทำให้เธอสวยกว่าเดิมอีกในตอนที่ยิ้ม เขามอง แพนโดร่า อีกรั้งและพึมพำในใจ – “ หืม แม้ว่าจะผอมแต่ก็ยังรูปร่างดีๆและแม้ว่ามีกระบนหน้า แพนโดร่า ก็ยังสวยอยู่ดี “
“ เธอว่างมั้ยคืนนี้ ? “ - จางเทีย ถามขึ้นมา
“ ทำไม ? “ - เมื่อได้ยินคำพูดของเขา แพนโดร่า ตื่นตัวทันทีและเอาหน้าอกตัวเองไปซ่อนที่เข่า
“ ฉัน...อยากเชิญเธอไปกินข้าวที่ฐานของเรา ฉันคิดว่าเธอมักจะหาอาหารด้วยตัวเองตลอด งั้นถ้าเธอไม่มีทีม งั้นฉันอยากเชิญเธอมาร่วมทีมกับเรา เราน่ะมีผู้ชายเจ็ดคน ทุกคนเป็นคนดีหมด ! “
“ นายชวนฉันให้เข้าทีมตอนที่ฝึกเหรอ ? “ - ตาของ แพนโดร่า เริ่มเป็นประกายแต่ไม่นานมันก็หม่นลงอีกครั้ง – “ ไม่...ฉันไม่ตกลง ! “
“ ทำไม ? “ - จางเทีย อึ้ง
“ คนบอกว่าไม่มีใครที่อยู่กับฉันแล้วจะไม่ซวย ฉันไม่อยากให้นายมีปัญหา ครั้งสุดท้ายที่นายเอาผลไม้ฉันไป นายก็ต้องกระโดดลงหลุมนั่น “ – แพนโดร่า พูดออกมาแบบสลด
“ ไร้สาระ เธอไปโทษตัวเองได้ยังไง ? ดูฉันนี่ ฉันสบายดีไม่ใช่รึไง ? “ - ในตอนที่เขาพูด เขาก็บ่งกล้ามโชว์ทำให้ แพนโดร่า หัวเราะคิกคักออกมา
“ นายไม่สนจริงๆเหรอ ? “
“ แน่นอนว่าไม่ อย่าไปฟังที่คนอื่นพูด ฉันเห็นว่าเธอน่ะคือนางฟ้านำโชค ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันอาจจะหิวตายไปแล้วก็ได้...” - จางเทีย ตะโกนออกมาดังๆ
“ งั้น...ตกลง ! “ - ในที่สุด แพนโดร่า ก็ตกลงหลังจากที่คิดสักพัก
การได้ แพนโดร่า มาร่วมทีมนั้นทำให้ จางเทีย แอบถอนหายใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาชวนผู้หญิง ถ้าเขาถูกปฏิเสธงั้นเขาคงรู้สึกเสียหน้า เรื่องการโดนหมาป่าโจมตี คุณเซรอม ได้บอก จางเทีย ว่าเขาอาจจะโดนจัดฉากโดยใครบางคน งั้นจะไปโทษ แพนโดร่า ได้ยังไง ? นอกจากนี้ตอนที่ จางเทีย ยังเด็ก แม่ของเขาได้บอกเขาว่าห้ามโทษคนอื่นนอกจากโทษดวงของตัวเอง ผู้ชายควรจะยอมรับ จางเทีย มักจะจำคำพูดนั้นไว้ในใจเสมอ
“ งั้นก็ตามนี้ ! ในตอนบ่ายฉันจะมารับเธอที่นี่ ฐานของเราน่ะน่าสนใจมากและเราอาศัยอยู่ในโพรงต้นไม้ เราจะกินซุปปลาในตอนกลางคืนด้วย...”
“ อยู่ในโพรงเหรอ ? “ - แพนโดร่า เงยหน้าขึ้นมานิดๆซึ่งแสดงความตื่นเต้น เมื่อเห็นท่าทีสงสัยของเธอ จางเทีย ยืนยันได้ว่าซุปปลาและบ้านต้นไม้น่ะดึงดูสาวๆได้
“ เออใช่ ... “- จางเทีย หยิบอาหารแห้งและเนื้อแห้งออกมาจากกระเป๋าและเอาผักที่ห่อด้วยใบไม้มาแลกกัน – “ ฉันอยากได้ผักพวกนี้ทั้งหมด ! “
อาหารแห้งและเนื้อแห้งที่ จางเทีย ได้เอาให้กับ แพนโดร่านั้นมีค่ากว่าพวกผักอย่างมาก ทำให้ แพนโดร่า รีบแย้งขึ้นมา – “ มันมากเกินไปแล้ว ฉันไม่ต้องการมากขนาดนี้... “
“ ฮาฮา ไม่เป็นไรน่า ที่เกินมาก็ถือซะว่าเลี้ยงข้าวเที่ยง... “ - จางเทีย ยิ้มและโบกมือให้กับ แพนโดร่าก่อนที่จะเดินออกจากลานไป....
เธอมองไปที่เงาของ จางเทีย และหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำ – “ ฉันจะเป็นนางฟ้านำโชคได้จริงๆรึเปล่า ? “