spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
Chapter 65: การเตรียมตัวสำหรับการฝึกเอาตัวรอด
----- ในวันที่ 28 พฤษภาคม ปี 889 เจ้าของปราสาทสุดหล่อเหลาและวิเศษได้ใช้ค่าออร่า 300 หน่วย, ค่าความดี 5 หน่วยและพลังงาน 0.1 หน่วยเพื่อปรับเปลี่ยนยีสต์
----- การกลายพันธุ์นั้นจะสำเร็จใน 360 ชม. เจ้าของปราสาทสุดหล่อเหลาและวิเศษโปรดอดใจรอ !
เมื่ออ่านข้อความนั้น จางเทีย ได้ประมาณเวลาสำหรับการกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิต เมื่อเห็นว่ายีสต์นั้นใช้เวลากว่า 2 อาทิตย์กว่าจะกลายพันธุ์ จางเทีย ก็ประมาณเวลาว่ามันฝรั่งคงใช้เวลากว่า 2 เดือน
ในการพยายามครั้ง จางเทีย ตระหนักได้หนึ่งอย่าง --- มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนของค่าออร่า, ค่าความดี,และพลังงานที่กักเก็บไว้ที่ซึ่งจุลินทรีย์จะรับได้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อต้องใช้กับยีสต์ครึ่งขวดนี้ เมื่อเขาเลื่อนทั้งสามแถบนี้ขึ้นไปให้เต็มสุด ค่าออร่าสูงสุดที่ใช้คือ 7600 หน่วย , ค่าความดีสูงสุดที่ใช้คือ 860 หน่วยและค่าพลังงานที่ใช้สูงสุดคือ 340 หน่วย เมื่อเห็น ‘ ตัวเลขจำนวนมาก ‘ จางเทีย อึ้งอย่างมากก่อนที่จะเลือกที่จะลดค่าต่างๆลงมาให้เหลือน้อยที่สุด
หลังจากที่ออกจาก Castle of Black Iron มาแล้ว จางเทีย ก็เห็นว่าพ่อของเขากลับมาบ้านแล้ว ตอนนี้ได้เวลามื้อเย็นแล้วและวันนี้หรูหราอย่างมาก มีทั้งแฮมและเนื้อ อีกอย่างแม่เขาก็ทำกับข้าวหลายอย่างที่อร่อยซึ่งทำให้ จางเทีย ถึงกับน้ำลายไหล บนโต๊ะนั้นแม่ของเขาคอยแต่ตักอาหารให้ จางเทีย กิน ส่วนพ่อก็คอยสอนเขาถึงเรื่องจำเป็นในการฝึกเอาตัวรอด
“ ไม่ว่ายังไง จำไว้ว่าอย่างลงมือคนเดียว โดยเฉพาะตอนเย็น ! เข้าใจมั้ย ? “
จางเทีย พยักหน้าในตอนที่เคี้ยวไปด้วย
“ อีกอย่างอย่าพยายามโชว์ “ – แม่พูดขึ้นมา
“ แม่ ดูแขนขาเล็กๆลูกชายแม่สิ ผมจะไปโชว์ใครได้ ? “ - จางเทีย พูดเสียงสูง เมื่อได้ยินคำพูดของเขา พ่อของเขาก็ใช้ตะเกียบตีหน้าผากเขา
“ แม่แกรู้อยู่แล้วว่าแกไม่มีอะไรจะโชว์ เธอหมายถึงให้แกคิดดีๆก่อนที่จะลงมือทำอะไร ข้างนอกน่ะไม่ได้เหมือนกับในกำแพง มีหลายอย่างที่สามารถคร่าชีวิตคนได้ ! “
“ ผมรู้ ! “ – เมื่อคิดถึงตอนที่แม่มองรูปภาพพี่ชายของเขาที่จากไป จางเทีย ก็สาบานว่าเขาต้องรอดและกลับมาให้ได้อย่างปลอดภัยไม่ว่ายังไงก็ตาม
ตอนมื้อเย็นวันนั้น จางเทีย ได้แต่ก้มหน้ากินข้าวแล้วคอยฟังคำสั่งสอนของพ่อและแม่ตัวเอง
……
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ จางเทีย ก็เอาเงิน 3 ทองจากกระเป๋าและเอาใส่ไว้ในมือของแม่ แสงจากเหรียญนั่นเกือบทำให้พ่อแม่ตกใจ ทั้งพ่อและแม่อีกทั้งพี่สะใภ้ต่างก็ทำตาโตเมื่อเห็นมัน
พ่อของเขาพูดอะไรไม่ออกในตอนที่มองเงิน 3 ทองที่อยู่ตรงหน้าซึ่ง จางเทีย เอาให้ เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งเหรียญแล้วมองดูดีๆ – “ ลูก...ลูกไปได้มันมาจากไหนเยอะขนาดนี้ ? “
เขาตอบกลับไปด้วยความภูมิใจ – “ ลูกชายคนนี้แน่นอนว่าต้องได้มันจากคลับต่อสู้ มีคนรวยตั้งเยอะอยู่นั่น ผมเลยบริการอย่างดี พวกเด็กรวยๆเลยให้รางวัลนี่เป็นทิป ! “ - จางเทีย ไม่ได้พูดโกหก อันที่จริงก็อย่างที่เขาพูดไป การเป็นคู่ซ้อมและเด็กเสิร์ฟนั้นจะได้ทิปตลอด ทิปน่ะมักจะสูงหลายเงินจนถึงหลายทองเลยก็มี แม้ว่า จางเทีย จะไม่เคยได้ทิป แต่คำโกหกของเขาไม่ได้บอกความจริงนั้นไป แม้ว่าคลับต่อสู้จะไม่ได้กำกับว่าให้ทิปตลอดเลยก็เถอะ
“ นี่...นี่มันมากเกินไป ! “ – แม่เขาไม่เชื่อเรื่องนี้ เงิน 3 ทองนี่เท่ากับเงินเดือนพ่อเขาทั้งปี สำหรับครอบครัวเขาแล้วมันก็ยังถือว่าเป็นเงินมากอยู่ดี
“ แม่ พวกเด็กรวยๆน่ะใช้เงิน 10 ทองเพื่อซื้อรองเท้าคู่เดียว แม่น่าจะลองไปดูที่ไบต์อเวนิวดู ราคามันน่าทึ่งมาก แม่ว่าของพวกนั้นจะแพงสำหรับเราแต่สำหรับพวกนั้นน่ะไม่ได้มากมายอะไร ทำไมถึงมีพวกรวยๆในคลับต่อสู้เยอะขนาดนั้นล่ะ ? ลูกชายแม่น่ะโตแล้ว ในอนาคตผมจะได้เงินมากกว่านี้ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าผมต้องเข้าไปฝึกเอาตัวรอด ตอนนั้นแม่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินและหาอะไรดีๆกิน แม่น่าจะหาอาหารที่มีสารอาหารดีๆให้พี่สะใภ้เพื่อที่จะได้หลานที่แข็งแรง แม่น่าจะดูแลตัวเองบ้างหลังจากที่ดูแลลูกชายคนนี้มาอย่างดีแล้ว “
เมื่อได้ยินคำพูดของ จางเทีย พ่อและแม่ก็เชื่อเขา อย่างน้อยๆพวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องคลับต่อสู้มา พวกเขารู้ว่ามีคนรวยไปที่นั่นมากแค่ไหน พวกคนรวยน่ะใช้เงินไปแบบที่ครอบครัวจางไม่มีทางจะทำแบบนั้นได้แน่นอน
เมื่อเห็นว่าแม่เขาเอารับเงินนั่นไป จางเทีย ก็แอบถอนหายใจออกมา จากนี้เป็นต้นไปเขาต้องเอาทิปกลับมาและแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ เพราะยอดขายเบียร์ข้าวนั้นลดลงในอาทิตย์นี้ พวกเขาจึงมีเงินน้อยลงในการใช้ชีวิต เพราะแบบนั้นพ่อแม่จึงไม่ค่อยมีความสุขมากเท่าไหร่นัก ในตอนที่พี่สะใภ้คลอดลูกออกมา จางเทีย รู้ว่าค่าใช้จ่ายก็ต้องสูงขึ้นอีกและนั่นก็เป็นภาระให้กับพ่อกับแม่ เมื่อเห็นว่าแม่รับเงินนั่นไปพร้อมกับยิ้มออกมาราวกับโล่งอกกับภาระที่หายไป จางเทีย ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ
วันต่อมาทุกคนในครอบครัวยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับการฝึกเอาตัวรอดของ จางเทีย ร้านเบียร์ข้าวเองก็ปิดวันนี้ด้วย
ถุงนอน, เกราะป้องกัน, เสื้อกันฝน , หมวก , กาต้มน้ำ, เข็มขัด, เป้, และพลั่ว ทุกอย่างที่หาได้ที่บ้านหมดซึ่งแม่เขาเป็นคนจัดให้ ตอนนี้ถึงตา จางเทีย ที่ต้องเข้าไปฝึกการเอาตัวรอด แม่เขาได้เอาของพวกนั้นออกมาจากกล่องเพื่อให้เขาเอาไปใช้ มีหลายอย่างที่ตกทอดมารุ่นสู่รุ่น หลังจากที่พี่ชายเขาใช้แล้ว, พี่ชายคนกลางก็ใช้อีก จากนั้นก็ลูกชาย พวกเขาจะไม่ทิ้งมันจนกว่ามันจะใช้ไม่ได้ แม้ว่าของพวกนี้เริ่มจะพังไปบ้างแต่แม่ของเขาก็ยังเก็บมันไว้อย่างดี ในตอนที่เธอเอามันออกมามันล้วนแต่ใช้ได้หมด
หลังจากที่เอาถุงนอนไปตากทั้งวันแล้ว แม่ของเขาได้ซ่อนถุงข้าวไว้ในถุงนอนไว้ด้วย แม้ว่าอาหารที่เอาไปได้นั้นต้องน้อยกว่า 5 กก.แต่ตราบใดที่ไม่มากเกินไปครูก็ไม่สน...
พ่อเขาเอาเกราะไปเช็ดด้วยน้ำมันและลับคมพลั่วให้ หลังจากนั้นก็ไปซื้อขนมปังแห้ง 4-5 กก.และเนื้อแห้งอีก 1 กก.ให้ จางเทีย..
พี่สะใภ้รีบทำที่รองด้านในหมวกให้เหมาะกับหัวของ จางเทีย เธอทำความสะอาดเสื้อผ้าและของต่างๆให้กับเขาอีก....
……
หลังจากยุ่งงานมาทั้งวัน ในที่สุดพวกเขาก็เตรียมของจำเป็นสำหรับ จางเทีย เสร็จ อาหารเย็นมื้อสุดท้ายก่อนที่จะไปฝึกเองก็หรูหรากันพอสมควร พ่อกับแม่นั้นเริ่มกังวลและดูเหมือนเสียใจ แม่เขาคอยเตือนเขาซ้ำๆด้วยคำพูดที่พูดไปก่อนหน้านี้
จางเทีย เองก็รู้สึกเหมือนเสียเหมือนกัน การฝึกเอาตัวรอดนั้นทดสอบทั้งความสามาถในการเอาตัวรอดและการคิดของเขาเมื่ออยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ตอนเริ่มกินอาหารเย็นตอนแรก ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่นแต่เมื่อกินต่อไปเรื่อยๆแม่เขาก็เริ่มน้ำตาไหลออกมาพร้อมกับพูดกับเขา เมื่อเห็นแบบนั้น จางเทีย เองก็รู้สึกเศร้าไปด้วย
“ แม่ เชื่อใจผมได้น่า ผมไม่เป็นไรแน่ ! “ - จางเทีย ปลอบใจแม่ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าแม่จะรู้สึกยังไงในตอนที่เธอเตรียมของให้เขาแต่น้ำตาแม่ที่ไหลออกมาทำให้ทุกคนรู้สึกเศร้าไปด้วย เพราะการเป็นลูกชายคนเล็กสุด จางเทีย ต้องออกจากเมืองนี้ไป เมื่อเห็นแม่เขาปาดน้ำตา พ่อเขาเองก็เริ่มตาแดง จางเทีย เองก็เริ่มน้ำตาคลอด้วย อาหารเย็นมื้อสุดท้ายก็ดำเนินไปด้วยความเศร้า
……
ตอนตกเย็น จางเทีย ได้ออกไปข้างนอก หลังจากที่เดินผ่านถนนหลายเส้นมาในที่สุด จางเทีย ก็ได้มาถึงไปรษณีย์ใกล้ๆกับลานเมือง เขามองไปรอบๆเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครเห็นเขา เขาได้เอาจดหมายใส่ลงไปก่อนที่จะเดินกลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชื่อผู้ส่งก็คือพี่ชายของเขาซึ่งเป็นทหารของเมืองนี้ ในฐานะทหารแล้วพี่ชายของเขาสามารถส่งจดหมายได้สองซองโดยที่ไม่ต้องมีแสตมป์ ในอดีตพี่ชายของเขาได้เอาจดหมายกลับมาหลายซองเลยทีเดียวแล้วเอาส่วนที่เหลือไปขายที่ตลาดมืดซึ่งเป็นของที่ขายดีที่สุดด้วย ซองจดหมายนี้มีหัวข้อเรื่องโจรผ้าพันคอแดงและตัวหนังสือที่ จางเทีย เขียนไว้เป็นตัวหนังสือมาตรฐาน ในจดหมายนั้นมีแค่บรรทัดเดียว โจรผ้าพันคอแดงกำลังตกลงกับกลุ่มการค้านิวเมียนโจมตีเมืองแบล็คฮ็อต !
สำหรับ จางเทีย แล้วนี่คือสิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นโจรผ้าพันคอแดงรึกลุ่มการค้า พวกนั้นล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาดสำหรับ จางเทีย และครอบครัวเขา การจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามแบบนั้นเขากลัวว่าจะตายเหมือนกับมดที่ไปยุ่งกับการต่อสู้ของช้าง
นี่ยังไม่รวมถึงคนที่แข็งแกร่งที่เขายังไม่รู้ในสองฝ่ายนี้อีก คนที่ สเนซ และ ฮัค เรียกว่าเจ้านาย คำพูดว่า ‘ เจ้านาย ‘ หลุดออกมาจากปากสองคนนั่นทำให้ จางเทีย รู้สึกขนลุกขึ้นมาในใจ จางเทีย ได้สลัดทิ้งความคิดที่จะหาประโยชน์จากเรื่องนี้ทิ้งไปทันที