หน้าแรก > Castle of Black Iron
Chapter 87: สิ่งที่มีค่าที่สุด

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

Chapter 87: สิ่งที่มีค่าที่สุด

หลังจากจัดการศพของหมาป่าสามตัวแล้วในตอนที่ จางเทีย นอนพักอยู่ พวกคนในองค์กรรู้สึกดีใจอย่างมากที่รวยแล้ว  แบร์ลี่ นั้นแลกเนื้อหมาป่ากว่า 100 ก.กับอาหารแห้ง 40 กก.และเนื้อแห้ง 20 กก.

เนื้อหมาป่านั้นเป็นที่นิยมกันมากโดยเฉพาะกับพวกผู้ชาย ตาม ‘ ราคาตลาด ‘ แล้ว เนื้อ 1 กก.นั้นแลกอาหารแห้งได้ 1 กก.รึเนื้อแห้งได้ 3 กก. สำหรับคนที่ได้อาหารแห้งมาและอาหารอย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อนั้นพวกเขาจะเต็มใจในการแลกด้วยเพราะมันมีประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย  ฝั่งหนึ่งได้เนื้อไป อีกฝั่งได้อาหารแห้งมาซึ่งเก็บไว้ได้ง่าย

ส่วนหนังหมาป่านั้นแม้ว่าจะมีสภาพไม่ดีเท่าไหร่แต่สองอันก็ขายได้อย่างน้อย 20 เงิน ด้วยเงินจำนวนนี้พวกเขาเก็บได้ครึ่งหนึ่งแล้วสำหรับการขลิบของ จางเทีย

อาหาร 60 กก.และเงิน 20 ทองนั้นถือว่าเป็นความรวยที่ จางเทีย บังเอิญได้รับมา  สมาชิกคนอื่นๆในองค์กรนั้นยืนกรานให้ จางเทีย รับมันไว้แต่ จางเทีย ได้ตัดสินใจที่จะแบ่งอาหารครึ่งหนึ่งให้ทุกคน  เมื่อได้ยินความคิดของ จางเทีย แล้วทุกคนต่างก็ส่ายหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

“ ไอ้หัวโต นายเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่ออาหารพวกนี้  เราจะไปกินมันได้ยังไง ... “ - แบร์ลี่ พูดขึ้น

“ ใช่ ถ้าเรากินมัน มันก็ไม่ได้ดีต่อเราเลย ! “ - ลิซ พูดขึ้น

“ ใช่ กินมันก็เหมือนกับกินนาย  มันเกินไป ! “ – ดั๊ก เองก็พูดขึ้นมา

เมื่อเห็นว่าทุกคนพยักหน้า จางเทีย เลยตัดสินใจไม่พูดเรื่องอาหารอีกต่อไป อีกอย่างมันก็เป็นเหมือนที่เขาคิดกับความจริงว่าเขาได้ปลุกจุดชีพจรขึ้นมาแล้วมันจึงไม่ได้ส่งผลอะไรมาก

หลังจากรู้ว่า จางเทีย ปลุกจุดชีพจรขึ้นมาได้ในตอนที่ไปเยี่ยม จางเทีย ที่ห้องพัก  แบกแดด ก็ตบไหล่ของ จางเทีย และเขย่าตัวเขาอย่างแรง – “ ไอ้บ้านี่ ! ฉันไม่คิดเลยว่าคนแรกที่ปลุดจุดชีพจรขึ้นมาได้ในองค์กรเราจะเป็นนาย ! มันน่าจะเป็นฉันแท้ๆที่ทำลายสถิตินั้น  นายนี่ใจดำไปหน่อยแล้ว  ไม่ใช่แค่ปลุกจุดชีพจรได้แต่นายยังปกปิดความจริงนี้ไว้อีก ! “

“ ฉันกลัวว่าจะทำให้นายหมดหวังน่ะสิน ดูสิ ฉันทำก็เพื่อนายเลยนะ ...” - จางเทีย พูดด้วยท่าทีตลกๆ

“ เฮ้ ! “ – มีนิ้วกลางชูขึ้นมาตรงหน้า จางเทีย

“ เออใช่ นายปลุกจุดชีพจรเร็วขนาดนั้นได้ยังไง ? “ – ลิซ ถาม

“ นายไม่รู้รึไงว่าคนจีนน่ะปลุกจุดชีพจรได้เร็วกว่านาย ? “ – คนจีนปลุกจุดชีพจรได้เร็วกว่าคนชาติอ่านๆ   เอาพี่ชายที่ตายไปของ จางเทีย จางหยง และพี่ชายคนที่สองของเขา  จางหยาง เป็นตัวอย่าง  สองคนนี้ปลุกจุดชีพจรได้เร็วกว่าคนชาติอื่นๆ จางเทีย น่ะเป็นคนจีนซึ่งหมายความว่าสามารถปลุกจุดชีพจรได้เร็วกว่าคนเผ่าอื่นๆด้วยแต่ไม่มีใครรู้ว่า จางเทีย ปลุกจุดชีพจรขึ้นมาได้ด้วยต้นไม้ใน Castle of Black Iron  แต่ถือว่าเป็นพรสวรรค์ของคนจีนไปแทน

เมื่อได้ยินที่ จางเทีย พูด ทุกคนก็เข้าใจ  พวกเขาเคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อนว่าคนจีนมีพลังวิญญาณที่สูงกว่าคนเผ่าอื่นๆในยุคนี้

ระหว่างที่พักฟื้นนั้น จางเทีย ได้เสพสุขกับช่วงเวลาว่างของเขา  เขาพักกับคนป่วยอีกสองคน  เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ทำนอกจากคุยกับพวกนี้และเดินไปรอบๆปราสาทโดยใช้ไม้เท้าพยุงตัว

ในตอนที่หมาป่ากัดเข้าที่หน้าแข้งของ จางเทีย   จางเทีย น่ะได้เอามีดแทงใส่หมาป่าแล้ว ดังนั้นหมาป่าจึงไม่ได้กัดเข้ามาลึกรึตื้นเกินไป   แม้ว่ามันจะไม่ได้ร้ายแรงและทำแผลเรียบร้อยแล้วแต่มันก็ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งอาทิตย์กว่าเขาจะกลับอยู่ในสภาพเดิมได้

ระหว่างช่วงเวลานี้ จางเทีย เป็นแค่คนพิการ  ต้องขอบคุณที่เขาไม่ต้องกังวลเรื่องการกินและเสื้อผ้าเพราะสมาชิกคนอื่นๆในองค์กรนั้นมาส่งซุปปลาให้เขาทุกเย็นและบอกว่ามันดีต่อการฟื้นตัวของเขา  เมื่อเห็นท่าทีของพวกนี้แล้ว สองคนที่อยู่ในห้องคนป่าวยก็เริ่มชื่นชมเขา  พวกนี้ชื่นชมขาเพราะเขาสามารถทำกับดักจับปลาได้ซึ่งสามารถจับปลาได้หลายตัวต่อวันไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นแบบไหน

ตอนนี้ จางเทีย รู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกว่ามันง่ายที่จะอยู่ในปราสาทนี้  จางเทีย ดึง แบร์ลี่ และคนอื่นๆขององค์กรเข้ามาหาและพูดถึงเรื่องกลุ่มของ เกรซ แต่เขายังไม่ได้มีข้อมูลพิเศษอะไร  ด้วยการที่ เกรซ โดนสั่งว่าห้ามเข้าใกล้ปราสาท  ซูแฮร์ และสมาชิกคนคนอื่นจึงมาที่นี่บ้างเพื่ออวดและแลกของกับคนอื่นๆ

การโจมตีของหมาป่ามันก็เหมือนกับแผลที่ จางเทีย มี  นอกจากทิ้งรอยแผลไว้ในหัวใจแล้วเหตุการณ์นี้ไม่นานทุกคนก็ลืมไป

ระหว่างการฝึกนี้มีเหตุการณ์ใหม่มากมายเกิดขึ้น มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันในหุบเขา ...

หลังจากที่เอาตัวรอดมาได้ จางเทีย นั้นโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  แม้ว่า Leakless Fruit สุกเมื่อสามวันก่อนแต่ จางเทีย ก็ยังใจเย็นและยังไม่ได้กินมัน อันที่จริงเขาไม่ได้มีเวลาเข้าไปใน Castle of Black Iron เลยด้วยซ้ำ ตอนี้เขาอยู่ในปราสาทจึงทำให้ไม่สะดวกที่จะทำแบบนั้น   ก่อนที่การฝึกเอาตัวรอดจะเริ่มขึ้น เขาคิดว่า Castle of Black Iron นั้นสำคัญกับเขามากแต่หลังจากที่ผ่านสถานการณ์เป็นตายมาได้ ความสำคัญที่เขามีต่อ Castle of Black Iron จึงไม่ได้มากเท่าแต่ก่อน   เขาเริ่มตระหนักได้ว่ามีหลายอย่างที่สำคัญมากกว่าCastle of Black Iron  แสงอาทิตย์เป็นตัวอย่าง มันเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้คุณค่าของมันหลังจากที่เขาเข้าไปในหลุมนั่น  ถ้าไม่มีแสงอาทิตย์แล้วพืชจะไม่โต ถ้าไม่มีพืชก็จะไม่มีสัตว์และเมื่อไม่มีสัตว์กับพืช มนุษย์เองก็ไม่รอดเช่นกัน

แม้ว่าแสงอาทิตย์จะมีค่าและเป็นตัวแทนของความหวังและชีวิตแต่ก็ได้มันมาฟรีๆ

อากาศเองก็มีค่าอย่างมาก ถ้าไม่มีมันคนก็จะตายในเวลาไม่กี่นาทีแต่มันก็ฟรีอยู่

น้ำก็สำคัญ ถ้าไม่มีมันสิ่งมีชีวิตก็จะอยู่ไม่ได้แต่น้ำก็ยังมีให้ฟรีๆ

มิตรภาพก็สำคัญและทำให้ชีวิตดีขึ้น ทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นซึ่งมิตรภาพเองก็ฟรีเช่นกัน

ความรักนั้นก็ล้ำค่า ก็อย่างที่ ฮิสต้า บอกเขาไว้  ความรักคือของสวยงามที่สุดในโลก  ในตอนที่ผู้ชายและผู้หญิงรักกันนั้นคือสิ่งสวยงาม  จางเทีย ไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น เขาทำได้แค่เชื่อ ฮิสต้า ไปก่อนก็เท่านั้น

ชีวิตคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกและยังเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้เขามาฟรีๆ

จางเทีย ตระหนักได้ว่ามีหลายอย่างที่หาซื้อได้มันไม่ได้มีค่ามากเท่าไหร่ ส่วนสิ่งที่มีค่าจริงๆนั้นไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงิน  มีหลายคนที่ไม่สนใจของมีค่าในชีวิตและไล่ตามของที่หาซื้อได้ด้วยเงินแทน  เมื่อพวกเขาพบว่าอะไรที่มีค่าจริงๆ พวกเขาจะถือได้ว่า ‘ รวย ‘ จริงๆ  การเข้าใจเรื่องนี้ทำให้มุมมองต่อโลกของ จางเทีย นั้นเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

ทุกเช้าหลังจากที่ตื่นขึ้นมา เขาจะล้างหน้าแปรงฟัน หลังจากนั้นเขาก็จะไปที่เนินเขาพร้อมกับไม้เท้า  เขายืนอยู่ที่เนินเขาและสูดอากาศอันสดเชื่อนเข้าไปและทำการออกกำลังกายนิดหน่อย  เขารอคอยแสงอาทิตย์ที่จะสาดส่องลงมา  ความรู้สึกได้โดนแสงแรกของวันอาบเข้าที่ตัวนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พบกับพระเจ้า

หลังจากที่ต้อนรับแสงอาทิตย์ในตอนเช้า  จางเทีย ได้กลับมาโดยใช้ไม้เท้าของตน   เขาหยิบเอาอาหารออกมาและหยิบก้อนหินตามทางก่อนจะใช้มันวางไว้ที่ร้านเล็กๆด้านนอกประตูของปราสาท  เขานั่งตรงร้านนั้นมองดูเหล่าสาวๆที่เดินเข้าออกไปมา   จางเทีย พบว่ามีประโยชน์ในการมองสาวๆเหล่านี้  มันช่วยทำให้เลือดเขาสูบฉีดเร็วขึ้นซึ่งเป็นผลดีกับการฟื้นตัวของเขา

นี่คือผลดีต่อการฟื้นตัว  จางเทีย พบว่าตัวเองหาข้อแก้ตัวที่หน้าไม่อายขึ้นมา เขาใช้ข้อแก้ตัวนี้ในการมามองสาวๆ  สุดท้ายเขาก็ได้ใช้ ‘ ทักษะหน้าไม่อาย ‘ ล้วงลงไปในกางเกงแล้วกดไอ้จ้อนตัวเองไว้ก่อนจะเดินหนีออกไป

หลังจากที่มองสาวๆแล้ว จางเทีย จะกินข้าวเที่ยงก่อนที่จะนอนพักผ่อน  เมื่อตื่นขึ้นมาโดยนาฬิกาชีวภาพของเขา เขาก็จะเดินไปที่ลานและมองหา แพนโดร่า เพื่อที่จะได้แลกผลไม้ป่าอีกเพื่อเอามาเป็นของว่าง  ด้วยผลไม้ป่าที่มีในปาก เขามักจะไปที่โรงหลอมของปราสาทเพื่อเรียนรู้ทักษะการสร้างและหลอมเหล็กและดูพวกเด็กคนอื่นๆนั้นใช้งานเครื่องจักรเหมือนว่ามันง่ายดาย

การใช้เครื่องหลอมนั้น ปัญหาใหญ่ที่สุดของมันคืออุณหภูมิในการเผาไหม้ถ่านที่ไม่สูงพอที่จะทำให้แร่เหล็กละลายได้ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เหล็กกล้ามา  หลังจากที่ผสมแร่เหล็กกับถ่านเข้าด้วยกันในเตาหลอมแลวพวกเขาก็เพิ่มแรงดันเข้าไป  เพราะจำนวนคาร์บอนที่ต่ำและความอ่อนของเหล็กทำให้ได้แค่เหล็กที่มีคาร์บอนต่ำ  แม้ว่า จางเทีย จะได้ความรู้เรื่องนี้จากที่โรงเรียนแต่เขาก็ต้องใช้เวลาเพื่อฝึกมันอยู่ดี  วันพวกนี้เขาคุ้นกับคนงานในโรงหลอม  บางครั้งเขายังไปช่วยพวกนี้เทแท่งเหล็กใส่เตาหลอมเลยด้วย รึไม่ก็เอาผลไม้มาแลกเปลี่ยนบางอย่าง   หลังจากนั้นไม่กี่วันที่เรียนรู้มา จางเทีย พบว่าตอนนี้เขาสามารถหลอมเหล็กขึ้นมาได้แล้วและรู้วิธีขึ้นรูปมันบ้าง  นี่อาจถือว่าเป็นผลสำเร็จจากอุบัติเหตุเลยก็ว่าได้ !

สำหรับไม่กี่วันที่ผ่านมาที่เขาทำการพักฟื้นอยู่  จางเทีย ไม่รู้เลยว่าการรอดจากการโจมตีของหมาป่านั้นทำให้ กัปตันเคอร์ลิน ประทับใจในตัวเขาอย่างมากและคิดจะให้รางวัลอย่างงามกับเขา !

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.